ตอนที่ 119 เรื่องประหลาดตระกูลเหมย (3)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

“มีเทียบหรือไม่” ชายชุดดำถาม

 

 

ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ฉายแววเย็นชา สั่นศีรษะ “ไม่เคยส่งเทียบแต่มีธุระสำคัญ”

 

 

ท่าทางของทหารชุดดำวางเขื่องทันที โบกมืออย่างแรง “ใครมาตระกูลเหมยแล้วไม่มีธุระสำคัญบ้าง”

 

 

ว่าแล้วก็ล่วงกระดาษปึกใหญ่ออกจากอกเสื้อ ชักเทียบใบหนึ่งส่งให้ชิวเยี่ยไป๋ “เอ้า กรอกรายละเอียดตามระเบียบ ข้าจะช่วยส่งเข้าไป”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองเสี่ยวชี เสี่ยวชีเม้มปากรับกระดาษแผ่นนั้นไว้ นึกในใจว่าไอ้ตระกูลเหมยนี่ระเบียบเยอะจัง

 

 

นึกไม่ถึงว่ามือของเสี่ยวชียังไม่ทันสัมผัสกับกระดาษ ชายชุดดำก็ชักมือกลับ กล่าวอย่างยโสว่า “ทำไมถึงไม่รู้ความ กระดาษนี่เจ้าซี้ซั้วแตะต้องได้หรือ”

 

 

ว่าแล้วก็ยื่นมือชูสามนิ้วใส่ชิวเยี่ยไป๋ แสดงว่าต้องจ่ายเงิน

 

 

ชิวเยี่ยไป๋โกรธจนเกือบหัวร่อ มุมปากกระตุกอย่างดูแคลน “ทหารเฝ้าประตูของราชธานีถึงกับเป็นสุนัขรับเงินให้กับบ้านพ่อค้าเชียวหรือ”

 

 

แย่นักที่คนพวกนี้คิดหาเงินด้วยวิธีนี้ ทั้งที่ตระกูลเหมยออกใหญ่โตเป็นถึงพ่อค้าหลวง

 

 

ชายชุดดำฟังแล้วงงงันวูบหนึ่ง ยังสงสัยว่าฟังผิดหรือเปล่า

 

 

เพราะตระกูลเหมยเป็นพ่อค้าหลวงอันดับหนึ่ง ยามปกติไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเท่าใดที่มาเยือนตระกูลเหมยด้วยเรื่องราวต่างๆ นานา ไม่มีเทียบแสดงตัวและถูกไล่ไปประตูหลังล้วนเป็นพวกไม่มีเส้นสาย ซ้ำร้ายบางคนยังมาขอกินด้วย

 

 

คนเฝ้าประตูหลังของตระกูลเหมยจึงคิดหาวิธีหาลำไพ่ คอยรับเงินพวกไม่มีที่มาที่ไป พวกแขกที่ไม่สลักสำคัญอะไรมักพยายามประจบพวกเขาเพื่อจะได้เข้าไป แม้แต่ข้าราชการต่างถิ่นตัวน้อยมาถึงเมืองหลวงยังสู้ยอมติดสินบนเพื่อจะได้เข้าประตูหลังของตระกูลเหมยด้วยซ้ำ

 

 

เขาเก็บเงินจนเคยตัว ไม่เคยมีใครเย็นชากับเขาเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยังออกปากถากถางอีกด้วย

 

 

บัดนี้แม้ที่ชิวเยี่ยไป๋พูดจะเป็นความจริง แต่การไม่ให้หน้ากันถึงขนาดนี้ ทำให้เจ้าชุดดำไม่พอใจอย่างที่สุด จึงเขม้นใส่ชิวเยี่ยไป๋อย่างดุร้าย

 

 

“ไอ้หน้าอ่อน เจ้าว่าอะไร”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้วมองดูเขา ยิ้มเนือยๆ กล่าวว่า “ข้าว่าทหารของเมืองหลวงกลายเป็นสุนัขเฝ้าประตู ถ้าจะให้พูดให้สั้นหน่อยก็คือ…เจ้าเป็นหมาเฝ้าบ้าน ชัดเจนหรือยัง”

 

 

ทหารชุดดำโกรธจัด ตวัดแส้หมายฟาดหน้าชิวเยี่ยไป๋ “อะไรวะ ถึงกับกล้าหยามทหารเชียวหรือ ไอ้หน้าอ่อนหาที่ตาย!”

 

 

แต่แส้เพิ่งตวัดขึ้น เสี่ยวชีก็กระโดดโหยงตบหน้าซ้ายขวาสองฉาด

 

 

ทหารชุดดำถูกตบจนเซ ยืนไม่ติดจึงคุกเข่ากับพื้น ถ่มฟันออกมาสองซี่ หัวหมุนตาลาย เขานึกไม่ถึงว่าคนที่ผอมแห้งตัวนิดเดียวคนนี้ ดูแล้วเหมือนได้รับอาหารไม่เพียงพอตั้งแต่เกิด แต่กลับมีแรงตบมหาศาลเช่นนี้!

 

 

รอบข้างพลันเงียบสงัด คนในตลาดตะวันตกพากันเงียบเสียง ทุกสายตารวมกันจุดเดียวที่ประตูหลังบ้านตระกูลเหมย

 

 

แถมตลาดตะวันตกมิใช่เขตแดนที่ผู้สูงศักดิ์จะเข้ามาได้ ทหารชุดดำคนนี้คือเจ้าพ่อในเมืองหลวง บัดนี้…ถึงกับ…มีคนกล้าตบเขา

 

 

การลงมือของเสี่ยวชีเหมือนแหย่รังแตนเข้า หลังเงียบสงัดครู่หนึ่ง เสียงจอแจพลันดังสับสน ไม่รู้ว่าทหารอีกเจ็ดแปดคนในตลาดโผล่มาตอนไหน ทุกคนถือมีดดาบและเชือกคล้องล้อมชิวเยี่ยไป๋กับเสี่ยวชีไว้ ยังมีอีกสองคนวิ่งไปพยุงชายชุดดำที่ถูกตบกลิ้งกับพื้นลุกขึ้น

 

 

“หัวหน้า ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม”

 

 

ที่แท้ชายชุดดำคนนี้คือหัวหน้ามือปราบนี่เอง เขาทั้งวิงเวียนและอับอาย ต่อหน้าคนเยอะแยะถูกตบจนฟันร่วงกลางตลาด เขาจะกล้ำกลืนได้อย่างไร เขาจึงตวาดลั่น “ตี…ตีมัน…ตีมันให้ตายเลย!”

 

 

พวกลิ่วล้อได้ยินคำสั่งกำลังจะฮือกันเข้าไป นึกไม่ถึงว่าเสี่ยวชีกลับหัวร่อเย็นชา โถมใส่กลุ่มทหารชุดดำก่อน พวกทหารกำลังเตรียมจะจับเสี่ยวชีไว้ แต่ว่าเสี่ยวชีตัวลื่นเหมือนปลาไหลมุดไปมุดมา กระโดดอีกทีก็ถึงตัวคนเป็นหัวหน้าแล้วตบใส่ทั้งซ้ายทั้งขวาอีกรอบ เพียะ เพียะ เพียะ เพียะ!

 

 

ตบซ้ายตบขวาจนหัวหน้าฟุบกับพื้น ถ่มฟันออกมาอีกเจ็ดแปดซี่

 

 

พวกทหารยืนงง

 

 

เสี่ยวชีถุยน้ำลายใส่ตัวหัวหน้าที่กองกับพื้น “เป็นอย่างไร สุนัขใหญ่ตัวไหน กล้าดีอย่างไรสามหาวกับใต้เท้าข้า หา!”

 

 

คำว่า ‘ใต้เท้า’ ทำเอากลุ่มชายฉกรรจ์ที่โถมเข้าใส่ชะงักกลางคัน

 

 

ถ้าไม่มีตำแหน่งหน้าที่ในราชสำนัก ย่อมมิอาจเรียกตนเองเป็นใต้เท้า

 

 

และคนที่กล้ามาหาเรื่องตระกูลเหมย ถ้าไม่ใช่ขุนนางต่างแดนก็ต้องเป็นคนใหญ่คนโตในเมืองหลวง

 

 

ทหารคนหนึ่งที่หน้าตาเฉลียวฉลาดจึงถามชิวเยี่ยไป๋อย่างลังเล “ขอเรียนถามว่า…เอ่อ…ใต้เท้าประจำอยู่ที่ใด”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ล้วงป้ายจากเอวแกว่งใส่หน้าแวบหนึ่ง กล่าวเนือยๆ ว่า “นายกองขุนนางระดับสี่แห่งซือหลี่เจียน ชื่อชิวเยี่ยไป๋”

 

 

บรรดาทหารหน้าเขียวคล้ำทันที แม้ซือหลี่เจียนจะมิได้รุ่งโรจน์เช่นอดีต การตรวจสอบข้าราชการก็เหลือแต่ชื่อ แต่อำนาจราชทัณฑ์ยังอยู่ในมือทหารหน่วยนี้ ขุนนางเมืองหลวงและหน่วยอู่เฉิงปิงหม่าซือยังต้องให้หน้าสามส่วน

 

 

ตำแหน่งใหญ่กว่าขั้นเดียวก็ทับคนตายได้ เชียนจ่งขุนนางระดับสี่ใหญ่กว่าพวกเขาที่ไม่มีระดับไม่รู้กี่เท่าตัว

 

 

พวกเขามองหน้ากันเลิ่กลั่ก มีใครบ้างที่จะไม่รู้ว่าซือหลี่เจียนอยู่ในการควบคุมขององค์พระพันปี

 

 

และแล้วยังคงเป็นทหารที่หน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้นส่งสายตาให้พรรคพวกรีบหิ้วปีกตัวหัวหน้าที่กองอยู่กับพื้นออกไป พลางคารวะอย่างนอบน้อม “มิรู้ว่าใต้เท้าให้เกียรติมาเยือน พวกข้าน้อยมีตาแต่หามีแววไม่ ยังหวังว่าใต้เท้าจะให้อภัย ข้าน้อยขอรีบนำใต้เท้าเข้าทางประตูหน้า”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ก็ขี้เกียจทำให้พวกเขาลำบากใจ ถึงอย่างไรก็สั่งสอนไปแล้ว จึงกล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า “ไม่ต้อง ข้าจะเข้าประตูหลัง ลองของแปลกดูสักครั้ง”

 

 

ทหารนายนั้นตัวแข็ง หัวร่อแห้งๆ “ขอรับ ใต้เท้าโปรดรอสักครู่”

 

 

ว่าแล้วก็รีบเคาะประตูหลังบ้านตระกูลเหมย หมัวมัวเฝ้าประตูโผล่ออกมาฟังทหารคนนั้นรายงานด้วยสีหน้าเฉยเมย ช้อนตาขุ่นมั่วแลดูชิวเยี่ยไป๋รอบหนึ่ง ผงกศีรษะกล่าวว่า “รอเดี๋ยว ข้าไปรายงานพ่อบ้านก่อน”

 

 

พูดจบก็ปิดประตูดังปัง

 

 

ทหารคนนั้นเกือบถูกประตูงับจมูก ออกจะไม่พอใจอยู่บ้างจึงหันมายิ้มแหยๆ กับชิวเยี่ยไป๋ “ใต้เท้าโปรดรอสักครู่นะขอรับ จวนตระกูลเหมยค่อนข้างใหญ่โต”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เหลือบตาอย่างดูแคลนแต่ไม่พูดอะไร

 

 

ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ยังคงไม่มีใครมาเปิดประตู ทหารคนนั้นรู้สึกว่าถูกชิวเยี่ยไป๋จ้องมองหลังตนเองจนเหงื่อผุดออกมาเย็นเยียบ ร่ำร้องในใจว่า ใต้เท้าเชียนจ่งคนนี้หน้าตาและอายุยังน้อย ทำไมสายตาจึงเหมือนคมดาบเช่นนี้หนอ

 

 

แต่เขาก็อดนึกต่อไม่ได้ หรือว่าชิวเชียนจ่งคนนี้ไม่มีน้ำหนักอะไรในราชสำนัก ไม่เช่นนั้นพ่อค้าหลวงตระกูลเหมยย่อมไม่กล้าเพิกเฉยถึงเพียงนี้