ตอนที่ 219-1 เจ้าสำนักเยี่ยนอ๋อง

ชายาเคียงหทัย

บัณฑิตขี้โรคที่จู่ๆ ก็ถูกจู่โจมกะทันหัน ลอยไปตกอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม พร้อมกระอักเลือดออกมาทันที เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่า ฝ่ามือนั้นของม่อซิวเหยาถือว่าปราณีแล้ว มิเช่นนั้น ด้วยพลังของม่อซิวเหยาในยามนั้นที่สามารถทำลายวิทยายุทธกว่าครึ่งและเกือบตัดชีพจรหัวใจของเขาให้ขาดได้นั้น หากโดนเข้าไปอีกครั้ง บัณฑิตขี้โรคไม่มีทางยังมีลมหายใจอยู่อย่างแน่นอน

 

 

ม่อซิวเหยาก้าวเข้ามาในโถงรับแขกพร้อมรังสีสังหาร สายตาที่จ้องเขม็งไปยังบัณฑิตขี้โรคเย็นเยียบปานประหนึ่งจะจับตัวกันเป็นน้ำแข็ง

 

 

รังสีสังหารที่ม่อซิวเหยามีต่อบัณฑิตขี้โรคนั้น บัณฑิตขี้โรคเองก็มิได้รู้สึกซาบซึ้งใจกับการที่ม่อซิวเหยาลงมืออย่างปราณี เขาพยุงตัวลุกขึ้น จ้องเขม็งไปทางม่อซิวเหยาจนตาแทบถลนออกจาเบ้า สายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ปานประหนึ่งอยากจะฉีกคนตรงหน้าให้แหลกเป็นชิ้นๆ

 

 

ถึงแม้เยี่ยหลีจะไม่อาจเข้าใจเขา แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในโลกนี้มีคนประเภทนี้อยู่จริง แค่เพียงไปทำผิดต่อเขาโดยไม่ได้ตั้งใจเพียงเล็กน้อย เขาก็จะโกรธแค้นจนแทบอยากเผาบ้านของอีกฝ่ายให้วอดวายกลายเป็นจุลได้เลยทีเดียว และเห็นได้ชัดว่า บัณฑิตขี้โรคก็เป็นคนประเภทนี้

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เยี่ยหลีก็อดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้ สูตรยาดอกปี้ลั่วฉบับสมบูรณ์มีเพียงบัณฑิตขี้โรคผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ หากบัณฑิตขี้โรคต้องการให้ม่อซิวเหยาตายถึงขั้นแม้ตนจะต้องตายตกตามเขาไปด้วยจริง เช่นนั้นก็คงจัดการไม่ได้ง่ายเช่นนั้นเสียแล้ว

 

 

ม่อซิวเหยานั่งลงข้างกายเยี่ยหลี เมื่อเห็นเยี่ยหลีหน้านิ่วคิ้วขมวด จึงยื่นมือไปเชยคางนางให้หันมามองตน มืออีกข้างยกขึ้นสัมผัสเบาๆ ไปที่คิ้วดกดำและเรียวยาวประหนึ่งใบหลิว พร้อมเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ต้องกังวลไป”

 

 

เมื่อรู้ว่าม่อซิวเหยาไม่อยากให้ตนเป็นกังวล เยี่ยหลีจึงระบายยิ้มเล็กน้อยพร้อมพยักหน้า

 

 

ภาพที่ทั้งสองแสดงความห่วงหาอาทรและมีความรักใคร่ปรองดองกันอย่างลึกซึ้งนั้น กลับเป็นภาพที่ทิ่มแทงลูกตาของบัณฑิตขี้โรคให้ลึกลงไปอีก

 

 

เขายิ้มเยาะทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงสูงว่า “ม่อซิวเหยา สุขภาพของเจ้าคงทนไปได้อีกไม่กี่เดือนแล้วล่ะสิ ฮ่าๆ…ข้าว่าให้ผู้หญิงของเจ้าเป็นกังวลไว้สักหน่อยจะดีกว่านะ…แค่กๆ…เตรียมใจเผื่อวันที่เจ้าตายไป พวกนางจะลำบากกลายเป็นแม่หม้ายกับลูกกำพร้า…”

 

 

“น้องสาม หุบปาก!” ก่อนที่ม่อซิวเหยากำลังโกรธจัด ก็มีชายร่างกำยำคนหนึ่งเดินเข้าประตูมาด้วยความรวดเร็ว เขาก้าวเข้ามาด้วยความองอาจ ดูมีบารมีผิดคนธรรมดา ซึ่งผู้นั้นก็คือเจ้าสำนักเยี่ยนอ๋องที่เคยมีวาสนาได้พบหน้ากับเยี่ยหลีครั้งหนึ่งเมื่อยามอยู่ที่เจียงหนาน และเป็นหนึ่งในยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า หลิงเถี่ยหาน

 

 

บัณฑิตขี้โรคถึงแม้จะยะโสโอหังและดื้อรั้น แต่กับพี่ชายบุญธรรมผู้นี้กลับให้ความเคารพเป็นอย่างมาก หากเป็นผู้อื่นมาตะคอกใส่เขาว่าให้หุบปาก เกรงคงโดนเขาสาดพิษใส่เสียแล้ว แต่คนที่มาคือหลิงเถี่ยหาน ถึงแม้บัณฑิตขี้โรคจะมีสีหน้าบึ้งตึง แต่ก็ยอมกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงคอไปแต่โดยดี

 

 

หลิงเถี่ยหานหันไปพยักหน้าให้ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลี ถึงได้เดินเข้าไปจับข้อมือบัณฑิตขี้โรคขึ้นมาตรวจชีพจร เมื่อเห็นว่ามิได้บาดเจ็บมากมายอันใดถึงได้ระบายลมหายใจออกมา แล้วหันไปประสานมือให้ม่อซิวเหยา พร้อมเอ่ยว่า “ขอบพระคุณติ้งอ๋องที่ปราณี”

 

 

เยี่ยหลีที่นั่งอยู่ข้างม่อซิวเหยา มองสำรวจเจ้าสำนักเยี่ยนอ๋องที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปใต้หล้าโดยละเอียด คราก่อนที่เจียงหนาน ด้วยเพราะเวลากระชั้นชิด ทำให้ทั้งสองได้เห็นหน้ากันเพียงผาดๆ และได้พูดกันคุยกันไม่กี่ประโยคเท่านั้น จึงไม่ทันได้สำรวจอีกฝ่ายให้ดี

 

 

ปีนี้หลิงเถี่ยหานเพิ่งอายุได้เพียงสามสิบห้าสามสิบหกปีเท่านั้น ด้วยเพราะกำลังภายในที่แก่กล้าทำให้เขาเหมือนคนอายุยังไม่ถึงสามสิบปี เพียงแต่ท่าทางของเขาที่ดูสุขุม และความสง่างามที่แผ่ออกมาพร้อมกิริยาอาการของเขา ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีวุฒิภาวะอย่างแท้จริง

 

 

จนถึงยามนี้ก็นับได้ว่า เยี่ยหลีได้พบยอดฝีมือทั้งสี่แห่งใต้หล้ามาจนครบแล้ว คนที่อายุมากที่สุดอย่างเจิ้นหนานอ๋องคงไม่ต้องพูดถึง สำหรับเยี่ยหลีแล้ว เจิ้นหนานอ๋องเป็นเหมือนนักการเมืองและแม่ทัพเสียมากกว่า แต่มิใช่หนึ่งในยอดฝีมือแห่งใต้หล้า บางทีอาจด้วยเพราะเหตุผลทางความคิดเช่นนี้เป็นเหตุ ทำใหการฝึกวิทยายุทธของเจิ้นหนานอ๋องไม่มีความก้าวหน้าขึ้นเลย จนทำให้เขาที่มีอายุมากกว่าพวกม่อซิวเหยาเกือบหนึ่งชั่วอายุคน ตามทันจนมีชื่อเข้ามาเบียดอยู่กับเขา

 

 

ส่วนยอดฝีมืออีกคนหนึ่งอย่างมู่ฉิงชัง ที่อายุดูเหมือนจะพอๆ กับหลิงเถี่ยหาน แต่มู่ฉิงชังถูกฝึกมาให้เป็นเสมือนอาวุธเงียบที่เอาไว้สังหารผู้คนเท่านั้น เขาต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดที่ไม่มีผู้ใดเห็น ค่อยๆ เสียเวลาในชีวิตของตนเองไปเรื่อยๆ ดังนั้นถึงแม้อายุของมู่ฉิงชังจะไม่มากเท่าหลิงเถี่ยหาน แต่กลับดูซีดขาวและไร้พลังเป็นกว่าปกติ หากทั้งสองมายืนอยู่คู่กัน คงยากที่จะทำให้ผู้คนนึกเชื่อว่า เดิมทีพวกเขามองทุกคนในยุทธภพด้วยความหยิ่งผยองมาก่อนเช่นเดียวกัน

 

 

ในบรรดาสี่ยอดฝีมือแห่งใต้หล้านั้น คนที่เยี่ยหลีคุ้นเคยมากที่สุดย่อมต้องเป็นม่อซิวเหยา ถึงแม้จนถึงยามนี้ เยี่ยหลีจะยังไม่มั่นใจว่าวิทยายุทธของม่อซิวเหยาสูงส่งเพียงใด แต่คงไม่ห่างจากชื่อเสียงแห่งความเป็นบุรุษมากพรสวรรค์เหนือผู้ใดไปมากนัก

 

 

พี่ชายของม่อซิวเหยาอย่างม่อซิวเหวิน ชื่อเสียงของเขาโด่งดังในเรื่องการเป็นแม่ทัพสายขงจื้อ ส่วนม่อหลิวฟาง ถึงแม้ในยามนั้นจะมีความสามารถเพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ แต่ก็อยู่ในระดับยอดฝีมือธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ที่เขาสามารถต่อสู้กับเจิ้นหนานอ๋องจนหมดท่าได้นั้น ด้วยอาศัยการวางแผนการรบเท่านั้น มิใช่การห้ำหั่นกันตัวต่อตัว เยี่ยหลีถึงขั้นนึกสงสัยว่า ที่วิทยายุทธของเจิ้นหนานอ๋องสูงส่งเช่นนั้น จะเพื่อเตรียมไว้ลอบสังหารม่อหลิวฟางโดยเฉพาะหรือไม่

 

 

ส่วนม่อซิวเหยานั้นถือเป็นข้อยกเว้น ยามที่เขาแย่งตำแหน่งหนึ่งในสี่ยอดฝีมือแห่งใต้หล้ามาได้นั้น เขาอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น ถึงแม้จะอยู่ในลำดับสุดท้าย แต่คนทั้งใต้หล้าต่างรู้ดีว่า เขาเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นานเท่านั้น เมื่อเทียบกับเจิ้นหนานอ๋องที่อยู่ในจุดสูงสุด กับหลิงเถี่ยหานและมู่ฉิงชังที่กำลังอยู่ในยุคทองแล้ว ม่อซิวเหยาที่เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นนั้นยังไม่สามารถเทียบชั้นได้

 

 

บุรุษที่มีพรสวรรค์ผิดมนุษย์มนาผู้นี้ ว่ากันว่าหลิงเถี่ยหานเคยกล่าวต่อหน้าคนจำนวนมากไว้ว่า อย่างมากไม่เกินเจ็ดปี ม่อซิวเหยาจะต่อสู้ชนะทุกคนในต้าหล้า และไม่มีศัตรูที่สามารถต่อกรกับเขาได้อีก น่าเสียดายก็เพียง เรื่องต่างๆ ในโลกนี้นั้นยากจะคาดเดา หลังจากม่อซิวเหยาอายุได้สิบเจ็ดปี ชีวิตของเขาก็เริ่มตกต่ำลงอย่างประหลาด และข่าวคราวก็ค่อยๆ เงียบหายไป

 

 

เมื่อทำการเปรียบเทียบสี่ยอดฝีมือแห่งใต้หล้าแต่ละคนแล้ว เยี่ยหลีก็รู้สึกว่า หลิงเถี่ยหานต่างหากที่เป็นยอดฝีมือแห่งยุคทั้งในทางความหมายและในจิตใจของผู้คนอย่างแท้จริง ความสุขุม ห้าวหาญ ลักษณะท่าทางที่เป็นงานเป็นการยิ่งทำให้เขาดูเหมือนเจ้ายุทธภพสายธรรมะ มิใช่ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาประหนึ่งตบยุงเช่นเจ้าสำนักล่าฆ่าหัวอย่างสำนักเยี่ยนอ๋อง

 

 

“น้องสามสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ไม่รู้ว่าให้ข้าหาหมอมาดูอาการก่อนได้หรือไม่” หลิงเถี่ยหานหันมองน้องชายบุญธรรมที่สีหน้าบึ้งตึงด้วยเพราะมิอาจพูดอันใดได้เพราะตนอยู่ ก็รู้สึกว่าหากเขายังอยู่ที่นี่คงจะมิใช่สถานที่ที่เหมาะแก่การพูดคุยกันนัก จึงหันไปเอ่ยถามม่อซิวเหยาเช่นนั้น

 

 

ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงถามเยี่ยหลี เขาเป็นคนที่อาหลีเชิญมา ย่อมต้องให้นางเป็นผู้ตัดสินใจ

 

 

เยี่ยหลียิ้ม เอ่ยว่า “ย่อมได้ ในตำหนักติ้งอ๋องมีท่านหมอเทวดาอยู่สองท่าน หากเจ้าสำนักหลิงไม่รังเกียจ ส่งตัวเจ้าสำนักตามไปได้เลย”

 

 

หลิงเถี่ยหานเอ่ยขอบคุณ หันไปตะโกนออกไปด้านนอกทีหนึ่ง ชายหนุ่มสองคนก็เดินเข้ามารอรับคำสั่งทันที หลิงเถี่ยหานเอ่ยว่า “พาเจ้าสำนักสามไปพบท่านหมอ หากให้หนีไปได้ พวกเจ้าจัดการเองได้เลย!”

 

 

ชายหนุ่มทั้งสองสีหน้าเคร่งขรึม เข้าใจความหมายของเจ้าสำนักเป็นอย่างดี การลงโทษของสำนักเยี่ยนอ๋องมิได้มีเอาไว้ให้ดูเล่นเท่านั้น

 

 

พอทั้งสองจะเดินเข้าไปพาตัวบัณฑิตขี้โรคออกมา สายตาบัณฑิตขี้โรคก็เป็นประกายเย็นวาบ “ไสหัวไป!”

 

 

“น้องสาม” หลิงเถี่ยหานหน้าบึ้งตึง มองสีหน้าบัณฑิตขี้โรคที่เหลืองอ๋อยและติดจะซีดขาวด้วยความไม่พอใจ

 

 

บัณฑิตขี้โรครู้ดีว่าพี่ชายบุญธรรมมีน้ำโหขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว แต่เมื่อครู่เขาเพิ่งถูกฝ่ามือของม่อซิวเหยาเล่นงานเข้าไปจนบาดเจ็บไม่น้อย แล้วยังถูกหลิงเถี่ยหานห้ามมิให้พูดความโกรธและความพ่ายแพ้ที่อัดอั้นอยู่ในใจออกไปอีก เขาที่โดยธรรมชาติเป็นคนหัวแข็งอยู่แล้ว เมื่อถูกหลิงเถี่ยหานสั่งห้ามเช่นนี้ จึงไม่สนใจแม้แต่พี่ใหญ่ที่ตนให้ความเคารพอย่างยิ่งมาตั้งแต่เด็กอีกต่อไป

 

 

เขาหันไปยิ้มเยาะใส่หลิงเถี่ยหาน พร้อมเอ่ยเสียงขู่ในคอว่า “ข้าจะเป็นหรือตาย ท่านไม่ต้องมาสนใจ! ท่านไม่ได้ไม่ชอบใจที่ข้าชอบไปหาเรื่องเดือดร้อนหรือ ตายไปก็ดีแล้วมิใช่หรือ”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเถี่ยหานก็หน้าบึ้งลงทันที เขายังไม่ทันได้พูดอันใด ก็มีเงาดำเงาหนึ่งกระโดดพุ่งเข้ามาจากด้านนอก ยังไม่ทันได้ลงยืนถึงพื้นดี ก็ได้ยินเสียงดังเพี๊ยะดังขึ้นทีหนึ่ง เป็นเสียงฝ่ามือตบเข้าที่บ้องหูของบัณฑิตขี้โรคโดยแรง

 

 

ใบหน้าบัณฑิตขี้โรคที่ก่อนหน้านี้จ้องเขม็งไปที่หลิงเถี่ยหานหันขวับตามแรงตบไปอีกด้านทันที

 

 

“บังอาจ! ยังไม่ยอมรับผิดกับพี่ใหญอีก!” น้ำเสียงใสของผู้ที่มาใหม่ฟังดูเย็นเยียบอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายเพรียวสูงที่มีชุดสีดำห่อหุ้มอยู่ ยิ่งทำให้ดูมีท่วงท่าที่สง่างามยิ่งนัก แต่ลักษณะนางดูเหมือนสตรีที่อายุยี่สิบกว่าปี ใบหน้าสะอาดงดงามประหนึ่งน้ำค้างแข็งเลยทีเดียว

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจพอรู้ว่าถึงฐานะของสตรีนางนี้อยู่บ้าง…เจ้าสำนักสองแห่งสำนักเยี่ยนอ๋อง เหลิ่งหลิวเย่ว์ ที่ได้รับการขนานนามจากคนในยุทธภพว่าเป็นเพชฌฆาตหญิง

 

 

ในยามนั้น เหลิ่งหลิวเย่ว์ใช้วิชาตัวเบากับอาวุธลับในการสร้างชื่อไปทั่วยุทธภพ นางสามารถบุกเข้าตำหนักติ้งอ๋องมาได้ด้วยตัวคนเดียว ดูแล้ววิชาตัวเบาของนางคงจะเก่งกาจไม่น้อยเลยจริงๆ

 

 

เยี่ยหลีหันไปโบกมือให้องครักษ์ที่ไล่ตามเหลิ่งหลิวเย่ว์เข้ามาออกไป

 

 

เมื่อถูกตบบ้องหูต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ สีหน้าบัณฑิตขี้โรคก็ดูสับสนปนเปกันไปหมด ความเสียใจที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเพียงชั่วพริบตา หายวับไปโดยทันที ได้แต่กัดฟันกรอดไม่ยอมมองหน้าเหลิ่งหลิวเย่ว์ และแน่นอนว่าย่อมไม่ยอมหันไปขอโทษหลิงเถี่ยหาน

 

 

หลิงเถี่ยหานก็มิได้สนใจ แต่กลับรู้สึกเบาใจที่เหลิ่งหลิวเย่ว์มาที่นี่ด้วย “หลิวเย่ว์ เจ้าพาน้องสามออกไปพบท่านหมอที อย่าให้เขาหนีไปได้ล่ะ”

 

 

เหลิ่งหลิวเย่ว์พยักหน้า ผินหน้าไปเอ่ยกับม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีว่า “ข้าใจร้อนไปหน่อย ท่านทั้งสองโปรดอภัยด้วย”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “เจ้าสำนักสองช่างมีวิชาตัวเบาเป็นเลิศนัก ข้าขอนับถือ เพียงแต่ต่อไปหากเจ้าสำนักอยากเข้ามาอีก เข้าทางประตูหน้าจะดีกว่า ธนูของตำหนักติ้งอ๋องใช่ว่าจะไม่ถูกยิงออกจากคันธนูเสียทุกครั้ง”

 

 

เหลิ่งหลิวเย่ว์อึ้งไป มองเยี่ยหลีที่เอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้า “ขอบคุณที่เตือน” จากนั้นถึงได้หันไปเอ่ยกับบัณฑิตขี้โรคว่า “ไปกับข้า”

 

 

บัณฑิตขี้โรคมีนิสัยประหลาด แต่กับพี่ชายและพี่สาวบุญธรรมทั้งสองกลับมีความผูกพันกันอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ด้วยความใจร้อน ทำให้พูดจาแข็งกระด้างกับหลิงเถี่ยหาน ครานี้เมื่อโดนตบเข้าให้ทีหนึ่ง จึงพอใจเย็นลงได้บ้าง เขาหันไปกวาดตามองเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาที่นั่งดูละครอยู่ทีหนึ่ง ก่อนเดินตามเหลิ่งหลิวเย่ว์ออกไปเงียบๆ

 

 

ถึงแม้เยี่ยหลีจะมิได้แสดงอันใดออกมาทางสีหน้า แต่ในใจกลับนึกโกรธบัณฑิตขี้โรคอยู่ไม่น้อย หากมิใช่เพราะเบื้องหลังบัณฑิตขี้โรคมีสำนักเยี่ยนอ๋องและหลิงเถี่ยหานอยู่ เยี่ยหลีคงได้ใช้วิธีการทรมานกับเขาเข้าให้จริงๆ ยามนี้เมื่อเห็นเขาถูกตบจนดูเชื่องและว่าง่ายขึ้นมา จึงรู้สึกสะใจไม่น้อย ในใจลอบนึกชื่นชมในฝ่ามือของเหลิ่งหลิวเย่ว์ ตบได้ดี!

 

 

เมื่อบัณฑิตขี้โรคที่ทำให้บรรยากาศเสียออกไปแล้ว บรรยากาศภายในโถงรับแขกก็ดีขึ้นมากทันที

 

 

หลิงเถี่ยหานประสานมือให้เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาด้วยความรู้สึกผิด “น้องสามยังไม่ประสา ล่วงเกินท่านไปมาก ขอท่านทั้งสองโปรดอภัยด้วย”

 

 

“เจ้าสำนักไม่ต้องใส่ใจ ที่เราเก็บน้องชายของท่านไว้ มิใช่เพราะเห็นแก่หน้าของเจ้าสำนักหลิงเพียงอย่างเดียว” เยี่ยหลีเอ่ยพร้อมยิ้มน้อยๆ

 

 

หลิงเถี่ยหานย่อมเข้าใจความหมายของเยี่ยหลีเป็นอย่างดี แน่นอนว่าเรื่องเห็นแก่หน้าสำนักเยี่ยนอ๋องนั้นต้องมีอยู่บ้าง แต่พวกเขาเป็นถึงตำหนักติ้งอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเกรงกลัวสำนักเยี่ยนอ๋องถึงเพียงนั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือสูตรยาโบราณของดอกปี้ลั่วที่อยู่ในมือบัณฑิตขี้โรคนั้นต่างหาก

 

 

หลิงเถี่ยหานฝืนยิ้มด้วยความจนใจ “ข้าขอพูดตามตรง ที่ข้าน้อยมาซีเป่ยในครานี้ก็ด้วยเรื่องนี้” ในเมื่อบัณฑิตขี้โรคยังรู้ข่าวที่ตำหนักติ้งอ๋องได้ดอกปี้ลั่วมา หลิงเถี่ยหานก็ย่อมรู้เรื่องนี้เช่นเดียวกัน แต่หลิงเถี่ยหานไม่เหมือนกับบัณฑิตขี้โรค ที่มีความคับแค้นใจอย่างฝังรากลึกกับม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาจะเป็นหรือตายมิได้มีผลอันใดกับเขาทั้งสิ้น หากม่อซิวเหยาเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อยจริง ไม่แน่ว่าเขาอาจต้องตะโกนด้วยความเสียดายที่สวรรค์รังเกียจคนมีความสามารถ

 

 

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ที่ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการดอกปี้ลั่วมาช่วยชีวิต เครื่องปรุงยาจากตำหนักติ้งอ๋อง กับสูตรยาโบราณของสำนักเยี่ยนอ๋อง เหตุใดต่างฝ่ายถึงจะไม่ต่างถอยกันคนละก้าว เพื่อให้ทั้งสองต่างได้ประโยชน์เล่า เมื่อเทียบกับชีวิตและสุขภาพร่างกายของน้องชายบุญธรรมของตน ความแค้นในใจของน้องชายบุญธรรมที่เกิดขึ้นอย่างงงงวย ในสายตาของหลิงเถี่ยหานแล้วยิ่งดูไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงเข้าไปใหญ่