บทที่ 207 ความจริงทุกอย่างถูกเปิดเผย มุ่งมั่นที่จะเข้าสู่แดนนิรันดร์!
“อยากให้ข้าเข้าสู่แดนนิรันดร์…”
จอมจักรพรรดิผู้เหี้ยมหาญพึมพํากับตัวเองดวงตาของนางอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไปราวกับว่ากําลังมองไปในทิศทางที่เขตต้องห้ามสุขาวดีตั้งอยู่ให้เข้าไปในแดนนิรันดร์ นั่นคือสิ่งที่เขาหมายถึงอย่างนั้นหรือ?
หลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานานในที่สุดจอมจักรพรรดิผู้เหี้ยมหาญก็ได้สติและหันความสนใจไปที่ร่างของผู้โดดเดี่ยวอีกครั้ง
“เจ้าบอกว่า ความโกลาหลของจักรวาลนี้เป็นผลมาจากการต่อสู้ระหว่างร่างที่แท้จริงของเจ้ากับศัตรูที่ยิ่งใหญ่นี้แล้วสิ่งมีชีวิตที่ได้รับพลังจากความมืดนี้คือใครงั้นรึ?”
จอมจักรพรรดิผู้เหี้ยมหาญถามด้วยความสงสัย
การต่อสู้ของสองผู้ยิ่งใหญ่ได้แพร่กระจายไปยังพิภพแห่งความจริง
หยดเลือดตกลงไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลาและทําให้จักรวาลหนึ่งไม่สามารถสงบสุขได้และเกือบล่มสลายใด
สิ่งเหล่านี้ ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าผู้โดดเดี่ยวที่แท้จริงและคู่ต่อสู้ของเขานั้นทรงอํานาจเพียงแล้วคู่ต่อสู้ของเขาคือใคร?
เหตุใดทั้งสองคนถึงต้องต่อสู้กัน?
จอมจักรพรรดิผู้เหี้ยมหาญไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้นางจึงต้องการคําตอบ
“คู่ต่อสู้ของชา เป็นผู้น่าสงสาร”
ผู้โดดเดี่ยวส่ายหน้าและถอนหายใจ
“ในตอนที่ข้าเข้าสู่ดินแดนแห่งนี้เป็นครั้งแรกข้าคิดว่าข้าสามารถเป็นจักรพรรดิสูงสุดของดินแดนนี้ได้แต่เมื่อข้าไปถึงดินแดนที่ไม่เคยมีใครมาถึงข้าก็ได้รับพลังด้วยเลือดหยดหนึ่งที่หยดมาจากเขตต้องห้ามสูงสุด และกลายเป็นข้าเช่นวันนี้”
“รับพลังจากหยดเลือด แล้วกลายเป็นแบบนี้งั้นรึ?”
มีคําใบ้ของความไม่เชื่อในน้ำเสียงจอมจักรพรรดิผู้เหี้ยมหาญ
ตัวตนของสิ่งมีชีวิตสูงสุดซึ่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งเดียวในสวรรค์และดินแดนมากมายแต่ตอนนี้ได้รับพลังมาจากหยดเลือดจากสิ่งที่เรียกว่าเขตต้องห้าม และได้กลายมาเป็นอย่างทุกวันนี้งั้นรึ?
หยดเลือดนั้น มันแข็งแกร่งแค่ไหนกัน?
สิ่งที่เรียกว่าเขตต้องห้ามคือที่ไหน?
“มันยากที่จะเชื่อใช่หรือไม่? ในตอนที่ข้าค้นพบความจริงเกี่ยวกับทุกสิ่งเป็นครั้งแรกข้าก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันกับเจ้า
น่าเสียดาย ที่สิ่งมีชีวิตตนแรกในประวัติศาสตร์สวรรค์และพิภพไปถึงดินแดนนั้นโดยไม่คาดคิดว่าดินแดนนี้จะยังไม่เสถียรและได้รับพลังจากเลือดหยดหนึ่งที่หยดมาจากเกาะสุขาวดีจนกลายเป็นต้นกําาเนิดของความมืดมิดชั่วนิรันดร์”
ผู้โดดเดี่ยวถอนหายใจเมื่อเห็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัยของจอมจักรพรรดิผู้เหี้ยมหาญและรู้ว่านางสงสัยสิ่งใดจึงอธิบายต่อ:
“เกาะสุขาวดี เป็นสถานที่สูงสุดเหนือสวรรค์และดินแดนมากมาย และหยดเลือดดําก็หยดมาจากที่นั่น
น่าเสียดายที่ร่างของข้าไม่เคยไปถึงเกาะสุขาวดีในตํานานเลยไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้างข้ารู้เพียงว่ามีสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือเขตแดนจอมจักรพรรดิเซียนนิรันดร์ของจริงซึ่งตัวตนระดับนี้เท่านั้นที่สามารถเข้าสู่เขตต้องห้ามนี้ได้”
“เขตต้องห้ามสุขาวดี สุขาวดีจ้าวแห่งเกาะสุขาวดี..
จอมจักรพรรดิผู้เหี้ยมหาญพึมพํากับตัวเอง ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อนางได้ยินผู้โดดเดี่ยวพูดถึงสุขาวดีนางก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงจ้าวแห่งเกาะสุขาวดี
นางรู้สึกอย่างนั้นเสมอว่าสิ่งต่างๆอาจไม่ง่ายนัก
ระหว่างทั้งสองคนนี้มันเป็นเพียงความบังเอิญจริงๆ งั้นหรือ?
เกรงว่ามันจะไม่ง่ายอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม มันยังห่างไกลจากเขตต้องห้ามสุขาวดีในตํานานนี้มากเกินไปแต่หยดเลือดที่หยดลงมาจากที่นั่นอาจทําให้สิ่งมีชีวิตสูงสุดในเขตแดนจอมจักรพรรดิเซียนนิรันดร์ล้มตายได้เป็นการยากที่จะจินตนาการว่าตัวตนที่ซ่อนอยู่ในนั้นทรงอํานาจเพียงใด
แม้ว่าจะอยู่ไกลออกไปแต่จอมจักรพรรดิผู้เหี้ยมหาญก็ไม่รู้ได้สึกถึงความหวาดกลัวหรือคิดที่จะถอยกลับแต่อย่างใดนี้
นางมีพรสวรรค์ทั้งในอดีตและปัจจุบันเป็นธรรมดาที่นางจะไม่ชะงักกับความยากลําบากเหล่าสําหรับนาง อย่างมากที่สุดก็ใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
“ข้อสงสัยของเจ้าข้าได้ตอบไปแล้วจงไปที่แดนนิรันดร์ซึ่งมีพิภพที่กว้างขึ้นมันเอื้อต่อการพัฒนาของเจ้ามากกว่า
เซียนส่องโลกาเป็นเขตแดนที่ถึงขีดจํากัดของจักรวาลนี้แล้ว
ในจักรวาลนับหมื่นแต่ละจักรวาลให้กําเนิดเซียนนิรันดร์ที่แท้จริงได้เพียงหนึ่งช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอย่างยิ่งที่ภายใต้สถานการณ์ที่เสื่อมถอยเช่นนี้ของจักรวาลนี้สามารถให้กําเนิดจอม
จักรพรรดิเซียนนิรันดร์ที่แท้จริงได้ถึงสามคนติดต่อกันเนื่อง
น่าเสียดาย ถ้าร่างกายของข้ายังมีชีวิตอยู่และรู้ข่าวนี้ ข้าจะต้องไปสํารวจมัน…”
ผู้โดดเดี่ยวถอนหายใจในขณะเดียวกันร่างของเขาก็ค่อยๆ กลายเป็นภาพที่พร่าเลือนอย่างต่อร่างแห่งความมืดในดินแดนยมโลกโบราณก็ค่อยๆจางหายไปเช่นกัน
เมื่อหลายล้านปีก่อนสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดนี้ได้กําจัดร่องรอยสุดท้ายของพลังของมันไปแล้ว
และตอนนี้มีเพียงวิถีนิรันดร์ที่ประทับอยู่บนฟ้าดิน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างความเสียหายใดๆ
ให้กับพิภพอีกต่อไป
“น่าเศร้าที่ในช่วงหลายล้านปีที่ผ่านมา เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้รับความเดือดร้อน”เมื่อมองไปที่ความมืดที่ค่อยๆจางหายไปจอมจักรพรรดิผู้เหี้ยมหาญก็ถอนหายใจเมื่อหลายล้านปีก่อนสุดท้ายแล้วทุกอย่างก็สงบลงจอมจักรพรรดิทั้งสองเข้าสู่แดนนิรันดร์และนางก็เข้าสู่การหลับไหล
พลังแห่งความมืดส่วนใหญ่ในจักรวาลถูกกําจัดจนสิ้นซาก
แต่ยังคงมีส่วนน้อยที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจักรวาลขนาดใหญ่ฝังอยู่ในประทับเจตสิกสวรรค์อยู่ในหมื่นวิถี จึงเป็นเรื่องยากที่จะกําจัด
นี่เทียบเท่ากับค่าสาปของพลังแห่งความมืดและสําหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น
เพราะเมื่อหลายล้านปีก่อนผู้ที่เข้าไปในยมโลกและช่วยผู้โดดเดี่ยวปิดกั้นความมืดล้วนเป็นคนของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ดังนั้น พลังแห่งความมืดจึงมุ่งเป้าไปที่เผ่าพันธุ์มนุษย์
จนถึงตอนนี้ประทับเจตสิกสวรรค์ได้ถูกบดบังด้วยพลังแห่งความมืดซึ่งทําให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ฝึกฝนวิถีแห่งเต๋าได้ยากแม้กระทั่งเพียงกึ่งจอมจักรพรรดิ
หากการฝึกฝนเขตแดนพลังยุทธ์น้อยกว่าเขตแดนเซียนส่องโลกา ก็ไม่มีทางที่จะทําลายและเป็นจอมจักรพรรดิสูงสุดได้
แต่เมื่อล้านปีก่อนเผ่าพันธุ์มนุษย์เจริญรุ่งเรืองและจอมจักรพรรดิก็ปรากฏขึ้นทีละคน
และเป็นเวลาเกือบล้านปีแล้วที่เผ่าพันธุ์มนุษย์เสื่อมถอยลงและแม้แต่จอมจักรพรรดิโบราณก็ไม่เคยถือกําเนิดขึ้น
เมื่อหลายล้านปีก่อนในช่วงเวลาสุดท้ายพลังแห่งความมืดนี้ยังไม่ปรากฏดังนั้นจอมจักรพรรดิผู้เหี้ยมหาญและคนอื่นๆจึงไม่สังเกตเห็น
ไหล
และต่อมาอู๋จื่อและคนอื่นๆก็เข้าสู่แดนนิรันดร์และจอมจักรพรรดิผู้เหี้ยมหาญก็เข้าสู่การหลับหลังจากที่พลังแห่งความมืดปรากฏขึ้นจริงๆ พวกเขาก็ยังไม่สามารถหาคําตอบได้
ถ้าไม่ใช่เพราะจ้าวแห่งเกาะสุขาวดีที่ทําลายพันธนาการและกําจัดพลังแห่งความมืดเผ่าพันธุ์
มนุษย์ก็ยังคงไม่มีใครสามารถพิสูจน์เส้นทางที่ถูกต้องได้สําเร็จ!
“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบางทีข้าควรเข้าสู่แดนนิรันดร์”
จอมจักรพรรดิผู้เหี้ยมหาญเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างครุ่นคิด
สําหรับนางในจักรวาลนี้ไม่มีอะไรให้คิดถึงอีกแล้ว
อู๋จื่อและคนอื่นๆได้จากไปแล้วจ้าวแห่งเกาะสุขาวดีก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เช่นกัน
เพื่อไล่ตามใครบางคน ดินแดนที่สูงขึ้นพิภพที่กว้างขึ้นทุกอย่างอยู่ในแดนนิรันดร์
สุดท้ายแล้วในตอนนี้จอมจักรพรรดิผู้เหี้ยมหาญก็ได้ตัดสินใจที่จะเข้าสู่แดนนิรันดร์!