เมืองอู๋อิ๋น แห่งอาณาจักรซีเฉียน
หากเจียงหลีมาที่นี่อีกครั้งคงรู้สึกประหลาดใจ
เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยคึกคักอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกหดหู่และเต็มไปด้วยบาดแผล บนถนนก็มีร้านค้าน้อยลง คนเดินเท้าก็น้อยลงไปมาก ส่วนที่เหลือก็ดิ้นรนขวนขวาย
เมืองหลวงยังเป็นเช่นนี้ คงไม่ต้องพูดถึงเมืองอื่นในซีเฉียนอีกกระมัง
ในพระตำหนักขององค์ชายรองเฉียนจวิ้นกำลังหารือกับที่ปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องสำคัญ
“โรคระบาดครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างแปลกประหลาดยิ่งนัก ถึงแม้ตอนนี้เราจะสามารถจัดการโรคระบาดให้คลี่คลายบ้างแล้ว แต่ช่วงเวลานี้ความเสียหายต่อบ้านเมืองของเราก็ไม่น้อยเช่นกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย ตามสถิติจากขุนนางแล้ว โรคระบาดครั้งนี้ ทำให้ประชากรอาณาจักรของเราพลัดหลงเร่ร่อนไปครึ่งค่อนเมืองได้ ยังมีอีกมากที่ระหกระเหินไปที่อาณาจักรจยาเซียน ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิต…”
“พอได้แล้ว!” เฉียนจวิ้นตัดคำพูดของที่ปรึกษาด้วยสีหน้ามืดมน “ในราชวังมีคนตายไปมากมายเยี่ยงนี้ เหล่านางสนมในวังหลัง องค์ชายน้อย แม้แต่เสด็จพ่อก็เกือบจะติดเชื้อไปด้วย ชาวบ้านจะล้มตายไปบ้าง คงไม่เป็นอะไรหรอกกระมัง”
เมื่อคำพูดนี้ออกจากปากของเขา เหล่าที่ปรึกษาก็มองหน้ากันและเลือกที่จะเงียบ
แต่มีหนึ่งในนั้นที่ปกติก็ถนัดเรื่องการประจบสอพลอ เขากลอกตาแล้วพูดออกมาคำหนึ่งว่า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ที่ครั้งนี้ฝ่าบาทสามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ ต้องขอบพระทัยองค์ชายยิ่งนัก ในตอนนั้นองค์รัชทายาทยังหัวเราะเยาะองค์ชายที่เลือกใช้วิญญาณยุทธ์สายช่วยเหลือ แต่คราวนี้ฝ่าบาททรงเกิดวิกฤติ แล้วองค์รัชทายาทที่ฝึกวิญญาณยุทธ์สายโจมตีนั้นทำอะไรได้บ้างเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดนี้ ทำให้เฉียนจวิ้นรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง คิ้วที่ขมวดอยู่ก็ได้รับการผ่อนคลายเช่นกัน
“ที่เรียกพวกเจ้ามา ไม่ได้ให้พวกเจ้าพูดเรื่องพวกนี้ ข้าอยากรู้แผนการของเสด็จพ่อที่มีต่อราชวงศ์
จยาเซียน ข้าเป็นหัวหน้าหรือเป็นกำลังเสริม” เฉียนจวิ้นเงยหน้าขึ้นช้าๆ อย่างเย่อหยิ่ง สายตากวาดมองเหล่าที่ปรึกษาด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“เรื่องนี้…”
“เรื่องนี้…คือว่า”
น่าเสียดายที่เหล่าที่ปรึกษากลับลังเลขึ้นมาทันที ทุกคนต่างเงียบและไม่พูดสิ่งใดออกมา
ปฏิกิริยาเช่นนี้ทำให้เฉียนจวิ้นขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราด “ข้าใช้เงินทองมากมายเลี้ยงดูพวกเจ้า แต่ตอนนี้พวกเจ้ากลับอ้ำๆ อึ้งๆ อย่างนั้นหรือ”
“องค์…องค์ชาย…” ขณะที่เฉียนจวิ้นกำลังโกรธอยู่นั้น หัวหน้าที่ปรึกษาจึงทำได้เพียงเผชิญหน้าเอ่ยตอบกลับไป “โรคระบาดครั้งนี้มีผลกระทบต่อบ้านเมืองของเรามากนัก หากส่งทหารไปในตอนนี้ จะเป็นการทำร้ายประชาชน อีกทั้งยังเกรงว่าจะไปกระตุ้นให้เกิดการก่อกบฏขึ้นอีกด้วย”
“จริงด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“จริงด้วยพะยะค่ะ…จริงด้วย…”
“…”
เหล่าที่ปรึกษาต่างเห็นด้วยกับหัวหน้า มีเพียงคนที่ชอบประจบสอพลอที่ยังกลอกตาไปมา มิอาจรู้ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อสายตาของเฉียนจวิ้นกวาดมองไปยังเขา เขายิ้มเจื่อนแล้วเอ่ยขึ้นอย่างพะเน้าพะนอ “องค์ชาย ยังไม่ใช่ประมุขแห่งใต้หล้านี้ การดำรงชีวิตอยู่ของผู้คน เราอย่าพึ่งพิจารณาเรื่องนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ สิ่งเดียวที่เราต้องคิดคือ ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของเขาทำให้สหายของเขาไม่เห็นด้วย แต่กลับไม่มีใครกล้าคัดค้านเลยสักคน
ดวงตาของเฉียนจวิ้นค่อยๆ หรี่ลงและกล่าวอย่างครุ่นคิด “ปัญหาคือ เสด็จพ่อเองยังคงลังเลอยู่ องค์รัชทายาทนำทัพ ส่วนขุนนางคอยเสริม ข้าจะไม่เอ่ยความเห็นอะไรก็ไม่ได้อีก เช่นนี้จะเป็นการกระตุ้นให้เสด็จพ่อทรงกริ้วได้”
“ความลังเลก็อาจหมายความว่าเป็นไปได้ทั้งสอง ความจริงฝ่าบาทคงมีฝ่ายที่อยู่ในใจไว้แล้วบ้าง เพียงแต่ว่าตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเอง ทำให้ฝ่าบาททรงลังเล ในเวลานี้ เพียงแค่องค์ชายเข้าใจถึงความปรารถนาของฝ่าบาท จากนั้นก็เพิ่มน้ำหนักลงไป ช่วยฝ่าบาทตัดสินใจ เช่นนี้จะทำให้ฝ่าบาทมีความสุข อีกทั้งยังชอบพระทัยในตัวองค์ชายด้วยเช่นกัน” ชายคนนั้นยังคงเป่าหูต่อไป
ดวงตาของเฉียนจวิ้นขยับเล็กน้อย ขณะนี้เขาถูกชายคนนั้นเป่าหูเป็นที่เรียบร้อย เขาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าจะสามารถรู้ถึงความปรารถนาของเสด็จพ่อได้เยี่ยงไร”
“สังเกตจากสีหน้าและคำพูดพ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นกล่าวด้วยแววตามีเลศนัย
ดวงตาของเฉียนจวิ้นมืดครึ้มและพูดกับเหล่าที่ปรึกษาว่า “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ พวกเจ้ากลับไปได้”
เหล่าที่ปรึกษาค่อยๆ ขอตัวกลับไป เหลือเพียงเฉียนจวิ้นที่กำลังคิดตระหนักอยู่ในวังเพียงคนเดียว
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้อยู่คนเดียวนานนัก เงาร่างผอมบางร่างหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเขา “เหตุใดองค์ชายทรงคิดหนัก”
เฉียนจวิ้นเงยหน้าขึ้นมองสาวงามที่กำลังเดินเข้ามาหาเขา ดวงตาหม่นแสงลงเล็กน้อยแล้วยื่นมือออกไปลูบไล้ผิวของนางผ่านผ้าคลุมหน้าบางๆ “ยวนเอ๋อร์”
การสัมผัสที่แผ่ซ่านทางผิวสัมผัส ทำให้โจวยวนรู้สึกพะอืดพะอมแต่ก็อดกลั้นไว้ได้ นางเผยรอยยิ้มออกมา ร่างกายอ่อนยวบเอนกายพิงไปยังร่างของเฉียนจวิ้นราวกับไร้กระดูก “พระองค์ทรงคิดมากเกี่ยวกับการส่งทหารไปยังราชวงศ์จยาเซียนอย่างนั้นหรือ”
“อืม” เฉียนจวิ้นหลับตาลงทั้งสองข้าง สูดดมกลิ่นกายที่ผิวของโจวยวนแล้วพึมพำเสียงต่ำ “แม่นางปีศาจน้อย ทำให้ข้าหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว”
หลังจากที่เขาได้ครอบครองร่างกายของโจวยวนแล้วนั้นก็รู้เลยว่านางสามารถทำให้ชายหนุ่มมีความสุขจนหยุดเรื่องแบบนั้นไม่ได้
“องค์ชาย ข้ากำลังพูเรื่องจริงจังกับพระองค์อยู่นะเพคะ” โจวยวนพูดตำหนิไปรอบหนึ่งแล้วออกจากอ้อมกอดของเขา
พอมือว่างเปล่าก็ทำให้หัวใจของเฉียนจวิ้นว่างเปล่าด้วยเช่นกัน เขามองไปที่โจวยวนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “มีอะไรจะพูด ค่อยว่ากันคราวหลัง”
เขาพูดพลางดึงโจวยวนเข้าหาและอุ้มนางขึ้นมาจากนั้นก็เดินกลับไปที่ห้องบรรทม
โจวยวนโน้มตัวในอ้อมกอดของเฉียนจวิ้น ราวกับไม่มีเรี่ยวแรงแล้วปล่อยให้เขาทำตามที่ต้องการ แต่แววตาของนางกลับเย็นยะเยือก อีกทั้งสายตาของนางยังมีความเย้ยหยันและความเกลียดชังปรากฏออกมา
“ยวนเอ๋อร์ เจ้าช่างหอมหวานเหลือเกิน! นี่เป็นกลิ่นอะไรหรือ” เฉียนจวิ้นพูดอย่างครองสติเอาไว้ไม่อยู่
ความเหยียดหยันออกมาจากโจวยวนมากขึ้น แน่นอนที่นางจะไม่ยอมบอกเฉียนจวิ้นว่าที่เขาหลงใหลในตัวของนางนั้นเป็นเพราะกลิ่นของเครื่องหอมพิเศษบางอย่างบนร่างกายนาง
หลังจากผ่านบทรักอันเร่าร้อน ทั้งห้องบรรทมก็เต็มไปด้วยความงดงาม
โจวยวนพิงไว้บนเรือนร่างของเฉียนจวิ้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “องค์ชายเพคะ ซีเฉียนจะโจมตีราชวงศ์จยาเซียนเมื่อไหร่หรือเพคะ”
คำถามนี้…ช่าง…
เฉียนจวิ้นขมวดคิ้ว น้ำเสียงเย็นชาลงเล็กน้อย “ยวนเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดแค้นราชวงศ์จยาเซียน แต่การที่ทั้งสองเมืองจะทำสงครามกันนั้นเป็นเรื่องใหญ่หลวงนัก ข้าเองก็อยากจะให้เจียงหลีตายซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเสด็จพ่อด้วย”
คำพูดนี้ทำให้แววตาของโจวยวนเย็นชาลง “องค์ชายเองก็อยากจะโจมตีราชวงศ์จยาเซียนมากกว่าผู้ใด เพียงเพราะคำพูขี้ขลาดของเหล่าขุนนางทำให้ท่านลังเลเท่านั้น”
“เจ้าหมายความว่าอะไร” เฉียนจวิ้นถามนางด้วยสีหน้าหนักแน่น
โจวยวนเอ่ยตอบ “ซีเฉียนและจยาเซียนต้องมีสงครามกันในที่สุด โรคระบาดครั้งนี้ทำให้ซีเฉียนของเราเสียหายหนัก ต่อให้ต้องฟื้นฟูกัน แต่ราชวงศ์จยาเซียนก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นเดียวกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว มิสู้ฉวยโอกาสนี้ทำลายเรือแล้วโจมตีราชวงศ์จยาเซียนไม่ดีกว่าหรือ หากชนะทรัพยากรของราชวงศ์จยาเซียนทั้งหมดล้วนจะตกเป็นของซีเฉียน ซีเฉียนจะได้ขึ้นเป็นเมืองอันดับหนึ่งของหนานฮวง ยังมีหวังรวมหนานฮวงในอนาคต หากยังรอต่อไป เกรงว่าต่อไปจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสยากนะเพคะ”
เฉียนจวิ้นครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดของโจวยวน ผ่านไปเนิ่นนานจึงพูดขึ้นว่า “เจ้าพูดมีเหตุผล”
“องค์ชายสามารถไปเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทได้หรือไม่เพคะ” โจวยวนพูดอีกครั้ง
สายตาเฉียนจวิ้นเป็นประกายวูบไหว ไม่มีทีท่าปฎิเสธนาง
ในตำหนักจักรพรรดินีแห่งราชวงศ์จยาเซียน
เจียงหลีเพิ่งถูกใครบางคนโยนกลับเข้าไปในตำหนักจักรพรรดินี จากเขาฝูถู อวี้ซูก็เข้ามาหาพร้อมกับนำเสนอข้อมูลล่าสุดของซีเฉียน
“ฝ่าบาท เราควรจะทำเยี่ยงไรดี” อวี้ซูขอความเห็นจากเจียงหลี
มุมปากของเจียงหลียกขึ้นเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มขี้เล่น “ในเมื่อตาแก่นั่นยังลังเลอยู่ เช่นนั้นพวกเราก็ส่งกองทัพทหารไปซะ ดังคำกล่าวที่ว่า…น้ำขึ้นให้รีบตัก!”