บทที่ 348 ซ่งชูอีนำทัพ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ในสมองของเว่ยเฮ่อว่างเปล่า เขาอ้าปากทว่าไม่ได้พูดอะไรไปสักพัก

ฮุ่ยซือเห็นดังนี้ ก็ลอบถอนหายใจในใจเล็กน้อย นี่ไม่สามารถโทษว่าเว่ยเฮ่อปรับตัวได้ไม่ดีพอ ถ้าจะโทษก็โทษที่ธรรมชาติสร้างให้เขาเป็นเช่นนี้

ยิ่งเว่ยฮุ่ยอ๋องอายุมากขึ้นก็ยิ่งเสียใจที่ตนได้ตัดสินใจครั้งสำคัญพลาดไปหลายครั้งเมื่อยังเยาว์ อย่างเช่นทอดทิ้งซุนปิ้นไม่ใช้งาน อย่างเช่นปล่อยให้เว่ย์ยางจากไป อย่างเช่นการตายขององค์รัชทายาทเซิน…ดังนั้นในช่วงการครองราชย์สิบกว่าปีหลัง เขาเปลี่ยนจากคนที่มีเด็ดขาดในวัยเยาว์และลังเลมากขึ้นเรื่อยๆ

ในตอนนั้นที่เว่ยฮุ่ยอ๋องยังเปี่ยมไปด้วยความแข็งแรงและทรงพลัง เขาให้ความสำคัญกับรัชทายาทเซินมาก เพื่อฝึกฝนความสามารถขององค์รัชทายาทเซินแล้วก็ได้มอบกิจการแห่งรัฐหลายอย่างให้องค์รัชทายาทเซินจัดการ

องค์รัชทายาทเริ่มเป็นทหารตั้งแต่อายุสิบสอง อายสิบหกก็เริ่มนำทัพเข้าสงคราม…เว่ยฮุ่ยอ๋องยังคงครุ่นคิดถึงองค์รัชทายาทเซินที่จากไปตั้งแต่ยังหนุ่ม รู้สึกว่าไม่ควรส่งเขาเข้าร่วมสงครามที่หม่าหลิงเต้าเลย

หลังจากองค์รัชทายาทเซินสิ้น ตำแหน่งก็ตกเป็นของเว่ยเฮ่อ เว่ยฮุ่ยอ๋องรู้สึกว่าความสามารถขององค์รัชทายาทเฮ่อเทียบไม่เท่าองค์รัชทายาทเซิน ต้องฝึกฝนอย่างดีก่อนที่จะปล่อยให้เขาจัดการกับปัญหาหลัก ด้วยเหตุนี้เว่ยฮุ่ยอ๋องจึงจัดการกับทุกปัญหาด้วยตัวเอง ส่วนเว่ยเฮ่อเป็นคนที่ซื่อสัตย์และกตัญญูเสมอมา ไม่ว่าเว่ยฮุ่ยอ๋องจะให้เขาทำอะไรเขาก็ทำอย่างเต็มความสามารถ เรื่องที่ไม่ให้ก้าวก่ายก็ไม่รู้จักหาความรู้ใส่ตัว นี่ส่งผลให้ตอนที่เขาเป็นองค์รัชทายาทก็มักจะจำกัดอยู่เพียงเรื่องเล็กๆ ขาดความสามารถในการจัดการเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะในแง่ของความสัมพันธ์ทางการทูตที่เว่ยเฮ่อแทบจะไม่มีประสบการณ์จริงเลย

“อ๋องข้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลจนเกินไป เบื้องหน้ามีมหาเสนาบดีกับท่านแม่ทัพใหญ่อยู่ย่อมสามารถรับมือได้แน่ ท่านอ๋องเพียงต้องพร้อมที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเท่านั้น” ฮุ่ยซือกล่าวปลอบใจ

เว่ยเฮ่อดึงสติกลับมา เมื่อได้ยินดังนี้แล้วสีหน้าดูอึดอัดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้หมายความว่าเขาไร้ความสามารถ

คำพูดภักดีมักไม่เสนาะหู เว่ยเฮ่อปลอบใจตัวเองเช่นนี้ “อืม ท่านมหาเสนาบดีเห็นเรื่องนี้ว่าอย่างไร?”

“ว่ากันว่ากองทัพใหม่มีซ่งหวยจินเป็นผู้ฝึกฝน กระหม่อมมีความรู้ต่อกองทัพใหม่น้อยมากแต่รู้จักซ่งหวยจินเป็นอย่างดี หากตัดสินจากพฤติกรรมของเขาแล้ว บุคคลนี้มีแผนการในใจ กระทำการเป็นขั้นเป็นตอน ทุกครั้งที่จะทำอะไรก็จะต้องวางแผนอย่างรอบคอบและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ถึงเจ็ดส่วนจึงจะลงมือ ยอมทำทุกวิธีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย”

ฮุ่ยซือเงียบไป “แม้ว่าฉินจะปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าการกำจัดปาสู่ไม่เกี่ยวข้องกับเขา ทว่ากระหม่อมเห็นต่าง”

“หืม?” เว่ยเฮ่อก็เคยได้ยินข่าวลือนี้มาก่อนเพียงแต่ไม่มีหลักฐาน

“ข่าวที่อดีตอ๋องได้ยินมาว่ารัฐฉินต้องการผนวกปาสู่นั้น ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน พระองค์เคยส่งหมิ่นจื๋อห่วนเข้าปาสู่เพื่อไปสืบข่าวและขัดขวางแผนการของรัฐฉิน ทว่าข่าวที่เขานำกลับมา ในเวลานั้นซ่งหวยจินได้เข้าไปในรัฐสู่นานแล้ว ทั้งยังสามารถมีอิทธิพลต่อสู่อ๋องในการทรงงานต่างๆ เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายก็คือการเข้าไปยังรัฐสู่ก่อนเพื่อเปิดทางให้กองทัพฉิน หรือแม้แต่เป็นไปได้ว่าซ่งหวยจินจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนฉินทำลายสู่”

เว่ยเฮ่อเอ่ยด้วยความสงสัย “เหตุใดกว่าเหรินถึงไม่เคยได้ยินหลางจงหมิ่นเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน?”

“คือว่า…” ฮุ่ยซืลังเลเล็กน้อย “หมิ่นจื๋อห่วนพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวงในปาสู่ เขาเป็นคนที่มีความหยิ่งยโส เมื่ออดีตเป็นสิ่งที่ทนไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไป ก็สมเหตุสมผลที่จะไม่พูดถึงมัน”

ยังมีทหารพลีชีพสองคนที่กลับมาพร้อมเขา ความจริงที่ว่าหมิ่นฉือถูกสู่อ๋องไล่ล่าไม่สามารถปกปิดได้อย่างมิดชิด ในเวลานั้นคนวงในหลายคนนำเรื่องนี้มาล้อเล่นทั้งในที่ลับและที่แจ้ง แม้ว่าหมิ่นฉือไม่ได้จมปลักอยู่กับเรื่องนี้ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก จะเอ่ยออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร?

ฮุ่ยซือตรากตรำเล่าเรียนตั้งแต่ยังเด็ก มักจะนั่งคุกเข่าจนดึกดื่น เมื่อเขายังไม่ทันถึงวัยกลางคนเอวและขาก็มีปัญหาเสียแล้ว ครั้นยืนนานๆ ก็ทนไม่ใคร่ไหว แต่ก็รู้สึกไม่ดีที่จะเอ่ยไปตรงๆ ว่าอยากหาที่นั่ง คิดว่าหารือกับเว่ยเฮ่อไปก็ไร้ผลจึงประสานมือเอ่ยว่า “กระหม่อมทูลรายงานจบแล้ว หากท่านอ๋องไม่มีสิ่งใดรับสั่ง กระหม่อมก็ขอทูลลา”

หรงจวี้ไม่มีโอกาสได้พูดแทรกเลย แอบรู้สึกกระวนกระวายใจ

เว่ยเฮ่อกลืนคำพูดที่ต้องการจะพูดกลับเข้าไป เอ่ยเรียบๆ “ออกไปเถิด”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เอวของฮุ่ยซือทั้งตึงและจ็บ บัดนี้ก้มไม่ได้แต่ก็ยังพยายามรักษามารยาท

ในอดีตเว่ยเฮ่อดูแลกิจการภายในในขณะที่ฮุ่ยซื่อรับผิดชอบด้านความสัมพันธ์ทางการทูตเท่านั้น ทั้งสองมิได้มีปฏิสัมพันธ์กันเท่าใด เว่ยเฮ่อค่อนข้างนับถือฮุ่ยซือ แต่ก็ไม่รู้เรื่องส่วนตัวของเขามากนัก

เว่ยเฮ่อเพิ่งนั่งบังลังก์อ๋องและจำเป็นต้องได้รับการยอมรับอย่างเร่งด่วน ครั้นถูกวาจาของฮุ่ยซือเมื่อครู่ทำร้ายความภาคภูมิใจก็เจตนาแสดงความเย็นชาและไม่ได้เชื้อเชิญให้เขานั่ง อีกทั้งเมื่อครู่ยังเห็นว่าเขาเพียงค้อมตัวเล็กน้อย ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาละเลยตน รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก

แม้ว่าหรงจวี้มีจิตใจคับแคบ ทว่าก็มีความนับถือต่อนักปราชญ์อย่างแท้จริง ชื่อเสียงอันดีงามของฮุ่ยซือเป็นที่รู้จักกันดีใต้หล้า เขาจึงเคารพเขามากโดยธรรมชาติ

เมื่อฮุ่ยซือออกไป ในที่สุดเขาก็สบโอกาสที่จะพูดจึงรีบเตือนสติ “ท่านอ๋อง เอวและขาของท่านมหาเสนาบดีมีปัญหา ยืนนานไม่ได้ ได้โปรดท่านอ๋องให้อภัยด้วย”

เว่ยเฮ่อแอบเกลียดตัวเองที่จิตใจคับแคบ รีบสั่งให้ขันทีเตรียมเกี้ยวเพื่อส่งฮุ่ยซือทันที

ฮุ่ยซือออกไปจากพระตำหนัก ยืนสงบสติอารมณ์อยู่ที่ทางเดินครู่หนึ่ง

เขาหรี่ตามองแสงอิทตย์เจิดจ้า ถอนหายใจแผ่วเบา เดินลงไปข้างล่างช้าๆ โดยประคองราวทั้งสองข้างไว้ แค่ลงบันไดสิบกว่าขั้นเท่านั้นแต่ทั้งตัวกลับชุ่มไปด้วยเหงื่อ

ชื่อเสียงของฮุ่ยซือโด่งดัง เขาไม่ได้รับการปฏิบัติที่เย็นชาเช่นนี้มานานกว่าสิบปีแล้ว บัดนี้เอวและขาเจ็บปวดอย่างรุนแรง มองลงไปยังบันไดที่ทอดยาว เป็นถึงมหาเสนาบดีผู้มีเกียรติของรัฐแต่กลับต้องเผชิญกับแสงแดดแผดจ้า เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า ถอนหายใจในใจ: จื่อซิวเอ๋ย! วาจาของเจ้าช่างศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน!

จวงจื่อเคยกล่าวว่าตำแหน่งมหาเสนาบดีเยี่ยงเขาทำได้เพียงตายเหมือนหนู ตอนที่เว่ยอ๋องยังมีชีวิตอยู่เขายังไม่รู้สึก ทว่าบัดนี้กลับเห็นด้วยกับคำพูดของจวงจื่อ

เขาไม่ถือโทษที่เว่ยเฮ่อทำให้เขาลำบากใจ แต่ด้วยเรื่องนี้ทำให้เขาค้นพบจริงๆ ว่าเว่ยเฮ่อและเว่ยฮุ่ยอ๋องนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงซึ่งทำให้เขาเริ่มกังวลถึงเส้นทางในอนาคต…เส้นทางของรัฐเว่ย เส้นทางของเขาเอง

เมื่อคิดถึงรัฐเว่ยในช่วงสองอายุคนที่ผ่านมา คนหนึ่งเคยเป็นท่านอ๋องเจ้าแห่งจงหยวนและจมอยู่ในอำนาจมานานหลายทศวรรษ อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มผู้โง่เขลาที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การประคบประหงม ความแตกต่างนี้มีเพียงคนที่พิจารณาอย่างลึกซึ้งเช่นฮุ่ยซื่อเท่านั้นที่จะรู้สึกสิ้นหวัง

ทหารรักษาการณ์สองข้างทางเห็นเขา “ท่านมหาเสนาบดี ข้าน้อยประคองท่านเถิด”

ขันทีสองคนวิ่งเหยาะๆ เข้ามา รับช่วงต่อจากทหารรักษาการณ์ “บ่าวรับคำสั่งจากท่านอ๋องให้มาส่งท่านมหาเสนาบดีพ่ะย่ะค่ะ”

“ทำให้ท่านอ๋องเป็นห่วงแล้ว” ฮุ่ยซือเอ่ยด้วยความเกรงใจ แล้วปล่อยให้พวกเขาประคองลงบันไดไป

ฮุ่ยซื่อมิได้ติดใจเรื่องนี้ การกลับใจของเว่ยเฮ่อไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของเขากลับคืนมาในหัวใจของฮุ่ยซือเลย เพียงแต่เขายังคงคิดถึงบุญคุณของเว่ยฮุ่ยอ๋องและจะไม่ปล่อยมือในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้

ในเวลานี้ ซ่งชูอีได้นำกองทัพใหม่ออกมาจากหลีสือแล้ว

กองทัพฉินที่นำโดยซือหม่าชั่วได้ออกมาจากหลีสือ ระหว่างก็เข้ายึดผิงโจว ผูหยาง เป่ยชวี ผูป่าน และเฝินเฉิงแห่งรัฐเว่ย

แผ่นดินผืนนี้ตั้งอยู่ที่ “ปากคอขวด” ในดินแดนรัฐเว่ยพอดี เป็นดินแดนในรัฐเว่ยที่มีศูนย์กลางอยู่ที่อันอี้ ทิศตะวันตกและทิศใต้มีแม่น้ำสายใหญ่ล้อมรอบ รัฐหานอยู่ถัดไปทางตะวันออก ดินแดนที่รัฐฉินยึดครองได้ปิดกั้นอาณาเขตนั้นเหมือนกับจุกขวดและเปลี่ยนมันให้กลายเป็น “เกาะโดดเดี่ยว”

รัฐฉินปิดกั้นเส้นทางบกของกองทัพเว่ย สิ่งแรกที่กงซุนเหยี่ยนทำหลังจากส่งกองกำลังออกมาก็คือยึดเมืองผิงโจวและเมืองเล็กๆ ใกล้เคียงอีกหลายเมืองกลับไป แม้ว่าจะยึดคืนมาได้เพียงพื้นที่เล็กๆ ผืนนี้ ทว่าการควบคุมผิงโจวได้ก็เท่ากับควบคุมแม่น้ำเฝินได้ ทั้งยังสามารถนำไปสู่อันอี้ตามแม่น้ำได้

ตามทฤษฎี หลังจากที่กงซุนเหยี่ยนยึดครองแม่น้ำเฝินได้แล้วก็สามารถนำทัพตรงไปตามทางน้ำได้ทันที ทว่าในความเป็นจริงแม่น้ำเฝินมีส่วนหนึ่งที่อยู่ในดินแดนรัฐหาน หากรัฐเว่ยตามแม่น้ำไปทางใต้ก็จำเป็นต้องหยิบยืมเส้นทางจากรัฐหาน

รัฐหานจะให้พวกเขายืมเส้นทางเปล่าๆ ได้อย่างไร?

หลังจากกงซุนเหยี่ยนส่งคนไปเจรจาในรัฐหาน สัญญาก็คือเงินก้อนใหญ่กับนครเหยียนเฉิงที่ชายแดนหานเว่ยจึงจะสามารถแลกกับสิทธิ์การหยิบเส้นทางได้ครั้งหนึ่ง ทว่าประการแรกผิงโจวไม่มีเรือมากพอที่จะนำกองทัพข้ามแม่น้ำได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ประการที่สองแม่น้ำใกล้เข้าสู่ฤดูน้ำหลากแล้ว อีกทั้งลมตะวันออกเฉียงใต้กำลังพัดมาอีกครั้ง ทางน้ำมีอันตรายและไม่สามารถข้ามแม่น้ำได้เลย

ดังนั้นกองทัพทั้งสองจึงชะงักงันระหว่างผิงโจวและผูหยาง ซือหม่าชั่วรักษาการณ์ที่ผูหยางด้วยตัวเอง ในทางกลับกันเจ้าอี่โหลวก็รักษาการณ์อยู่ในเฝินเฉิงซึ่งอยู่ใกล้กับทางใต้ของอันอี้เพื่อปิดกั้นไม่ให้กองทัพเว่ยเดินทางลงมาทิศใต้

ตำแหน่งของซือหม่าชั่วมีความสำคัญมาก เมื่อถูกยึดครองโดยกองทัพเว่ย สถานการณ์อาจพลิกกลับและกลับกลายเป็นว่ากองทัพฉินจะถูกขังอยู่ในคอขวดเสียเอง; ตำแหน่งของเจ้าอี่โหลวมีความเสี่ยง เพราะไม่ว่ากงซุนเหยี่ยนจะไปทางบกหรือทางน้ำเขาต้องลงไปทางใต้เพื่อยึดเฝินเฉิงกลับมา

ภารกิจของซ่งชูอีในการออกทัพครั้งนี้ก็เพื่อทำลายสถานการณ์ชะงักงันนี้ก่อนสิ้นสุดฤดูน้ำหลากในแม่น้ำเฝินเพื่อทำให้กองทัพฉินครองความได้เปรียบอย่างแท้จริง