[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 360 : ล้างบางเมืองจิงฉู (9)
เวลาตีหนึ่ง ที่หัวมุมทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสี่แยกถนนจิงฉีและถนนกู่เฟิง..
หลิงหยุนยืนเอามือไขว้หลังอยู่หน้าคลีนิค จ้องมองความเสียหายที่เกิดขึ้น แล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว..
“พวกมันพังคลีนิคซะยับเยิน.. มีทางเดียวคือต้องเริ่มตกแต่งใหม่ทั้งหมด..”
ไม่จำเป็นที่หลิงหยุนต้องเดินเข้าไปดูข้างในด้วยซ้ำไป เพราะกระจกหน้าต่างและประตูร้าน ได้ถูกกลุ่มคนเซียงซีรื้อถอนออกมาจนหมด ยังคงมีเศษกระจกที่แตกกระจายอยู่เต็มพื้น โต๊ะเก้าอี้ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ก็ถูกพังเสียหายและทิ้งกองไว้กับพื้น สภาพคลีนิคในเวลานี้เรียกได้ว่าเละเทะไม่มีชิ้นดี
ตามบันไดขึ้นไปชั้นสอง ยังคงมีคราบเลือดจำนวนมากติดอยู่ เป็นภาพที่เห็นแล้วชวนให้ตกใจอย่างมาก
ในวันที่เกิดเหตุนั้น.. เหยาลู่อยู่ที่อยู่ชั้นสองได้วิ่งลงมาขวางกลุ่มคนเซียงซีไว้ จนกระทั่งตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัส
“ชั่วช้า! ข้าไม่น่าปล่อยพวกมันไปเลย!”
หลิงหยุนร้องตะโกนออกมาอย่างเคียดแค้น หลังจากที่เห็นภาพความเละเทะเสียหายของคลีนิค และคราบเลือดที่บันได คิ้วตรงคล้ายดาบของหลิงหยุนขมวดเข้าหากันแน่น..
“เอาล่ะ.. พวกมันก็ได้รับการลงโทษอย่างสาสมแล้ว!” เหล่ากุ่ยเห็นหลิงหยุนเริ่มโมโหขึ้นมาอีกครั้ง จึงรีบเข้าไปปลอบให้เย็นลง
“คลีนิคสามัญ..! หลิงหยุน นี่เป็นชื่อคลีนิคของเจ้างั้นรึ? เป็นชื่อที่ดีมากทีเดียว แต่ข้าว่ามันไม่เข้ากับนิสัยของเจ้าเลย..” ตู้กู่โม่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่อด้านบนพร้อมกับบ่นพึมพำ
หลิงหยุนหันไปมองที่ฟากถนนอีกด้านทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ฉางหลิงอาศัยอยู่ เขาคิดในใจว่าฉางหลิงอาจจะกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่เขาหายตัวไปอยู่ก็ได้?!
เมื่อนึกถึงฉางหลิง.. หลิงหยุนก็อดที่จะนึกถึงเกาเฉินเฉินขึ้นมาด้วยไม่ได้ พร้อมกับคิดว่าตั้งแต่กลับมาเขายังไม่ได้ข่าวคราวของเกาเฉินเฉินเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นเรื่องที่แปลก! เขาคงต้องหาโอกาสสอบถามเรื่องนี้จากถังเมิ่งอีกที
“กลับกันเถอะ! ข้าต้องแวะไปดูอาการของช่างที่ตกแต่งคลีนิคต่อ”
กระจกของประตูหน้าต่างถูกทุบ และข้างล่างก็ถูกถล่มจนยับเยินแบบนี้ ชั้นสองก็คงจะมีสภาพไม่ต่างกัน จึงไม่จำเป็นที่หลิงหยุนจะต้องขึ้นไปสำรวจอีก
หลิงหยุนเรียกแท๊กซี่ที่ขับผ่านมาพอดี แล้วทั้งสามคนก็นั่งรถแท๊กซี่กลับไปที่บ้านของหลิงหยุน
ถังเมิ่งไม่มีกุญแจบ้าน เขาจึงไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ เลยได้แต่นั่งรอหลิงหยุนอยู่ภายในรถ
เมื่อมาถึง.. หลิงหยุนก็ตรงเข้าไปถามถังเมิ่งทันที “ถังเมิ่ง ตอนนี้กุญแจบ้านอยู่ที่ใหน?”
ถังเมิ่งกรอกตาพร้อมกับตอบไปว่า “พี่หยุน.. บ้านถูกทางการยึดไปแล้ว! กุญแจบ้านก็ต้องอยู่ที่สำนักงานรักษาความมั่นคงสิ กุญแจบ้านทั้งสองหลังถูกยึดไปหมดแล้ว!”
หลิงหยุนกัดฟันกรอดพร้อมกับคิดในใจว่า ‘หลัวจ้ง.. ในเมื่อเจ้ากล้าลองดีกับข้า.. พรุ่งนี้ข้าจะให้เจ้าได้ผยองจนพอใจเลยล่ะ!’
แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะไปจัดการกับเหลาจ้ง หลิงหยุนสั่งถังเมิ่งให้โทรหาเสี่ยวเม่ยหนิงสอบถามที่อยู่ของคนงานว่าตอนนี้พวกเขาพักอยู่ที่ใหน จากนั้นก็ให้ถังเมิ่งขับรถมุ่งหน้าไปยังที่พักของคนงานเหล่านั้น
แต่ก่อนที่จะออกเดินทางไปที่บ้านคนงาน หลิงหยุนขอให้เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่กลับไปก่อน และค่อยพบกันอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ แต่ทั้งสองคนกลับปฏิเสธและยืนยันไม่ยอมกลับไป!
ทางด้านเหล่ากุ่ยนั้น หลิงหยุนคือนายน้อยของเขาที่พลัดพรากจากตระกูลหลิงไปถึงสิบแปดปี อีกทั้งในความคิดเห็นของเขาตอนนี้ หลิงหยุนคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นทายาทสืบทอดตระกูลหลิงคนต่อไป และในเมื่อเขาได้พบหลิงหยุนแล้ว เขาจะไม่มีทางแยกจากหลิงหยุนเป็นอันขาด!
ไม่ว่าหลิงหยุนจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่เหล่ากุ่ยก็ยังคงต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด นั่นก็คือการปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยของหลิงหยุน เขาไม่สามารถปล่อยให้หลิงหยุนได้รับอันตรายหรือบาดเจ็บได้แม้แต่นิดเดียว!
หากหลิงหยุนตกอยู่ในอันตรายและได้รับบาดเจ็บ หรือว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับเขา เหล่ากุ่ยจะมีหน้ากลับไปพบและรายงานนายผู้เฒ่าหลิงและคุณชายสามได้อย่างไรกัน?
ดังนั้นเหล่ากุ่ยจึงได้ตัดสินใจแล้วว่า นับแต่นี้ไปเขาจะไม่ยอมแยกจากหลิงหยุนเป็นอันขาด และจะคอยตามปกป้องคุ้มครองหลิงหยุนตลอดไป
ตู้กู่โม่เองก็กำลังเบื่อหน่ายอย่างมาก เพราะกลับไปที่โรงแรมนอกเหนือจากการทำสามธิ เขาก็ได้แต่นั่งดูทีวี จึงไม่มีทางที่เขาจะยอมกลับไปนั่งเบื่ออยู่ที่โรงแรมเช่นกัน!
เมื่อเห็นท่าทางที่ขึงขังของคนทั้งคู่ หลิงหยุนจึงไม่มีทางเลือกอื่น และได้แต่ให้ทั้งสองคนตามเขาไปด้วย
คนงานทั้งเจ็ดอาศัยอยู่ที่ชานเมืองทางฝั่งตะวันตก พวกเขาเลี้ยงชีพด้วยการหางานรับเหมาในเมืองจิงฉู ดังนั้นจึงได้ไปหาเช่าบ้านเก่าๆอยู่แถวชานเมือง และสภาพของบ้านก็ซอมซ่อมากกว่าบ้านเช่าของหลิวลี่เสียอีก
ถังเมิ่งขับรถมาตามคำแนะนำของเสี่ยวเม่ยหนิงและเหยาลู่ ในที่สุดก็มาถึงบ้านของคนงาน และรถของถังเมิ่งก็มาจอดอยู่หน้าบ้านที่เก่าจนใกล้จะพังเต็มทีหลังหนึ่ง
เมื่อคนทั้งสี่ลงมาจากรถ หลิงหยุนก็ตรงเข้าไปเคาะประตูบ้านทันที..
หลิงหยุนได้ยินเสียงคนอยู่ในบ้านมากมาย และหนึ่งในนั้นก็ร้องตะโกนถามออกมา หลิงหยุนจำได้ว่าเป็นเสียงของหัวหน้าคนงาน จึงรีบตอบกลับไปทันที
“ผมเองครับ.. เจ้าของคลีนิคที่คุณไปตกแต่งร้านให้!”
ประตูบ้านเปิดออกอย่างรวดเร็ว และชายหน้าตาท่าทางซื่อๆคนหนึ่งก็เปิดประตูออกมา เขาคือหัวหน้าช่างที่หลิงหยุนรู้จัก ทันทีที่มองเห็นหลิงหยุนกับคนแต่งตัวประหลาดอีกสองสามคน เขาก็กลัวจนหน้าซีด และเกือบจะปิดประตูหนี
จะไม่ให้เขากลัวได้อย่างไรกัน? ในเมื่อเหล่ากุ่ยก็สวมชุดสีดำดูลึกลับ ส่วนตู้กู่โม่ก็สวมเสื้อคลุมดูแปลกประหลาด ถังเมิ่งก็หัวล้าน แถมยังมีสุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่อีกหนึ่งตัว!
เมื่อเห็นสีหน้าของหัวหน้าคนงาน หลิงหยุนก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังตกใจกลัวอย่างมาก หลิงหยุนจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ไม่ต้องกลัวครับ.. พวกเขาเป็นเพื่อนผมเอง! แล้วนั่นก็ถังเมิ่งไงล่ะครับ..”
หัวหน้าช่างหันไปมองถังเมิ่งอีกครั้ง และก็จำได้ว่าชายหัวโล้นที่แท้ก็คือถังเมิ่งจริงๆ เขาจึงร้องขึ้นมาเสียงดัง
“ที่แท้ก็คุณถังนี่เอง.. ไม่ได้เจอกันหลายวัน โกนผมเลยเหรอครับ?”
ก่อนที่จะเกิดเรื่องกับถังเมิ่งนั้น เขาได้แวะเวียนไปที่คลีนิคเกือบจะทุกวัน เพื่อไปตรวจสอบความคืบหน้าของการตกแต่งร้าน จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับหัวหน้าช่างอย่างมาก
ถังเมิ่งได้แต่ยกมือขึ้นลูบศรีษะพร้อมกับตอบยิ้มๆ “ดูเท่ห์ดีไม๊ครับ? ผมว่าโกนหัวแบบนี้ก็ดูแฟชั่นดีนะครับ แล้วก็ดูเท่ห์ด้วย..”
ถังเมิ่งพูดไปก็ยิ่งเพิ่มความเกลียดชังในตัวเสียเจิ้นเหยินเพิ่มมากขึ้น เขานึกเสียดายผมยาวที่เก๋ไก๋ของตนเอง และคิดว่าถึงทีของเขาเมื่อไหร่ เขาจะจับเสียเจิ้นเหยินโกนหัวเช่นเดียวกับเขา!
“เข้ามาข้างในก่อนดีกว่าครับ.. เชิญ เชิญ ว่าแต่ทำไมถึงได้มากันดึกดื่นแบบนี้ล่ะครับ?!”
หัวหน้าช่างเห็นหลิงหยุนกับถังเมิ่งมาหาเขากลางดึก ก็พอจะเดาได้ว่าทั้งคู่คงไปพบคลีนิคที่มีสภาพยับเยินมากมาแล้ว ถึงได้รีบเร่งมาหาเขาถึงที่บ้าน
คนงานคนอื่นๆต่างก็ลุกขึ้นใส่เสื้อเช่นกัน พวกเขาต่างก็กระตือรือร้นหาเก้าอี้ให้หลิงหยุนและคนอื่นๆนั่ง แต่สายตาทุกคู่กลับจับจ้องอยู่ที่สุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง..
หลิงหยุนเหลือบมองภายใต้แสงไฟ ก็พบว่าหน้าผากของคนงานแต่ละคนล้วนเป็นสีเขียวเข้ม แน่นอนว่าพวกเขาต่างก็โดนพิษหนอนกู่เข้าไปแล้ว!
แต่จากท่าทางการเคลื่อนไหวของคนงานแต่ละคนนั้น เห็นได้ชัดว่าอาการไม่ได้หนักหนาสาหัสมากนัก และดูเหมือนว่าชายวัยกลางคนไม่ได้ต้องการให้คนงานพวกนี้ตายทันที แต่ต้องการให้หนอนกู่ในร่างของพวกเขาค่อยๆดูดกินเลือดเนื้อในตัวไปเรื่อยๆ และพวกเขาก็จะค่อยๆอ่อนแอและหมดเรี่ยวแรงลงไปทุกวันเอง
“เฮ้อ.. สาวน้อยที่ชื่อเหยาลู่ช่างน่าสงสารนัก! ถูกกลุ่มชายที่มาจากเซียงซีทำร้าย พวกเราเป็นชายร่างใหญ่แต่กลับช่วยอะไรเธอไม่ได้ แล้วคลีนิคก็ถูกพวกมันทุบทำลายจนหมด..”
หลังจากที่หัวหน้าช่างนั่งลง เขาก็เอ่ยขอโทษหลิงหยุนที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้..
หลิงหยุนจ้องมองหัวหน้าช่างที่แสนซื่อผู้นี้พร้อมกับยิ้มให้ “อย่ากังวลเรื่องนั้นไปเลยครับ เดี๋ยวพวกเราค่อยลงมือตกแต่งร้านใหม่!”
“ที่ผมมาวันนี้ก็เพื่อช่วยถอนพิษให้กับทุกคน!” หลิงหยุนตรงเข้าประเด็นทันทีเพราะไม่อยากเสียเวลา
“อะไรนะ?! ถอนพิษให้พวกเรางั้นเหรอ?!”
คนงานที่ได้ฟังต่างก็พากันงุนงง หัวหน้าคนงานจึงถามขึ้นอย่างแปลกใจ “ท่านหมออาวุโสท่านนั้นทำการรักษาให้พวกเราแล้วนี่ครับ? ตอนนี้พวกผมก็ไม่มีใครเป็นอะไร?!”
ท่านเสี่ยวหมอเทวดาได้เล่าให้หลิงหยุนฟังแล้วว่าเขาได้จัดการควบคุมหนอนกู่ในตัวของคนงานเหล่านี้ไว้แล้ว แต่ที่ท่านหมอเสี่ยวไม่บอกความจริงให้กับคนงานรู้เพราะไม่อยากให้พวกเขาตกใจ
หลิงหยุนจึงตอบยิ้มๆ “พวกคุณไม่รู้สึกกันบ้างเหรอว่า หลังจากเหตุการณ์วันนั้น พวกคุณจะกินอาหารมากขึ้น แต่ร่างกายกลับค่อยๆอ่อนแรงลง?”
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลิงหยุน หัวหน้าคนงานและคนอื่นๆต่างก็มองหน้ากัน พร้อมกับคิดในใจว่า หลิงหยุนช่างวิเคระห์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ!
หลิงหยุนรีบอธิบายต่อว่า “นั่นเพราะทุกคนได้ถูกพิษหนอนกู่ของชาวเซียงซีเข้าแล้ว มันเป็นพิษที่ไม่ออกฤทธิ์ในระยะเวลาสั้นๆ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปทุกคนจะสามารถตายได้ตลอดเวลา!”
“ห๊ะ?!” “อะไรนะ?!”
เมื่อคนงานได้ยิน ทุกคนต่างก็ตกใจและงุนงง หัวหน้าคนงานจึงถามต่อว่า “หลิงหยุน.. แล้วพวกเราจะทำยังไงดี?”
หลิงหยุนเพียงแค่ตอบยิ้มๆ “ไม่ต้องกังวลไปครับ.. ที่ผมมาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้!”
ระหว่างที่พูดกับหัวหน้าคนงาน หลิงหยุนก็แอบเรียกเข็มเงินออกมาจากแหวนพื้นที่ และตอบหัวหน้าคนงานยิ้มๆว่า
“ถ้าคุณเชื่อมั่นในตัวผม.. ก็ถอดเสื้อออก ผมจะฝังเข็มจัดการเอาพิษออกให้ รับรองว่าคุณจะหายเป็นปกติอย่างแน่นอน!”
หัวหน้าคนงานมองเข็มเงินในมือหลิงหยุน เขามีอาการหวาดระแวงเล็กน้อยพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง ท่าทางเขาดูลังเลอยู่บ้าง
ถังเมิ่งเห็นแล้วถึงกลับพูดติดตลก “พี่ชาย.. อย่ากลัวไปเลย! พี่ลู่บาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น พี่หยุนยังรักษาจนหายได้เลย คุณยังจะกลัวอะไรอีก?!
“อะไรนะ?! เด็กสาวคนนั้นหายดีแล้วงั้นเหรอ?! นี่มัน..”
ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นเขายังจำได้ติดตา เขาจำได้ว่าเหยาลู่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก แต่เมื่อได้ยินว่าตอนนี้เหยาลู่หายดีจนสามารถเดินเหินได้แล้ว จึงอดที่จะประหลาดใจไม่ได้
“พี่ชายสบายใจได้.. ผมใช้เวลาไม่เกินสามนาที!” หลิงหยุนหยิบเข็มเงินขึ้นมาพร้อมกับยิ้มให้หัวหน้าคนงานอย่างสดใส
หัวหน้าคนงานพยักหน้าพร้อมกับถอดเสื้อของเขาออก และรอให้หลิงหยุนฝังเข็มลงบนร่างกายของเขา
ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที หลิงหยุนก็สามารถใช้เก้าเข็มปลุกชีพจัดการเอาหนอนกู่สีเขียวเข้มออกจากร่างของหัวหน้าคนงานได้
“ตายซะ!” หลิงหยุนร้องพร้อมกับใช้นิ้วหยิบหนอนกู่ขึ้นมาวางลงบนฝ่ามือของเขา พร้อมกับร้องบอกทุกคนว่า
“ดูให้เต็มตา! เจ้าตัวนี้ล่ะที่อยู่ในร่างกายของทุกคน ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง?”
เมื่อคนงานเห็นหนอนตัวเขียวเข้มถูกหลิงหยุนบี้จนตาย ต่างก็พากันตกอกตกใจไปตามๆกัน