บทที่ 350 ถอนตัวจากการแข่งขัน

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

กงซุนเหยี่ยนและจางอี๋เป็นคู่แข่งกันอย่างแท้จริง ตั้งแต่การวางแผนไปจนถึงนิสัยก็ต่างกันคนละขั้ว เวลาเผชิญหน้ากันก็เหมือนกับไก่ชนที่คอแข็งใส่กันต่างไม่ยอมกันและกัน

ในระหว่างงานเลี้ยง ซ่งชูอีกินและดื่มตามลำพังท่ามกลางเสียงต่อปากต่อคำของทั้งสองคน หลังจากกินอิ่มก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปากแล้วลุกขึ้นยืน “ท่านทั้งสองคุยต่อเถิด ข้ายังมีธุระ ต้องขอตัวก่อน”

“ตามสบาย”

“ตามสบาย”

ทั้งสองกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน

ซ่งชูอีพยักหน้า หมุนตัวจากไป เว้นที่ว่างแก่พวกเขาอย่างเต็มที่

ในพระราชวังต้าเหลียง

เว่ยเฮ่อนั่งอยู่บนบัลลังก์พร้อมกับสถานการณ์ทางทหารที่เร่งด่วนอยู่ในมือ ขุนนางบุ๋นและทหารฝ่ายบู๊ยืนอยู่สองข้างทาง นายพลทั้งหมดกำลังคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่กลางท้องพระโรงเพื่อขอให้นำทหารออกไปต่อสู้

การกระทำของฉินในครั้งนี้ เกรงว่าหากไม่ทำให้เว่ยมอดม้วยก็จะไม่รามือ ทุกตำแหน่งในรัฐเว่ยไม่อาจรีรอได้อีกต่อไป

“กว่าเหริน…” ในที่สุดเว่ยเฮ่อก็เอ่ยปาก “ให้หมิ่นจื๋อห่วนเป็นท่านแม่ทัพ นำกองกำลังสนับสนุนแม่ทัพใหญ่”

ทุกคนตกตะลึง หมิ่นฉือก็เงยหน้ามองเว่ยเฮ่อที่นั่งอยู่ด้านบนด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ใบหน้านั้นถูกพู่ซ่อนไว้ครึ่งหนึ่ง เห็นสีหน้าไม่ชัดเจน

เว่ยเฮ่อจงใจละเลยเขาในช่วงนี้ หมิ่นฉือรู้สึกได้ตั้งนานแล้วทั้งยังรู้ด้วยว่าเป็นเพราะสาเหตุใด ดังนั้นจึงไม่พูดอะไร คุกเข่าลงข้างหนึ่ง แสดงท่าทางราวกับซาบซึ้งเป็นอย่างมาก “กระหม่อมจะปกป้องต้าเว่ยอย่างเต็มความสามารถพ่ะย่ะค่ะ!”

เว่ยเฮ่อเหลือบมองเขา “ดี”

ขันทีมอบตราทหารให้หมิ่นฉือต่อหน้าขุนนางทุกคนในราชสำนัก

มองดูตราทหารที่อยู่ในมือ ในใจของหมิ่นฉือรู้สึกสลับซับซ้อน นี่คือสิ่งที่เขาต้องการมาตลอด แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ในเวลาอันเหมาะสมและแรงจูงใจของกษัตริย์ก็บิดเบี้ยว

รัฐเว่ยเป็นรัฐที่หมิ่นฉือต้องการรับใช้ สถานการณ์การเข้าสู่รัฐเว่ยเป็นครั้งแรกนั้นเลวร้ายมาก แต่หมิ่นฉือก็คาดหวังมาตลอดว่าเว่ยอ๋องจะเห็นพรสวรรค์ของเขาในวันหนึ่งและมอบหมายหน้าที่สำคัญให้ อีกทั้งเขายังทำงานหนักมาโดยตลอดเพื่อสิ่งนี้ น่าเสียดายที่การตัดสินใจของเว่ยอ๋องไม่เด็ดขาดเหมือนในช่วงปีแรกๆ ควบคุมเขาไว้ข้างกายทั้งไม่ยอมใช้งานเขา ดังนั้นเขาจึงวางแผนเป็นเวลาสองปี ในที่สุดก็มีโอกาสอันดีในการสังหารเว่ยอ๋องและเลือกกษัตริย์ที่เขาคิดว่าจะมีอิทธิพลต่อการควบคุมได้ดีกว่า

อย่างไรก็ดี โชคชะตาเล่นตลก กษัตริย์ผู้ซื่อสัตย์คนนี้ก็เริ่มสงสัยในตัวเขาเช่นกัน

“อ๋องข้า!” นายพลท่านหนึ่งกำลังจะเกลี้ยกล่อมให้เขาหยุด เว่ยเฮ่อขัดจังหวะเขา “ระดมทหารม้าสี่หมื่นนายที่อานหลิงกับฉางเซ่อรีบไปยังซานหยาง ขอให้ท่านแม่ทัพหมิ่นรีบตามไปสมทบ”

ฮุ่ยซือตกใจ รีบเอ่ยว่า “อ๋องข้า อานหลัง ฉางเซ่อไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาด! กองทัพเดินทางข้ามภูเขาและแม่น้ำหลายพันลี้ อย่าว่าแต่เรื่องเวลาไม่เสบียงที่ไม่เพียงพอเลย เมื่อไปถึงแล้วพลังการต่อสู้จะลดลงอย่างมาก ได้โปรดท่านอ๋องถอนคำสั่งด้วย!”

“ได้โปรดท่านอ๋องถอนคำสั่งด้วย” ขุนนางบู๊บุ๋นครึ่งหนึ่งเห็นด้วยเป็นเสียงเดียวกัน

เว่ยเฮ่อโยนไม้ไผ่ลงบนโต๊ะ “แม่ทัพฉีได้นำกำลังเสริมไปล่วงหน้าแล้ว ทหารม้าสี่หมื่นนายของแม่ทัพหมิ่นนี้เป็นเพียงกำลังเสริม เรื่องนี้ก็จัดการตามนี้”

อานหลิงและฉางเซ่อเป็นเขตพื้นที่ศักดินาขององค์ชายซื่อ องค์ชายซื่อถูกคุมขัง แต่ความแข็งแกร่งยังคงอยู่ที่นั่น หากทันทีที่ถูกปล่อยออกจากคุกก็มีแนวโน้มที่จะก่อกบฏ กองทัพที่ประจำการอยู่ในพื้นที่นั้นเป็นอันตรายที่ซ่อนอยู่ ในเวลานี้พวกเขาถูกย้ายไปทำหน้าที่เป็นแนวหน้าของสนามรบและส่วนใหญ่ถูกฆ่าตายในสนาม

หลังจากที่ทุกคนเข้าใจเจตนาของเว่ยเฮ่อแล้ว พวกเขาก็มองไปที่หมิ่นฉือด้วยสายตาที่แตกต่างกันเล็กน้อย บ้างเห็นใจ บ้างคาดเดา บ้างสงสัย…

ในเวลานี้นายพลทุกคนแอบดีใจ โชคดีที่ไม่แต่งตั้งให้ตัวเองเป็นผู้นำทหาร! ทุกคนรู้ดีว่ากองหลังส่วนใหญ่ขององค์ชายซื่อล้วนเป็นทหารส่วนตัว พวกเขาก็ไม่ได้โง่ การเดินทางไกลหลายพันลี้สู่สนามรบเป็นการส่งคนไปตายอย่างชัดเจน จะเชื่อฟังการได้รับมอบหมายนี้อย่างว่าง่ายได้อย่างไร? อย่าว่าแต่ต่อสู้เลย ผู้คนเหล่านี้จะไปถึงสนามรบหรือเปล่ายังยากที่จะเอ่ย!

ผู้คนกลัวว่าหากพูดอะไรออกมาอีกจะถูกแบ่งว่าเป็นพรรคพวกขององค์ชายซื่อจึงต่างสงบคำ ฮุ่ยซือเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง “อ๋องข้า ฉางเซ่อเป็นทหารรักษาชายแดน ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย เกรงกลัวว่ารัฐหานอาจะใช้ประโยชน์จากช่องว่างนี้บุกเข้ามา

สุดท้ายแล้วระยะทางจากฉางเซ่อถึงต้าเหลียงก็ไม่ไกลทั้งยังเป็นทางเรียบ…”

“เรื่องการเติมเต็มได้ถูกส่งมอบให้กับท่านแม่ทัพหลี่แล้ว” เว่ยเฮ่อเอ่ย

หัวใจของฮุ่ยซือเย็นลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังดึงดันที่จะพูดต่อ “อ๋องข้า กระหม่อมเคยได้ยินมาว่ามีกลุ่มโจรบุกเข้าในครอบครัวยากจนหลังหนึ่งเพื่อขโมยไก่ เขาเชื่อว่าการที่โจรเข้ามาในบ้านเป็นเพราะกำแพงฝั่งตะวันออกถล่มลงมาเป็นสาเหตุให้ไม่อาจยับยั้งคนให้เข้าบ้านได้ จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรื้อกำแพงด้านตะวันตกและสร้างกำแพงด้านตะวันตกขึ้นมาใหม่ ใครจะรู้ว่าวันรุ่งขึ้นโจรจะเข้ามาทางกำแพงฝั่งตะวันออก”

ฮุ่ยซือพูดด้วยความจริงจัง “ศัตรูอยู่รอบทิศ อ๋องข้ากลับรื้อถอนกำแพงฝั่งตะวันออก จะสร้างขึ้นในวันเดียวได้อย่างไร? ไม่แน่ว่าโจรอาจฉวยโอกาสนี้บุกเข้ามาก็ได้! ได้โปรดอ๋องข้าคิดให้ถี่ถ้วนด้วย”

ในเมื่อมหาเสนาบดีเปิดประเด็นอย่างไม่หลีกเลี่ยงที่จะกระตุ้นความสงสัยก็มีคนเห็นด้วย

“บัดนี้หานเว่ยเป็นพันธมิตรกัน ท่านมหาเสนาบดีระวังคำพูดด้วย” เว่ยเฮ่อยอมรับว่าคำพูดของฮุ่ยซือมีเหตุผล เพียงแต่ “คำสั่งลับของกว่าเหรินถูกส่งออกไปนานแล้ว คำพูดของท่านมหาเสนาบดีฮุ่ยนั้นยอดเยี่ยมมาก กว่าเหรินจะสั่งให้คนจัดกองหลังเพื่อเสริมทัพตามความเหมาะสม”

ร่างของฮุ่ยซือไหวเอน ประสานมือเล็กน้อย ไม่พูดอะไรอีก

วันรุ่งขึ้น

มีข่าวลือว่าฮุ่ยซือเป็นลมในที่ว่าการ หลังจากได้รับการช่วยเหลือจากหมอหลวงก็ถูกส่งตัวกลับจวนเพื่อพักฟื้น

ฮุ่ยซือพยายามลุกขึ้นจากเตียงคนป่วยด้วยความเศร้าโศก เขียนจดหมายลาออกด้วยถ้อยคำคมคายและให้คนถวายไปถึงโต๊ะของเว่ยเฮ่อทันที

แต่ละคำของจดหมายลาออกฉบับนี้ร้องไห้เป็นสายเลือด แต่เพราะสิ่งที่แสดงออกมานั้นสมจริงเกินไปจึงดูบาดคมไปบ้างอย่างช่วยไม่ได้ ส่งผลให้เว่ยเฮ่อทั้งเจ็บปวดทั้งเสียดแทงหัวใจ เขาอดกลั้นอยู่สองวัน ในที่สุดก็กัดฟันไปเยี่ยมฮุ่ยซือที่จวนด้วยตัวเอง

ฮุ่ยซื่อมีความสามารถและชื่อเสียงตั้งแต่อายุยี่สิบกว่า เขายังตามหาตำแหน่งขุนนางทุกหนทุกแห่ง แต่ก็ไม่เป็นดั่งหวังหรือแม้แต่ถูกไล่ออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขากลับบ้านด้วยความโกรธเพื่อตั้งใจเรียน จากนั้นก็ไม่เคยออกมาถามหาตำแหน่งงานอีกเลย สิบปีต่อมาเนื่องจากคำเยินยอของจวงจื่อ ชื่อเสียงของเขาในการเล่าเรียนค่อยๆ เป็นที่รู้จักไปทั่วหล้า ทุกอย่างกลับตาลปัตร รัฐต่างๆ ส่งทูตไปเชิญให้เขาเป็นขุนนางระดับสูงแต่กลับถูกเขาปฏิเสธทั้งหมด จนกระทั่งองค์ชายอั๋งมาเชิญเป็นการส่วนตัว

ความหยิ่งยโสของคนเช่นนี้จะเทียบกับคนธรรมดาได้อย่างไร?

และแล้วองค์ชายอั๋งก็ทำให้ฮุ่ยซือหวั่นไหว ไปต้าเหลียงด้วยตัวเองเพื่อพบกับเว่ยฮุ่ยอ๋อง ในขณะที่เจรจาก็รู้สึกประทับใจในความรู้และความสามารถของกษัตริย์แม้เขาจะรู้ดีว่าเว่ยฮุ่ยอ๋องมีข้อบกพร่องมากมายก็ตาม และแม้จะเป็นเพียงตำแหน่งไว่เซียง เขาอยู่ในรัฐเว่ยโดยไม่ลังเลและพยายามอย่างเต็มที่ในการวางแผนงาน

ความเชี่ยวชาญของฮุ่ยซือคือการศึกษาความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงระหว่างทุกสิ่ง ดังนั้นจึงมีความเข้าใจในปัญหาที่ลึกซึ้งกว่าคนทั่วไป ด้วยประสบการณ์หลายสิบปี มีหรือที่เขาจะมองไม่เห็นสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้?

บัดนี้เมื่อได้ยินว่าเว่ยอ๋องจะมาเยี่ยมตนด้วยตัวเอง ฮุ่ยซือก็ไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ เพียงบอกกับลูกชายของเขาที่อยู่ข้างเตียงว่า “บอกว่าข้ายังหลับอยู่”

ฮุ่ยจางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พูดด้วยเสียงต่ำ “ท่านพ่อไม่ต้องการจะพบหรือ?”

“ไม่ หากท่านอ๋องต้องการจะเข้ามาจะกันไว้ข้างนอกได้หรือ? เจ้าทำตามที่เห็นสมควรเถอะ” ฮุ่ยซือหลับตาลงอย่างอ่อนแรง ขมในลำคอเล็กน้อย “ช่วยข้าส่งประโยคนี้ไปให้ท่านอ๋อง…”

แสงสีขาวสว่างจ้าสาดเข้ามาจากหน้าต่างในช่วงบ่ายของฤดูใบไม้ร่วง ภายในห้องนอนขาวซีดไปทั้งแถบ มันซีดเหมือนกับใบหน้าและน้ำเสียงของฮุ่ยซือ

“ลูกเข้าใจแล้ว” ฮุ่ยจางช่วยห่มผ้าให้เขา ออกไปต้อนรับกษัตริย์แทนผู้เป็นบิดา

เมื่อเว่ยเฮ่อได้ยินว่าฮุ่ยซือยังคงไม่ได้สติ ก็เข้าไปเยี่ยมพอเป็นพิธี จากนั้นก็กำชับกับฮุ่ยจางสองสามคำว่าตำแหน่งไว่เซียงมีเพียงฮุ่ยซือเท่านั้นที่สามารถทำได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือปฏิเสธการลาออกของเขา

ฮุ่ยจางเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ตอนที่ท่านพ่อได้สติ ได้ฝากข้อความให้ข้าส่งต่อถึงท่าน”

เว่ยเฮ่อกล่าว “เชิญกล่าว”