บทที่ 221 การฝึกฝนตลอดครึ่งปี
การโจมตีด้วยตราธรรมจุติมรณะ มีความพิศวงของทั้งพลังแห่งชีวิตและพลังแห่งความตายรวมเข้าไว้ด้วยกัน เป็นวิธีการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของหลัวซิวในตอนนี้
กฎดั้งเดิมเก้าภาพ เขาเข้าใจทะลุปรุโปร่งถึงภาพที่สอง ส่วนความเข้าใจต่อพลังสองระดับความเป็นตายนั้นกลับอยู่ระดับขั้นต้นเท่านั้น
เขาสามารถใช้พลัง ATTR ระหว่างพลังชีวิตกับพลังความตายสลับกันได้ตามต้องการ แต่การใช้พลังชีวิตกับพลังความตายแบบรวมเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งมากขึ้นนั้น เขายังไม่สามารถทำได้
ที่เขาสามารถใช้ตราธรรมจุติมรณะได้ เป็นเพราะว่าเขาอาศัยลูกแก้วความเป็นตายฝึกฝนพลังจิตแท้สองระดับ
และเป็นเพราะว่าเขายังไม่สามารถตระหนักรู้ถึงความลึกลับของการรวมความเป็นตายเป็นหนึ่ง ดังนั้นทุกครั้งที่เขาใช้ เขาจะใช้พลังจิตแท้จนหมดเกลี้ยง
หากเขาสามารถตระหนักรู้ถึงความลึกลับที่อยู่ในนั้นได้ นั่นถึงจะเรียกได้ว่าเขาสามารถควบคุมตราธรรมจุติมรณะได้จริงๆ
จากพลังของตราธรรมจุติมรณะรวมเข้ากับพลังแปรเสวียนเทียน 24 เท่า ทำให้เขาสามารถสังหารมังกรเจียวอัคนีที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับอสูรกายที่ฝึกจิตขั้น 8 ได้
เมื่อร่างเนื้อของหลัวซิวเข้าสู่ขั้นร่างยุทธ์สูงสุดแล้ว ร่างกายของหลัวซิวสามารถรับแรงกระแทกจากพลังแปรเสวียนเทียน 24 เท่าได้ถึงสามครั้ง
แม้ว่าการต่อสู้กับมังกรเจียวอัคนีสี่ครั้งภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน จะทำให้พลังยุทธ์ของหลัวซิวเพิ่มขึ้น
แต่หากเป็นผู้เป็นอมตะจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นสักครั้ง
และด้วยพลังยุทธ์ของร่างกายเขาที่เพิ่มขึ้น เขาก็ยิ่งต้องการต่อสู้กับคู่แข่งที่แข็งแกร่งขึ้น เขาถึงจะได้สัมผัสกับความท้าทายของแดนตันแห่งความเป็นตาย
เมื่อเดินไปเรื่อยๆ จนถึงบริเวณรอบนอกของแดนตันแห่งความเป็นตาย แล้ว หากไม่ระวังก็เหมือนกับดักที่อาจจะตายได้ทุกเมื่อโดยไร้แผ่นดินฝัง
“การฝึกจิตขั้น 8 ของมังกรเจียวอัคนีไม่สามารถสร้างความท้าทายให้กับเราได้มากเพียงพอ เช่นนั้นเราจะไปตามหาอสูรกายฝึกจิตขั้น 9 ถ้ายังไม่ได้อีกก็จะไปตามหาอสูรกายที่มีพลังเทียบเท่ากับราชายุทธ์”
การเลื่อนระดับการฝึกตนได้โดยใช้เวลาเพียงเดือนกว่า สำหรับผู้อื่นแล้ว เรื่องนี้นับว่าก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว ทว่าหลัวซิวยังคงรู้สึกว่าช้าเกินไป
เวลาที่ผ่านไปในแต่ละวัน ในดินแดนที่ลึกขึ้นของแดนนานาอสูรเขตที่ 3 นั้น มีอสูรกายฝึกจิตระดับ 8 อยู่สิบสามตัว รวมทั้งอสูรกายใหญ่ระดับ 9 อีกสามตัว
ในกลุ่มอสูรกายฝึกจิตระดับ 8 สิบสามตัวนั้น มังกรเจียวอัคนีที่โดนหลัวซิวกำจัดนั้น จัดว่ายังอยู่ในขั้นกลาง
หนึ่งในนั้นมีอสูรกายดึกดำบรรพ์สามตัว พลังแข็งแกร่งยากทัดเทียม แม้ว่าหลัวซิวจะครอบครองไพ่เด็ดอย่างตราธรรมจุติมรณะและพลังแปรเสวียนเทียนอยู่ แต่ก็ทุกครั้งก็ต้องเสี่ยงอันตรายรอบด้าน
เวลาครึ่งปีผ่านไป ผมเผ้าของหลัวซิวหลุดลุ่ยยาวถึงเอว ชุดดำที่สวมใส่อยู่ก็ขาดวิ่นทุกแห่ง ดูสกปรกมอมแมม
เมื่อครุ่นคิดอยู่แต่กับเรื่องกับเรื่องการฆ่าฟันและบำเพ็ญตบะ หลัวซิวไม่มีเวลามาใส่ใจหน้าตาของตัวเองเลย เพราะในดินแดนนานาอสูรนี้ นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีมนุษย์คนอื่นอีก
ท่าทางของเขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนป่า แต่ดวงตาคู่ที่ถูกผมเผ้าบดบังอยู่นั้นกลับปรากฏแววดุร้ายราวสัตว์ป่า
ไอสังหารเริ่มรุนแรงขึ้น ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารก็เริ่มขยายใหญ่ เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นดูคล้ายกับสัตว์ร้ายที่กำลังจำศีล ไม่ว่าผู้ใดเห็นต่างต้องหวาดกลัว
ตอนนี้เขาอยู่ที่ดินแดนนานาอสูรเขตสามแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งสถานที่แห่งนี้
ป่าที่เป็นที่อยู่อาศัยของมังกรเจียวหยกอัคนีเดิมตอนนี้ได้กลายเป็นฐานที่ตั้งของเขาแล้ว เขาได้วางค่ายกลระดับ 4 ไว้ที่นี่ถึง 10 กว่าค่าย ทำให้สถานที่แห่งนี้มีความมั่นคงปลอดภัยมาก
การขัดเกลาจากการต่อสู้เข่นฆ่ามากว่าครึ่งปี ร่างกายของเขาได้ยกระดับขึ้นเป็นร่างยุทธ์สูงสุดช่วงหลัง เทียบเท่ากับมังกรเจียวหยกอัคนี
ยาเลี้ยงจิตมีจำนวนไม่มากนัก และเขาได้ใช้มันจนหมดแล้ว พลังของตัวสำนึกจึงมีความสามารถเทียบเท่ากับการฝึกจิตขั้น 8
หากใช้ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารรวมกับวิญญาณในการโจมตี สามารถต่อสู้กับผู้ฝึกจิตขั้น 9 ได้
การฝึกตนของเขา หลังจากใช้ยากลั่นจิตไปกว่าร้อยเม็ด เพื่อกระตุ้นผู้เป็นอมตะถึงสามครั้ง สุดท้ายจึงบรรลุถึงขั้นฝึกจิตขั้น 5
ทุกครั้งที่กระตุ้นผู้เป็นอมตะ นั่นหมายความว่าเขาได้เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในแดนตันแห่งความเป็นตาย
การกระตุ้นถึงสามครั้ง นั่นหมายความว่าเขามีความเสี่ยงที่จะสิ้นชีพถึงสามครั้งเช่นกัน
การบำเพ็ญตบะที่ทุกข์ทรมานเช่นนี้ พลังยุทธ์ของเขายกระดับขึ้นภายในเวลาครึ่งปีจนมาถึงขั้นนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้เห็นได้ว่าหลังจากฝึกจิตแล้ว การยกระดับในแดนโลกยุทธ์มีความยากลำบากขนาดไหน
“ยังมีเวลาอีกสามเดือน แดนปริศนาคงใกล้จะต้องเริ่มต้นแล้ว หักจากเวลาที่ต้องไปที่ประเทศเทียนหวูออกแล้ว ฉันยังมีเวลาเหลืออีกสองเดือน”
บนก้อนหินขนาดยักษ์สีแดงเพลิง หลัวซิวค่อยๆ ลืมตาที่เต็มไปด้วยความดุร้ายขึ้น ใบหน้าของเขาคมปลาบและเย็นยะเยือก
เขาเคลื่อนตัวไปราวกับเข้าไปในสายลม ลำตัวพลิ้วไหวแล้วบินมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ลึกขึ้นของเขตที่สาม
“โฮ่วว!”
หมีดำที่ลำตัวสูงกว่าสิบจั้งปีนออกมาจากถ้ำ มันใช้อุ้งมือทุบลงบนพื้นดินจนเกิดรอยร้าวราวกับใยแมงมุม แววตาอันดุร้ายของมันจ้องไปที่แขกที่ไม่ได้รับเชิญกลางท้องฟ้า
ด้านหลังและบนไหล่ของหมีดำตัวนี้ปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีฟ้า ราวกับมันกำลังสวมเกราะนักยุทธ์อยู่
ตรงหว่างคิ้วของหมีดำตัวนี้มีรอยสายฟ้าบางๆ ปรากฏอยู่ เป็นกระแสไฟสีฟ้าเปล่งประกาย
มันคือหนึ่งในสามของอสูรกายใหญ่ในเขตที่ 3 แห่งนี้
หมีเดือดอัสนี อสูรกายฝึกจิตขั้น 9
หลังจากที่อสูรกายฝึกจิตขั้น 8 ไม่สามารถให้พลังที่แข็งแกร่งมากพอกับเขาได้ หลัวซิวจึงตั้งใจมาเพื่อฆ่าหมีเดือดอัสนีตัวนี้ถึงหกครั้ง
ทุกครั้งเขาจะหนีกลับไปด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส การกระตุ้นผู้เป็นอมตะถึงสามครั้งทำให้เขาเกือบสิ้นใจไปถึงสามครั้ง และนี่คือสิ่งที่หมีเดือดอัสนีตัวนี้มอบให้
ตู้ม!
หมีเดือดอัสนีอ้าปากแล้วปล่อยสายฟ้าออกมาผ่าไปยังหลัวซิว
“จังหวะได้!”
ดวงตาของหลัวซิวเป็นประกายระยับ ผมยาวรุงรังโดนแรงระเบิดจนปลิวสยาย เขาปล่อยหมัดออกไปแล้วทุบสายฟ้าที่พุ่งเข้ามาจนแตกกระจาย
สายฟ้านั้นมีพลังดุดันมาก ทำเอาเขาต้องถอยหนีกลางอากาศไปสองก้าว กระแสไฟที่อยู่รอบๆ ตัวเขา ทำให้รู้สึกแสบๆ คันๆ หมัดของเขาปรากฏรอยไหม้ดำ
และเป็นเพราะร่างเนื้อของเขาถึงระดับร่างยุทธ์สูงสุดช่วงปลายเพราะหากเป็นเมื่อครึ่งปีก่อน หากเขากล้าใช้ร่างเนื้อปะทะเข้ากับสายฟ้าเช่นนี้ เขาจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน
ฟึบ!
ร่างของเขาหายวับไปจากที่เดิม เขาสามารถควบคุมการใช้วิชาท่าร่างตามลมจันทรา และฝึกฝนจนถึงแดนบริบูรณ์
กระบี่ยุทธ์ออกมาจากฝักแล้วฟันไปที่รอยสายฟ้าที่เปล่งประกายอยู่ตรงกลางหว่างคิ้วของหมีเดือดอัสนี
แม้ร่างกายของหมีเดือดอัสนีจะดูอืดอาด ทว่าการเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วนัก เมื่อใช้อุ้งเท้าตะปบออกมาสายฟ้าก็พุ่งสอดประสานกันจนกลายเป็นตาข่ายสายฟ้าผืนใหญ่ที่ร่วงลงมาจากด้านบน
“พลังแปรเสวียนเทียน 6 เท่า!”
เพลิงมรณะระเบิดออกมารอบๆ กาย สายฟ้ากับเปลวไฟสีดำปะทะเข้าใส่กันส่งเสียงดังสนั่น ตาข่ายสายฟ้าถูกเปลวไฟสีดำขวางเอาไว้จนไม่สามารถเข้าประชิดได้
กระบี่ยุทธ์ของหลัวซิวถูกอุ้งเท้าของหมีดำตะปบบเอาไว้ พลังย้อนกลับรุนแรงทำเอากระบี่ยุทธ์ส่งเสียงหึ่มแล้วทำท่าคล้ายจะหลุดมือ
นี่ทำให้หลัวซิวขมวดคิ้วแน่น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากที่การฝึกตนของเขายกระดับขึ้น ร่างเนื้อของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นตาม เวลาที่ใช้กระบี่ยุทธ์ดินทำให้เขารู้สึกไม่ถนัดมากขึ้นเรื่อยๆ
อีกทั้งกระบี่ยุทธ์ดินทั้งสามเล่มที่ราชาปู้เฉินเป็นคนหลอมเอาไว้ไม่ได้มีพลัง Attr อยู่ด้วย นั่นหมายความว่านักยุทธ์คนใดก็ตามที่ฝึกฝนพลังจิตแท้ Attr ล้วนสามารถใช้ได้
แต่เป็นเพราะภาพรวมนี้กลับทำให้มันดูธรรมดาเกินไป
ในบรรดากระบี่ยุทธ์ดินระดับกลาง สองเล่มที่อยู่ในมือของหลัวซิวถือเป็นเล่มที่ธรรมดามากที่สุด เพราะราชาปู้เฉินเป็นแค่ปรมาจารย์หลอมอาวุธขั้น 5 เท่านั้น ฝีมือที่เกินความสามารถทำให้เขาหลอมกระบี่ยุทธ์ดินระดับกลางได้ แต่ย่อมไม่สามารถหลอมอาวุธที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับปรมาจารย์หลอมอาวุธขั้น 6 ได้
สำหรับยอดฝีมือในโลกยุทธ์นั้น ไม่จำเป็นเสมอไปว่าระดับของอาวุธยิ่งสูงยิ่งดี แต่ต้องเป็นอาวุธที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุดต่างหากถึงจะทำให้แสดงพลังอันแข็งแกร่งของตัวเองออกมาได้
อย่างเช่นกระบี่ยุทธ์ที่อยู่ในมือของหลัวซิวเล่มนี้ ความคมนั้นเพียงพอแล้ว แต่น้ำหนักเบาเกินไป ทำให้เขารู้สึกว่าพยายามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถแสดงพลังที่ดีที่สุดออกมาได้
และนี่เองคือเหตุผลที่ว่าทำไมนักยุทธ์ส่วนมากเวลากลั่นร่างถึงได้ใช้อาวุธที่มีขนาดใหญ่
ห้วงยุทธ์ที่หลัวซิวตระหนักคือห้วงกระบี่พิฆาต ดังนั้นอาวุธที่เหมาะสมกับเขามากที่สุดควรจะเป็นกระบี่ทุ้ม สักเล่ม
และมีผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์บางคนที่กลั่นร่าง จะนิยมใช้ร่างเนื้อเป็นอาวุธที่ดีที่สุด ใช้ร่างเนื้อของตัวเองเป็นอาวุธ การต่อสู้รอบด้าน แม้ว่าหมัดจะสลายไปในอากาศก็ยังสามารถเอื้อมคว้าดาวได้
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ภายในชั่วพริบตา หลัวซิวกับหมีเดือดอัสนีก็ได้ต่อสู้แลกมือกันไปกว่าร้อยรอบแล้ว
ชีพจรของเขาอึดทน พลังจิตบริสุทธิ์แข็งแกร่ง แม้ว่าจะต้องรับมือกับศึกใหญ่ก็ไม่ทำให้เขามีอาการหมดแรง
ก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่เขาต่อสู้กับหมีเดือดอัสนี เขาจะต่อสู้อย่างมากไม่เกินสิบกว่ารอบแล้วก็จะหนีหายไป แต่ตอนนี้เขามีพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งแล้วจึงสามารถเผชิญหน้าต่อสู้กับอสูรกายใหญ่ระดับ 9 ได้
ทว่าพลังยุทธ์ของหลัวซิวยังด้อยกว่าหมีเดือดอัสนีอยู่เล็กน้อย เลือดปราณมนร่างของเขาเต้นตุบๆ และมักจะตกอยู่ในสถานการณณ์ที่เสียเปรียบ
“หมีดำ รอข้ากลับมาจากร่องวังใต้ก่อนเถอะ แล้วจะมาจัดการเจ้า!”
เมื่อผ่านศึกครั้งใหญ่ทำให้หลัวซิวรู้สึกตัวเบา เขาผิวปากยาวก่อนจะลอยขึ้นฟ้าแล้วหายตัวไป