ชิวเยี่ยไป๋แลดูดวงตะวัน พลันขึ้นเสียงเย็นชา “ดูท่าตระกูลเหมยจะวางเขื่องใหญ่โตอยู่ ข้าได้รับบัญชาจากองค์พระพันปีมาสืบคดี แต่ตระกูลเหมยกลับไม่ให้เข้าบ้าน กล้าขัดพระเสาวนีย์เชียวหรือ แต่เอาเถิด พวกเรากลับ”

 

 

พูดจบก็หันกายออกเดิน แต่พริบตานั้นประตูหลังบ้านก็เปิดออก คราวนี้คนที่ออกมาเป็นบุรุษวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นรองพ่อบ้าน เขากล่าวเสียงดัง “ใต้เท้าชิว ช้าก่อน”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เหมือนไม่ได้ยิน ยังคงนำเสี่ยวชีเดินต่อไป

 

 

พ่อบ้านคนนั้นร้อนรน รีบสาวเท้าหลายก้าว ลดเสียงลงกล่าวอย่างรีบร้อนว่า “ใต้เท้าชิว ใต้เท้าชิว เมื่อครู่ยายเฒ่าที่เฝ้าประตูอายุมากแล้ว เดินเหินพูดจาเลอะเทอะอยู่บ้าง ข้าน้อยจึงมารับช้า บัดนี้คุณชายใหญ่กำลังรอต้อนรับใต้เท้าแล้ว ท่านโปรดให้อภัยด้วย!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋จึงหยุดเท้ามองดูพ่อบ้าน “เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินว่าคุณชายใหญ่ไม่อยู่บ้าน ทำไมจึงกลับมาเร็วนักล่ะ หรือว่าเมื่อครู่โกหกข้า”

 

 

พ่อบ้านเห็นคนเริ่มมุงมากยิ่งขึ้น รู้ว่าชิวเยี่ยไป๋แกล้งตนเป็นการแก้แค้นที่เมื่อครู่ทำนางเสียหน้า

 

 

เขาจึงวิ่งถึงเบื้องหน้าบุรุษเยาว์วัย ยิ้มอย่างประจบประแจง “ใต้เท้าขอรับ เป็นข้าน้อยเองที่ให้คนไปแจ้งคุณชายใหญ่ว่ามีอาคันตุกะสูงศักดิ์มาเยือน ดังนั้นคุณชายใหญ่จึงรีบกลับมาเมื่อครู่นี้เอง และขณะนี้กำลังรอใต้เท้าอยู่นะขอรับ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองดูพ่อบ้าน สะบัดชายเสื้อช้าๆ ยิ้มจางๆ กล่าวว่า “ข้าว่าแล้ว คนบางคนมันถ่อย ชอบเอาหน้าไปให้คนเหยียบ”

 

 

พูดจบพลันสะบัดแขนเสื้อ หันกายก้าวอาดๆ เข้าประตูหลังของตระกูลชิว

 

 

เสียงของชิวเยี่ยไป๋ดังไม่น้อย คนรอบข้างได้ยินหมด ต่างพากันหัวร่ออย่างกลั้นไม่อยู่

 

 

รองพ่อบ้านยังคิดว่าต้องกล่อมชิวเยี่ยไป๋ยกใหญ่ คาดไม่ถึงว่าพอนางหันกายก็เข้าประตูไปเลย ยังไม่ทันตั้งตัวจึงยังคงยืนทื่ออยู่กับที่ด้วยสีหน้าแดงฉาน

 

 

เขาเคยเสียหน้าเช่นนี้เมื่อใดกัน

 

 

ทว่า พ่อบ้านใหญ่บอกไว้แล้ว จะให้คนแซ่ชิวกล่าวหาว่าขัดบัญชาของพระพันปีท่ามกลางธารกำนัลหน้าประตูมิได้ ไม่เช่นนั้นตัวเขามีหรือจะยอมให้เชียนจ่งกะจ้อยร่อยคนหนึ่งหยามหน้าเช่นนี้

 

 

บรรดาทหารเลวไม่รู้ แต่พวกตนรู้แน่ว่ากองคั่นเฟิงคือตัวอะไร ไอ้คนแซ่ชิวก็แค่ท่าดีทีเหลว แค่ตำแหน่งจอมปลอมเท่านั้นเอง

 

 

รองพ่อบ้านมองตามเงาหลังของชิวเยี่ยไป๋อย่างเย็นชา กำหมัดแน่นแล้วหันกายตามเข้าประตูไป

 

 

หลังจากเสียงประตูปิดดัง โครม ทหารหน้าตาเฉลียวฉลาดเกือบถูกประตูงับเข้าอีกครั้ง เขาลูบจมูกอย่างจนใจและแค้นเคือง หันไปเขม้นใส่พวกชาวบ้านที่มุงดูตวาดว่า “ดูอะไรวะ ไอ้พวกเฮงซวย เรื่องของคนสูงศักดิ์ต้องให้พวกเจ้ามุงดูหรือ รีบไสหัวไป เร็ว!”

 

 

ชาวบ้านเห็นท่าทางดุร้ายราวยมทูตก็แตกฮือไป

 

 

เหลือเพียงขอทานน้อยที่อุ้มชามอยู่ ถือหมั่นโถวในมือจ้องสิงโตหินดำเมี่ยมหน้าประตูไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

 

 

“เฮอะ ขุนนางให้หมั่นโถวครึ่งลูก เจ้าก็เห็นเป็นของวิเศษถึงขนาดนี้หรือ”

 

 

“ไอ้โง่จากต่างถิ่นได้หมั่นโถวกินก็ไม่เลวแล้ว”

 

 

“ฮ่าๆๆ…”

 

 

พวกขอทานที่เดินผ่านขอทานน้อยพากันเยาะเย้ย แต่ถึงอย่างไรก็ยังยำเกรงต่อคนที่ให้หมั่นโถวและชามใบนั้นซึ่งเป็นถึงขุนนาง จึงไม่กล้าเตะส่งหรือกระทบชามของขอทานน้อยอีก

 

 

ขอทานน้อยก้มหน้าไม่พูดจนกระทั่งกลุ่มขอทานสลายตัวแล้ว เขาจึงคลายมือจากหมั่นโถวลูกนั้นช้าๆ ตรงกลางหมั่นโถวมีรู ในนั้นยัดเศษเงินไว้หนักถึงสามตำลึง เดิมทีหมั่นโถวคว่ำอยู่ในชาม ถ้าไม่พลิกขึ้นมาหรือฉีกออกไม่ทันดู จะไม่รู้เลยว่ามีเงินยัดไส้อยู่

 

 

เงินนี้เพียงพอกับค่ายาของน้องสาวแล้วยังกินข้าวต้มขาวได้อีกเป็นเดือน

 

 

ขอทานน้อยยืนมองบานประตูอย่างเซื่องซึม นึกถึงแววตาของบุรุษหนุ่มที่เพิ่งเข้าไปมองตน นุ่มนวลสงบ คล้ายกับจะบอกว่าสู้ได้หรือไม่ได้ไม่มีอะไรต่างกัน

 

 

แต่เขารู้ดีว่าพวกเขาไม่เหมือนกัน บุรุษหนุ่มผู้นั้นเป็นขุนนาง จึงทำให้ตระกูลเหมยถึงกับต้องส่งคนออกมาต้อนรับขับสู้

 

 

พวกขุนนางมิใช่ควรนั่งในเกี้ยวหามแต่ไกล มองไกลๆ เหมือนพระโพธิสัตว์ในศาลเจ้าที่ให้คนกราบไหว้หรอกหรือ

 

 

พระโพธิสัตว์ย่อมไม่ฆ่าคน แต่เขาเคยเห็นอาหนิงที่เป็นเพื่อนขอทานด้วยกัน อยากจะได้ทานเสื้อหนาวสักสองตัวไปให้น้องสาว จึงย่อมเสี่ยงไปขอทานที่ตลาดถนนจูเชี่ย เคราะห์ไม่ดีไปชนเอาคนหามเกี้ยวของขุนนางใหญ่ จากนั้นก็ถูกทหารที่คอยลาดตระเวนถนนจูเชี่ยลากไปทุบตีจนตาย

 

 

อาหนิงอายุแค่สิบสอง พอๆ กับคนที่นั่งอยู่ในเกี้ยวกับขุนนางใหญ่ ขุนนางใหญ่มองดูอาหนิงถูกลากไปอย่างเย็นชาเหมือนมองมดตัวหนึ่ง

 

 

แต่ขุนนางเมื่อครู่ดูดีมาก ไม่เพียงหน้าตาดี ยามให้ทานยังเมตตาคิดหาวิธีไม่ให้เงินนั่นถูกขอทานอื่นแย่งไปด้วย

 

 

ที่แท้ขุนนางกับขุนนางก็ไม่เหมือนกันหรือ

 

 

ขอทานน้อยก้มหน้ากะพริบตา พบว่าตนเองมิได้มีน้ำตาแห่งความตื้นตันเหมือนที่คิด

 

 

แปลกจริง…

 

 

เขาหยิบหมั่นโถวเริ่มแทะกิน ตายังคงจ้องประตูตระกูลเหมย จ้องอยู่เช่นนั้น ในหัวนึกถึงแต่แววตาที่นุ่มนวลสงบคู่นั้น

 

 

……

 

 

“ใต้เท้า เชิญทางนี้ขอรับ” รองพ่อบ้านนำทางอยู่ข้างหน้ายิ้มอย่างนบนอบ ราวกับว่าเมื่อครู่เขามิได้ปล่อยให้ชิวเยี่ยไป๋ตากแดดอยู่นอกบ้านหนึ่งเค่อและชิวเยี่ยไป๋ก็มิได้ทำให้เขาเสียหน้าต่อธารกำนัลก็มิปาน

 

 

แต่ชิวเยี่ยไป๋มิได้ให้หน้าเขา ส่งเสียงเย็นชาคำหนึ่งแล้วเดินต่อ

 

 

คฤหาสน์ตระกูลเหมยดูจากภายนอกไม่แตกต่างจากบ้านเศรษฐีอื่นมากนัก แต่พอเข้าไปก็เป็นอีกทัศนียภาพหนึ่ง แม้จะไม่โอ่อ่าด้วยกำแพงแดงหลังคาเขียวเช่นจวนตระกูลชิว แต่ก็มีรสนิยมอีกแบบ

 

 

สะพานน้อยธารน้ำไหล ภูเขาจำลองและบึงน้ำ หอเก๋งศาลา ชายคากระเบื้องสีมรกต ระเบียงสายน้อยกลางดงบุปผา ธารน้ำเล็กๆ ที่บรรจงสร้างไหลรินคดเคี้ยวจากดงบุปผา น้ำใสมีปลาหางเขียวตัวน้อยว่ายเล่นอยู่

 

 

ยังมีเรือแจวลำน้อยที่มีหลังคาจอดอยู่ริมฝั่ง

 

 

“ใต้เท้า โปรดลงเรือ”

 

 

ถ้ามิใช่ชิวเยี่ยไป๋แน่ใจว่าตนเองอยู่ในเมืองหลวง เห็นทัศนียภาพนี้แล้ว นางคงหลงคิดว่ามาถึงเจียงหนานดินแดนแห่งสายน้ำและบุปผาแล้ว

 

 

เห็นท่าทางงุนงงของชิวเยี่ยไป๋ รองพ่อบ้านก็ลอบแค่นเสียงหยามหยันในใจ ไอ้พวกคนเถื่อนทางเหนือก็บ้านนอกเช่นนี้ ไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ เสี่ยวชี และรองพ่อบ้านลงเรือลำน้อย หญิงรับใช้ที่ทำหน้าที่แจวเรือแต่งกายเหมือนคนถ่อเรือชาวประมงเจียงหนาน แจวเรือน้อยล่องไปตามลำน้ำที่คดเคี้ยว ตลอดทางมีแต่ต้นไม้และบุปผา บางครั้งยังมีกลีบดอกร่วงหล่นลงมา ไม่ไกลจากฝั่งมีโขดหินยาวที่มีตะไคร่จับ แกะสลักตัวอักษรลั่วอิงเมี่ยวตี้ (แดนแก่นธรรมบุปผาร่วง) ไว้อย่างงดงาม ลายมือบ่งบอกถึงความเก่าแก่โบราณ