ตอนที่ 219-2 เจ้าสำนักเยี่ยนอ๋อง

ชายาเคียงหทัย

เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยถามว่า “สูตรยานั้นเจ้าสำนักหลิงก็มีหรือ”

 

 

หลิงเถี่ยหานส่ายหน้าอย่างตรงไปตรงมา เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เรื่องนี้พระชายาได้โปรดวางใจเถิด สูตรยาข้าน้อยจะต้องนำมาให้ให้จงได้ เพราะถึงอย่างไร สิ่งนี้ก็มิได้เกี่ยวกับความเป็นความตายของติ้งอ๋องเท่านั้น แต่นั่นก็มีความเกี่ยวพันกับชีวิตน้องสามด้วยเช่นเดียวกัน”

 

 

เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง หากติ้งอ๋องเกิดเสียชีวิตขึ้นมาจริงๆ ต่อให้น้องสามไม่ป่วยตาย เกรงว่าคนของตำหนักติ้งอ๋องก็คงไม่ปล่อยเขาไว้เช่นกัน

 

 

เยี่ยหลียิ้ม มองเขาด้วยความสงสัยก่อนเอ่ยว่า “ดอกปี้ลั่วมีเพียงดอกเดียว เจ้าสำนักหลิงไม่เคยคิดหรือว่า หากยาไม่พอแล้วจะทำเช่นไร”

 

 

หลิงเถี่ยหานยิ้ม เอ่ยว่า “ข้าน้อยไม่เข้าใจเรื่องการแพทย์และยาพิษ แต่ในเมื่อน้องสามคิดอยากใช้ดอกปี้ลั่วครึ่งหนึ่งมาทำยา อีกครึ่งหนึ่งมาใช้ฝึกทำยาพิษ เชื่อว่าคงไม่มีทางไม่พอ อีกอย่าง…มิใช่ว่าข้าน้อยจำเป็นต้องใช้ดอกปี้ลั่ว ขอเพียงสุขภาพของน้องสามดีขึ้น ข้าก็พอใจแล้ว ความลำบากที่เขาได้รับมาตั้งแต่เด็กนั้นมากกว่าผู้อื่นมากนัก ดังนั้นเขาจึงมีนิสัยที่แปลกประหลาดกว่าผู้อื่น และตั้งแต่ที่ได้รับบาดเจ็บกลับมา ก็ยิ่งรักความสันโดษมากขึ้น ทุกอย่างเป็นเพราะพี่ใหญ่อย่างข้าสั่งสอนเขาไม่ดีเอง หวังว่าท่านทั้งสองจะเห็นใจ”

 

 

ปัญหาเรื่องสุขภาพของบัณฑิตขี้โรค มิได้ร้ายแรงเท่ากับพิษในตัวม่อซิวเหยา ปัญหาของเขาเกิดจากการบาดเจ็บสาหัส ถึงแม้ดอกปี้ลั่วจะเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด แต่ก็มิใช่ว่าจะเป็นเพียงวิธีการเดียวที่ใช้ได้ ด้วยความสามารถของตำหนักติ้งอ๋อง มีตัวยาใดบ้างที่สรรหามาไม่ได้ มีท่านหมอชื่อดังคนใดบ้างที่เชิญมารักษาไม่ได้ มีหลายคราที่หลิงเถี่ยหานคิดอยากมาเชิญเสิ่นหยางถึงตำหนักติ้งอ๋องด้วยตนเอง ให้ช่วยตรวจรักษาให้บัณฑิตขี้โรค แต่กลับถูกบัณฑิตขี้โรคคัดค้านอย่างหนัก จนถึงขั้นหนีออกจากสำนัก ดังนั้นเขาถึงได้แต่จนใจ

 

 

เยี่ยหลีย่อมเข้าใจความหมายของหลิงเถี่ยหาน และอดรู้สึกดีกับนักล่าค่าหัวอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพผู้นี้ขึ้นมาไม่ได้ ไม่ว่าหลิงเถี่ยหานและสำนักเยี่ยนอ๋องจะทำสิ่งใด แต่อย่างน้อยความจริงใจที่หลิงเถี่ยหานมีต่อบัณฑิตขี้โรคที่มิได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดต่อกันแม้แต่น้อยนั้น ถือเป็นเรื่องดี

 

 

ด้วยนิสัยเช่นนั้นของบัณฑิตขี้โรค ไม่มีทางเป็นหัวหน้าที่เป็นที่รักสักเท่าไรนัก ที่หลิงเถี่ยหานเอาใจใส่เขาถึงเพียงนี้ย่อมถือได้ว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ อีกทั้งด้วยนิสัยเช่นนั้นของบัณฑิตขี้โรคและความโหดเ**้ยมของเขา หากมิใช้เพราะมีหลิงเถี่ยหานคอยห้ามปรามเขาไว้ เกรงว่าหลายปีนี้คงได้มีเรื่องกับคนทั้งยุทธภพไปอีกไม่น้อย

 

 

ถึงแม้สำนักเยี่ยนอ๋องจะมีอิทธิพลอย่างมาก แต่ในยุทธภพก็มีคนฝีมือดีหลบซ่อนอยู่มากนัก ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่ง บัณฑิตขี้โรคอาจไปมีเรื่องกับคนที่ไม่ควรมีเรื่องด้วยก็เป็นได้

 

 

“เจ้าสำนักหลิงช่างเป็นพี่ชายที่ดีนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าสำนักกับเจ้าสำนักสองและเจ้าสำนักสามจะพักอาศัยอยู่ที่เมืองหลีสักพักหนึ่งก่อนก็ได้ ส่วนเรื่องสูตรยาโบราณ ก็ใช่ว่าจะต้องรีบร้อนใช้ในยามนี้ มิใช่ว่าข้าไม่เชื่อในตัวเจ้าสำนัก แต่เรื่องนี้มีความสำคัญมากจริงๆ รอให้เจ้าสำนักสามยอมมอบให้ด้วยความเต็มใจจะดีกว่า” เยี่ยหลีพยักหน้าให้หลิงเถี่ยหาน พร้อมเอ่ยปากขึ้น

 

 

หลิงเถี่ยหานนิ่งไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของเยี่ยหลี เขาเองเข้าใจดีว่าเหตุใดเยี่ยหลีถึงต้องคิดมากเช่นนี้ เพราะด้วยนิสัยน้องสามของตนนั้น หัวรุนแรงจนเกินไป ต่อให้มีเขาออกหน้า ก็ยังไม่แน่ว่าน้องชายบุญธรรมที่แสนจะหัวดื้อของเขาจะยอมทำตาม ต่อให้ตัวตายก็ต้องพาติ้งอ๋องให้ตายตกไปตามกันด้วยให้จงได้ หากถึงยามนั้นสิ่งที่ต้องเสียไปคงมิได้มีเพียงชีวิตของติ้งอ๋องและน้องสามเท่านั้น เกรงว่าจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตของทุกคนในตำหนักติ้งอ๋องและสำนักเยี่ยนอ๋องด้วยเป็นแน่

 

 

สุขภาพของม่อซิวเหยา หลิงเถี่ยหานพอรู้อยู่บ้าง เมื่อเห็นว่าแม้ในเวลาเช่นนี้ เยี่ยหลีก็ยังไม่ถือดีและไม่รีบร้อน ก็อดมองนางใหม่ไม่ได้ “เช่นนั้นก็ขอรบกวนพระชายาแล้ว”

 

 

เมื่อพูดคุยเรื่องบัณฑิตขี้โรคและการพักอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวของหลิงเถี่ยหานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีจึงลุกขึ้นปล่อยให้ม่อซิวเหยาและหลิงเถี่ยหานได้พูดคุยกันเพียงลำพัง ส่วนตนเดินออกไปที่เรือนของเสิ่นหยาง

 

 

เมื่อครู่ ถึงแม้เจ้าสำนักสองท่านนั้นจะปรากฏกายขึ้นอย่างสง่างาม แต่จู่ๆ เยี่ยหลีก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้และสนใจสตรีที่แข็งเย็นประหนึ่งน้ำค้างแข็งผู้นั้นขึ้นมา

 

 

ภายในโถงดอกไม้เหลือเพียงม่อซิวเหยาและหลิงเถี่ยหานสองคน จึงสงบเงียบขึ้นทันที

 

 

บุรุษทั้งสองต่างมีบารมีเหนือคนธรรมดาเช่นเดียวกัน ในตัวม่อซิวเหยาที่มีฐานะเป็นอ๋องมาตั้งแต่กำเนิด จึงมีความสูงสง่าและถือดีติดตัวมาด้วย แต่หลิงเถี่ยหานกลับดูมีท่าทีสบายๆ และมีความองอาจอย่างคนในยุทธภพ หากพูดถึงเรื่องรูปลักษณ์แล้ว หลิงเถี่ยหานดูจะด้อยกว่าม่อซิวเหยาอยู่สองขั้น แม่ความสุขุมองอาจ แต่ยังดูสบายๆ และใจใหญ่ของหลิงเถี่ยหาน ทำให้เขาดูน่าเข้าใกล้กว่าม่อซิวเหยามากนัก

 

 

พวกเขานั่งเงียบจิบชากันอยู่พักหนึ่ง หลิงเถี่ยหานยกถ้วยชาขึ้นดื่มให้ม่อซิวเหยาแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ได้ยินมานานแล้วว่าชายาติ้งอ๋องเป็นสตรีประหลาดที่มีเพียงหนึ่งเดียวของยุค เดิมทีที่หนานเจียงก็เคยมีวาสนาได้พบหน้ากันครั้งหนึ่ง วันนี้เมื่อได้มาพบหน้าอีกครั้งถึงได้รู้ว่าสมคำร่ำลือยิ่งนัก ท่านอ๋องได้ภรรยาที่ดีจริงๆ ช่างมีบุญวาสนานัก”

 

 

ม่อซิวเหยาก็ไม่ถ่อมตนแม้แต่น้อย พยักหน้าเอ่ยว่า “อาหลีย่อมเป็นภรรยาที่ดี ที่เจ้าสำนักหลิงมาในครานี้ คงมิใช่ด้วยเพราะเรื่องบัณฑิตขี้โรคเท่านั้นกระมัง หากเป็นเช่นนั้นจริง จะลำบากไปไย เดิมทีท่านกับข้าเคยทำข้อตกลงกันไว้แล้วว่า หากเขาไม่ยั่วยุให้ข้าโกรธขึ้นมาจริงๆ ข้าจะไม่แตะต้องเขา”

 

 

หลิงเถี่ยหานอมยิ้มมองเขา เอ่ยด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดเมื่อครู่ข้าถึงรู้สึกว่าท่านอ๋องคิดอยากเอาเขาถึงตายเล่า”

 

 

ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ “เขาคิดจะทำร้ายอาหลี! แต่ข้าจะไว้ชีวิตเขา”

 

 

ส่วนจะไว้ชีวิตเขาอย่างไร เขาจะเป็นคนตัดสินใจเอง ขอแค่ยังมีลมหายใจ ก็ถือว่าไว้ชีวิตแล้ว

 

 

“ท่านและข้าต่างรู้ดี เขาไม่มีทางทำร้ายชายาติ้งอ๋องได้” ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฝีมือของชายาติ้งอ๋อง องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังชายาติ้งอ๋องก็มิใช่คนที่จะมีเรื่องด้วยได้ ด้วยฝีมือน้องสามของเขา หากไม่มียาพิษก็เท่ากับเป็นฝีมือของครึ่งคนไร้สมรรถภาพเท่านั้น การคิดจะทำร้ายพระชายา จึงถือเป็นการคิดทำในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เท่านั้น เพียงแต่หลิงเถี่ยหานมิได้คิดที่จะตอแยม่อซิวเหยาในเรื่องนี้ อีกฝ่ายคิดอยากลงมือเพื่อภรรยาที่รัก ก็เป็นเรื่องที่สำนักเยี่ยนอ๋องเข้าใจได้ และไม่คิดอยากจะขวาง มิเช่นนั้นแล้ว หากไปจี้ถูกจุดม่อซิวเหยาเข้า คงมีแต่จะทำให้น้องสามใช้ชีวิตลำบากยิ่งกว่าเดิม

 

 

เขาถอนหายใจแล้วเลิกคิดถึงน้องชายที่น่าปวดหัวคนนั้นไว้ก่อน หลิงเถี่ยหานเอ่ยว่า “ท่านถามข้าว่าเหตุใดข้าถึงมาที่เมืองหลีมิใช่หรือ เมื่อครู่มีงานงานหนึ่งส่งมาว่าจ้างสำนักเยี่ยนอ๋อง”

 

 

ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “เกี่ยวกับตำหนักติ้งอ๋อง?”

 

 

หลิงเถี่ยหานพยักหน้า “ถูกต้อง ถึงแม้สำนักเยี่ยนอ๋องจะป่าวประกาศออกไปนานแล้วว่าจะไม่รับงานที่เกี่ยวข้องกับตำหนักติ้งอ๋อง แต่ครานี้อีกฝ่ายมิได้ต้องการที่จะลอบสังหารคนของตำหนักติ้งอ๋อง อีกทั้งจำนวนเงินที่เสนอมาก็น่าสนใจมากทีเดียว”

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว มองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

สิ่งที่สำนักเยี่ยนอ๋องทำนั้น คือการค้าเกี่ยวกับการสังหารคน หากไม่ต้องการสังหารผู้ใด แล้วจะไปหาพวกเขาเพื่ออันใดกัน หากว่าด้วยเพราะเรื่องอื่นย่อมต้องมีคนที่สามารถทำได้ดีกว่าพวกเขา

 

 

หลิงเถี่ยหานเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้ารับงานมาแล้ว”

 

 

ม่อซิวเหยามองเขานิ่ง

 

 

หลิงเถี่ยหานจึงจำต้องถอนใจ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หลายวันก่อนท่านมิได้ประลองยุทธกับเหลยเจิ้นถิงหรือ อีกฝ่ายต้องการให้ข้าประลองกับท่านอีกสักครั้ง เดาว่าหากมิใช่เพราะหามู่ฉิงชังไม่พบ อีกฝ่ายคงได้ไปหามู่ฉิงชังเพื่อให้มาประลองกับท่านเช่นกัน”

 

 

“เหตุผลคือ?” ม่อซิวเหยาเอ่ยถาม

 

 

หลิงเถี่ยหานส่ายหน้า ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หลายวันนี้ข้าก็ใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่หลายครา คาดว่าท่านกับเหลยเจิ้นถิงยามที่ประลองกัน คงมิได้มีผู้ใดที่ออกฝีไม้ลายมือใส่กันอย่างเต็มที่ ถึงได้ปลอดภัยกันทั้งสองฝ่าย หากท่านกับข้าประลองกันขึ้นมาจริงๆ เดาว่าผลคงออกมาว่าทั้งสองฝ่าย ต่างบาดเจ็บและเสียหายกันอย่างหนัก เพียงแต่…ห่างมาสิบกว่าปีแล้ว หากได้ประลองฝีมือกับติ้งอ๋องอีกสักครั้ง ข้าเองก็เฝ้ารอโอกาสนั้นไม่น้อย”

 

 

สิบกว่าปีก่อน หลิงเถี่ยหานยังเป็นเพียงชายหนุ่มในวัยยี่สิบต้นๆ และเป็นช่วงที่กำลังเลือดร้อนอย่างแท้จริง ถึงแม้เจิ้นหนานอ๋องจะมีชื่อเสียงขจรกระจายไปไกล แต่ถึงอย่างไรก็มีอายุมากกว่าพวกเขามากนัก คนในใต้หล้าที่มีฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกับเขาก็มีเพียงมู่ฉิงชังคนเดียวเท่านั้น

 

 

ทุกคนต่างรู้ดีว่าในยามนั้น ม่อซิวเหยาที่อายุเพิ่งสิบสี่ปี อยู่ในชุดสีขาวนั่งอยู่หลังม้าพร้อมดาบหนึ่งเล่มบุกไล่ห้ำหั่นไปทั่วฟ้า ยอดฝีมือของใต้หล้าในยามนั้น หากว่ากันเรื่องเพลงดาบแล้ว ก็ทำให้ผู้คนเกรงกลัวกันไปไม่น้อย ถึงแม้หลิงเถี่ยหานมิได้พ่ายแพ้ แต่การเอาชนะเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด และผลเกือบจะออกมาเสมอกันนั้น สำหรับหลิงเถี่ยหานในยามนั้น ถือว่ามิใช่ผลที่งดงามสักเท่าไรจริงๆ

 

 

ในยามนั้น หลิงเถี่ยหานกับม่อซิวเหยาได้ทำข้อตกลงกันไว้ว่า ห้าปีหลังจากนี้จะมาตัดสินแพ้ชนะกันอีกครั้ง แล้วตนก็กลับสำนักเยี่ยนอ๋องไป ปิดประตูตัดขาดกับโลกภายนอก ผู้ใดเลยจะรู้ว่า ห้าปีต่อมาข่าวแรกที่ได้ยิน กลับกลายเป็นว่า น้องสามของตนหาเรื่องม่อซิวเหยาอย่างไม่รู้ที่เป็นที่ตาย และพร้อมกันนั้นก็ได้รู้ข่าวที่ว่าม่อซิวเหยาได้รับบาดเจ็บสาหัสและกลายเป็นคนพิการ

 

 

จิตใจของหลิงเถี่ยหานในยามนั้น สับสนเสียยิ่งกว่ายามเพิ่งประลองยุทธกับม่อซิวเหยาจบเสียอีก เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่า ตนเองลำบากตรากตรำอยู่ถึงห้าปี และคิดว่าในที่สุดตนจะสังหารศัตรูของตนได้สำเร็จเสียที แต่สุดท้ายกลับมีคนมาบอกตนว่า เมื่อวานนี้ศัตรูของตนได้ทำตัวเองตายไปเสียก่อนแล้ว

 

 

“ท่านจะประลองจริงๆ หรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถาม

 

 

หลิงเถี่ยหานยิ้ม เอ่ยว่า “เหตุใดจะไม่ประลองเล่า หรือว่าร่างกายของท่านยังไม่สมบูรณ์ดี เช่นนั้นไว้รอให้ปรุงยาจากดอกปี้ลั่วสำเร็จเสียก่อนค่อยประลองก็ยังทัน ข้าลืมตกลงเรื่องวันเวลาในการประลองยุทธกับอีกฝ่ายด้วยพอดี”

 

 

ที่เขารับงานนี้ก็ด้วยเพราะเขาอย่างประลองฝีมือกับม่อซิวเหยา ดังนั้นเรื่องเวลาและสถานที่จึงย่อมแล้วแต่เขากับม่อซิวเหยา

 

 

เมื่อผ่านมาหลายปีเช่นนี้ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นสี่ยอดฝีมือแห่งใต้หล้า ด้วยวงการที่แต่ละคนอยู่ แทบไม่มีโอกาสได้พบหน้ากัน ซึ่งนี่ทำให้หลิงเถี่ยหานรู้สึกหงุดหงิดใจมานานแล้ว เขาต้องการประลองยุทธกับยอดฝีมือที่อยู่ในระดับเดียวกัน เพื่อพัฒนาวิทยายุทธของตนเอง และหนึ่งในนั้น ก็คือม่อซิวเหยาที่เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อที่สุด

 

 

ส่วนเจิ้นหนานอ๋อง ก่อนที่จะได้ยินว่าม่อซิวเหยากับเจิ้นหนานอ๋องจะประลองยุทธกันนั้น หลิงเถี่ยหานก็หมดความสนใจในวิทยายุทธของเขาไปแล้ว วิทยายุทธของเจิ้นหนานอ๋องหยุดอยู่ที่ระดับเดียวกับเมื่อสิบปีก่อน หากใช้ฝีมือทั้งหมดที่มี หลิงเถี่ยหานคิดว่าตนมีโอกาสถึงแปดในสิบส่วนที่จะเอาชนะเขาได้