บทที่ 349 นางเป็นคนต่ำช้า

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ตราบใดที่กองทัพฉินมีความได้เปรียบอย่างแท้จริงในด้านการทหาร จางอี๋ก็สามารถบรรลุสนธิสัญญาที่วางแผนไว้ล่วงหน้าในขณะที่เขาเจรจาต่อรองได้ ต่อให้กงซุนเหยี่ยนมีความสามารถในการติดต่อกับสวรรค์ก็ไม่อาจพลิกสถานการณ์

สถานที่เจรจาระหว่างกงซุนเหยี่ยนกับจางอี๋นั้นอยู่ในถิ่นทุรกันดารห่างจากผิงโจวและผูหยางในระยะทางที่เท่าๆ กัน เมื่อการเจรจาครั้งแรกไม่สำเร็จ ทั้งสองฝ่ายก็ต่างกลับไปยังค่ายประจำการของตน หนึ่งเดือนต่อมาก็ประชุมกันเป็นครั้งที่สองแต่ก็ยังไม่สามารถตกลงกันได้ ครั้งนี้จึงเป็นครั้งที่สามแล้ว

ค่ายทหารของซ่งชูอีตั้งอยู่ทางทิศเหนือของสถานที่เจรจา ใกล้กับผิงโจว สถานที่แห่งนี้เป็นรูปสามเหลี่ยมกับผูหยางและผิงโจวโดยมีกองทัพหลีสือคอยป้องกันอยู่ข้างหลังซึ่งเป็นตำแหน่งที่สามารถรุกคืบและถอยร่นได้

กงซุนเหยี่ยนเริ่มเฉยชามากขึ้นระหว่างการเจรจา

ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เนื่องจากกงซุนเหยี่ยนได้รับคำสั่งให้ทำหน้าที่เป็นทูตในการเจรจาก็เท่ากับว่าเป็นตัวแทนของ

เว่ยอ๋องและสามารถตัดสินใจคำขอของรัฐฉินได้ด้วยตัวเอง แต่รัฐฉินปฏิเสธที่จะคืนที่ดินให้โดยสิ้นเชิง อีกทั้งยังยื่นข้อหนดมากมายบนพื้นฐานนี้ สำหรับกงซุนเหยี่ยนแล้วเขาต้องการต่อสู้จนถึงที่สุด ทว่าท่าทีของจวินองค์ใหม่นั้นไม่ชัดเจนเลย

เขาไม่ได้รบเร้าให้เว่ยอ๋องตัดสินใจในขณะนี้ เพราะว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่เป็นผลดีต่อรัฐเว่ย จำเป็นต้องรอโอกาสในการโต้กลับ

กษัตริย์องค์ใหม่ของรัฐเว่ยขึ้นครองบัลลังก์และไม่มีประสบการณ์ในการรับมือกับเหตุการณ์สำคัญเช่นนี้ การตอบสนองจึงเชื่องช้าเล็กน้อย กงซุนเหยี่ยนไม่รู้สึกแปลกใจและไม่เป็นกังวล ทว่าสิ่งที่ทำให้เขางงงวยก็คือในเดือนแรกกษัตริย์ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวและรวดเร็ว บางครั้งความเฉียบคมก็ทำให้เขาประหลาดใจ ทว่าจากนั้นก็ลังเลมากขึ้นเรื่อยๆ การตัดสินใจก็ค่อนข้างสามัญธรรมดา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับต้าเหลียงกันแน่?

บัดนี้เข้าสู่ปลายฤดูร้อนต้นฤดูใบไม้ร่วง ฤดูน้ำหลากของแม่น้ำเฝินได้ผ่านไปสองสามวันแล้ว กองทัพเว่ยได้ปกปิดการเตรียมเรือประจัญบานลับ ส่วนซ่งชูอีก็ได้เลือกเวลานี้ในการโจมตีผิงโจว

เดิมทีสถานการณ์ชะงักงัน การกระทำนี้เหมือนกับการจุดไฟในน้ำมัน เพลิงสงครามลุกพรึ่บเป็นไฟลามทุ่ง

การเจรจาระหว่างจางอี๋กับกงซุนเหยี่ยนถูกบีบให้ล้มเหลว ต่างคนต่างถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว

ซ่งชูอีส่งกลุ่มทหารยอดฝีมือเพื่อสกัดกั้นกงซุนเหยี่ยน ป้องกันไม่ให้เขากลับผิงโจว

ทั้งสองฝ่ายพบกันในหุบเขาของแม่น้ำเฝินและเริ่มการต่อสู้อันดุเดือดทันที กำหนดการเดินทางของกงซุนเหยี่ยนถูกปิดกั้น เมื่อเห็นว่าไม่สามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้ก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อคุ้มกันให้สายสืบหนีไปและส่งคำสั่งกลับไปยังผิงโจวให้ทหารเรือรีบออกไปจากผิงโจว นอกจากนี้เขายังส่งข่าวไปยังจิ้นปี่ที่รักษาการณ์อยู่ในจงตูและส่งกองกำลังไปสนับสนุนการปกป้องนครผิงโจวอีกด้วย

การต่อสู้แบบรับและรุกในผิงโจวเพิ่งจะผ่านไปได้เพียงวันเดียว เรือรบของกองทัพเว่ยก็ได้เข้าไปในเขตของรัฐหานแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ทหารฉินไม่มีเรือรบ เพราะต่อให้มีก็ไม่สามารถไล่เข้ารัฐหานได้ง่ายๆ ก่อนที่กองทัพจะเข้าสู่ดินแดนของผู้อื่นจำเป็นต้องมีการเจรจาล่วงหน้า ดังนั้นซ่งชูอีจึงไม่ให้ความสนใจกับกองทัพเรือของรัฐเว่ยอีกแต่ให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นแทน แน่นอนว่าการที่นางโจมตีนครเป็นเพียงหน้ากากที่ข่มขู่ทหารเว่ยก็เท่านั้น ผู้ที่ต่อสู้สงครามผิงโจวอย่างแท้จริงคือซือหม่าชั่ว ส่วนเป้าหมายของนางก็คือ…การจับเป็นกงซุนเหยี่ยน

บนริมฝั่งแม่น้ำอันเขียวชอุ่ม ไป๋เริ่นพาซ่งชูอีมาหยุดอยู่บนเนินหุบเขาแม่น้ำอย่างไร้สุ้มเสียงเพื่อมองดูการสกัดกั้นเบื้องล่าง โดยมีทหารใหม่สี่หมื่นนายอยู่ข้างหลัง

รูปแบบของขบวนทหารม้าหนึ่งหมื่นนายที่กงซุนเหยี่ยนนำทัพนั้นเป็นแนวทหารที่จัดเรียงกันอย่างประชิด ส่วนกองทหารม้าของรัฐฉินที่รวมตัวกันเป็นพระจันทร์เสี้ยวนั้นมีความแหลมคมราวกับดาบ ขณะที่เข้าโจมตีก็จัดมุมที่แหลมคมดุจเสี้ยวพระจันทร์เป็นเครื่องมือในการฆ่า ส่งผลให้ทหารเว่ยต้องต่อสู้ในระยะประชิดด้วยความสิ้นหวัง คนที่อยู่อีกด้านหนึ่งไม่ได้ต่อสู้แต่ก็กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย

โจมตีผู้ที่อ่อนแอที่สุดด้วยผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด

หลังจากสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเป็นเวลาสองถ้วยชา มุมการป้องกันของกองทัพเว่ยก็แตกหัก กองทัพฉินฉวยโอกาสนี้บุกเข้าไป เพียงพริบตาเดียวก็กินวงล้อมรอบนอกไปแถบหนึ่ง จากนั้นกองทัพรูปแบบพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันแล้วทะลวงเข้าไปจากช่องว่างราวกับลูกศร

กงซุนเหยี่ยนมีคำสั่งให้เปลี่ยนรูปแบบกองทัพทันที

จากมุมที่ซ่งชูอีมองเห็น ราวกับว่ากองทัพฉินสามารถแบ่งกลุ่มของทหารเว่ยออกเป็นสองส่วนได้อย่างง่ายดาย แต่เพียงพริบตา กองทหารม้าสองส่วนของรัฐเว่ยก็เปลี่ยนรูปแบบเป็นสองพระจันทร์เสี้ยว ส่วนหนึ่งเพื่อกันมือธนูของกองทัพฉินให้ไปกระจุกอยู่ที่ส่วนล่างของกองทัพและอีกส่วนหนึ่งโอบโจมตีจากด้านข้าง

กงซุนเหยี่ยนเองก็อยู่ที่ด้านล่างของหนึ่งในกองทัพพระจันทร์เสี้ยว ที่นั่นเป็นจุดที่มีการเข่นฆ่าสูงที่สุดแต่ก็เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดเช่นกัน

ซ่งชูอีขมวดคิ้ว จนกระทั่งได้ยินเสียงนายพลของกองทัพฉินตะโกนยาวๆ สามครั้งก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

กองทัพฉินได้ยินคำสั่งให้แยกย้ายจากศูนย์กลาง เพื่อเปลี่ยนเป็นรูปแบบพระจันทร์เต็มดวงสองดวง หลีกเลี่ยงส่วนล่างของรูปแบบพระจันทร์เสี้ยวที่อันตรายที่สุดแล้วล้อมมันไว้ ดวงจันทร์กลมสองดวงที่ก่อตัวขึ้นโดยทหารไม่ถึงห้าพันคนนั้นไม่มีกำลังร้ายแรง ดังนั้นจึงต้องทำลายการรูปแบบกองทัพก่อนที่กองทัพเว่ยจะสามารถตอบสนองได้

เวลานี้ทหารฉินดึงหน้าไม้กลออกจากด้านหลัง รวมตัวกันโจมตีส่วนล่างกองทัพพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวของรัฐเว่ย

ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องดังก้องทั่วท้องฟ้า พื้นราบระหว่างหุบเขาของแม่น้ำก็พลันกลายเป็นสีแดงเลือด

กองทัพฉินไม่ได้ไล่ฆ่าอีกแต่รวมตัวและถอยร่นกันอย่างรวดเร็ว เผชิญหน้ากับกองทัพเว่ยในขณะที่ยังคงอยู่ในรูปแบบพระจันทร์เสี้ยว

กงซุนเหยี่ยนตื่นตกใจ กองทัพฉินใช้ประโยชน์จากสถานการณ์การต่อสู้ขนาดย่อมได้อย่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน! หากเป็นกำลังใหญ่ขนาดหลายแสนคน เปลี่ยนรูปแบบอย่างรวดเร็วหลายๆ ครั้งเป็นสิ่งที่ไม่แนะนำ แต่คนจำนวนน้อยก็หมายความว่าสามารถต่อสู้ได้อย่างยืดหยุ่น กองทัพฉินใช้ทหารม้าเพื่อสร้างรูปแบบพระจันทร์เสี้ยว การเปลี่ยนรูปแบบนั้นรวดเร็วยิ่ง ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือการเปลี่ยนแปลงทั้งสามครั้งของกองทัพฉินเป็นระเบียบและไม่วุ่นวายเลย

สิ่งนี้นำไปสู่การต่อสู้ที่ดุเดือด กองทัพฉินเคลื่อนตัวราวกับพายุ เปลี่ยนรูปแบบได้อย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว หลังจากนั้นไม่นานก็เหลือเพียงกองทัพเว่ยอันยุ่งเหยิง

ซ่งชูอียกมือขึ้นเล็กน้อย กองทหารที่ยืนรอคำสั่งอยู่ด้านหลังต่างนำทหารหลายหมื่นนายลงจากไหล่เขาทั้งสองข้างเพื่อเข้าร่วมการสู้รบทันที ทหารที่เหลืออยู่ใกล้กับหุบเขาแม่น้ำใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศที่อ่อนแอเล็งด้วยหน้าไม้กลซ้ำๆ

กองทัพเว่ยพบกับศัตรูทั้งสามด้าน ทั้งด้านหน้าและด้านหลังล้วนเป็นแม่น้ำกว้างใหญ่ แม้แต่มีทหารบางคนทิ้งเสื้อเกราะแล้วกระโดดลงน้ำเพื่อหลบหนี

“ซีโส่ววางอาวุธลงเถิด” ซ่งชูอีเอ่ยเสียงดัง

กองทัพเว่ยเหลือเพียงไม่ถึงห้าพันคน มาถึงขั้นนี้กงซุนเหยี่ยนก็รู้ว่าภาพใหญ่ได้หายไปแล้วดังนั้นจึงไม่ต่อต้านอีก

กงซุนเหยี่ยนโยนดาบยาวทิ้งไป พลิกตัวลงจากม้า เอ่ยเสียงอันดัง “ซ่งหวยจินเป็นคนต่ำช้าจริงๆ”

การต่อสู้ครั้งนี้บีบให้กองทัพเรือของรัฐเว่ยออกไปจากผิงโจว เมื่อผ่านไปครึ่งทางคณะทูตก็ถูกซุ่มโจมตีด้วยกองทหารม้าที่มีจำนวนมากกว่าถึงห้าเท่า ทั้งยังใช้โอกาสที่กองทัพซือหม่าชั่วเข้าล้อมเมืองป้องกันไม่ให้รัฐเว่ยส่งกำลังเสริมไปช่วยเหลือกงซุนเหยี่ยน คำว่า “ต่ำช้า” สองคำนี้ไม่เพียงพอที่จะบรรยายนาง

ซ่งชูอียกมุมปากยิ้ม “ขอบคุณซีโส่วที่ชม!”

สายลมของต้นฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านผืนหญ้าขนาดใหญ่จนเกิดเป็นระลอกคลื่น เลือดสีแดงสดในหุบเขาสะท้อนกับพื้นหญ้าสีเขียวดูน่าเศร้าและสวยงาม กลิ่นเลือด กลิ่นหญ้าเขียวและกลิ่นสาหร่ายปะปนอยู่ในอากาศเย็น เป็นการเปิดฉากอันเยือกเย็นสำหรับฤดูใบไม้ร่วงนี้

บัดนี้จางอี๋รออยู่ในค่ายทหารฉินแล้ว

ซ่งชูอีจัดงานเลี้ยงสำหรับการกลับมาของกงซุนเหยี่ยนอย่างยิ่งใหญ่ งานเลี้ยงนั้นไม่ได้ทำให้เขาอับอายราวกับว่ามันเป็นเพียงการได้พบหน้าสหายเก่า

“สหายเก่าซีโส่วจากไปแล้วกลับมา อี๋ขอดื่มให้สักจอก” จางอี๋ยกจอกสุราขึ้น

“เจ้ามีอะไรน่าภูมิใจกัน ข้าพ่ายแพ้แล้วแต่ก็มิได้พ่ายแพ้อยู่ในมือของเจ้า!” กงซุนเหยี่ยนพูดจาทิ่มแทงด้วยความเย็นชา แต่กลับสะบัดแขนเสื้อยกสุราขึ้นดื่ม ยกศีรษะขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด

จางอี๋ดื่มสุรา แล้ววางจอกสุราลงบนโต๊ะเสียงดัง เอ่ยด้วยความเย็นชาว่า “ข้ามิใช่สุภาพบุรุษ เห็นครั้งนี้ซีโส่วต่อสู้ได้อย่างงดงาม จึงอดที่จะยิ้มยินดีมิได้ไม่ว่าท่านจะตกอยู่ในมือใครก็ตาม”

กงซุนเหยี่ยนเอ่ยเยาะเย้ย “แม้กระทำเรื่องเดียวกัน ในอนาคตเจ้าก็คงไม่ดีเหมือนข้าในวันนี้ ยิ้มก็ยิ้มไป ดูซิว่าเจ้าจะยิ้มได้สักกี่วัน”

ทั้งสองคนต่างไม่ยอมกัน เจ้าพูดมาข้าตอกกลับ แต่ละคำรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดไร้คำพูดหยาบคายแต่มันคมคายขึ้นเรื่อยๆ และมีระดับมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อดูว่าใครจะหมดความอดทนก่อน

ซ่งชูอีจิบสุราและสังเกตการณ์อยู่สักพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าทั้งคู่เริ่มกัดฟันราวกับว่าจะสามารถกระโดดขึ้นมาทะเลาะกันได้ในประโยคถัดไปก็กระแอมไอเบาๆ “ท่านทั้งสองใจเย็นก่อนเถิด ดื่มสุราดับกระหายเสียหน่อย”

กงซุนเหยี่ยนไม่มองนางแม้แต่น้อย “ในเมื่อบัดนี้ก็เผยนิสัยชั่วช้าออกมาแล้ว การพยายามเป็นคนดีอีกครั้งถือเป็นการเสแสร้งในระดับต่ำมาก”

จางอี๋เยาะเย้ย “แพ้ก็แพ้แล้วแต่อย่างน้อยความภาคภูมิใจยังคงอยู่ วาจาของซีโส่วเฉียบคมและโหดร้ายเพียงนี้ ไร้ซึ่งความสง่างาม ช่างเป็นการละทิ้งตัวเองไปสู่ความสิ้นหวังอย่างแท้จริง!”

ทั้งสองเริ่มปะทะคารมกันอีกครั้ง ซ่งชูอียิ้มเยาะ ดื่มสุราต่อพลางรอรายงานทางทหาร