ภาคที่ 2 บทที่ 57 ยั่วยุ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 57 ยั่วยุ

จางเซิ่งอันยังคงสวมชุดสะอาดสะอ้านเช่นครั้งก่อน ดูสง่างามสูงส่งไม่น้อย

แต่แม้เสื้อผ้าจะดูสูงส่งงดงาม หากทว่าสีหน้ากลับไม่ได้ดูงดงามตามไปด้วย

ไม่ใช่แค่เขา แต่คนอื่น ๆ ที่เดินตามหลังมาก็มีสีหน้าเดียวกัน เสื้อผ้าเรียบร้อยดูสง่า แต่กลับทำสีหน้าราวกับคนอยากกระอักเลือด

หากเป็นไปได้พวกเขาอยากกลับมาแบบโชกเลือดมากกว่า เพราะอย่างไรบาดแผลและหยาดโลหิตทั้งหลายต่างก็เป็นร่องรอยแห่งเกียรติยศแห่งนักรบที่แท้จริงทั้งสิ้น

แต่พวกเขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้…… เป็นเพราะไม่มีโอกาสได้ประมือกับอสูรร้ายเลยสักตัว

เป็นอีกครั้งที่พวกเขากลับมามือเปล่า

ราวกับว่าอสูรร้ายทั่วทั้งหุบเขาพันเถ้าสมคบคิดกันซ่อนตัวจากพวกเขา มองไปทางใดก็ไม่เห็นหัวพวกมันสักตัว ไม่ว่าจะไปทางไหนก็ไม่พบอสูรร้ายเพียงครึ่งตัว

และแม้จะมีอสูรร้ายปรากฏตัวขึ้น ทว่าเมื่อพวกเขามุ่งหน้าไปหา พวกมันก็จะพากันหลบเลี่ยงหลีกหนีไปภายในพริบตา

สุดท้ายพวกเขาก็ใช้เวลา 10 วันในหุบเขาพันเถ้าโดยไม่ได้ประชันหน้ากับอสูรร้ายเลยสักตัว

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมาเลย

อย่างน้อย ๆ พวกเขาก็เก็บสมุนไพรล้ำค่ากลับมาได้บ้าง แต่ทุกคนรู้ดีว่าภารกิจหลักที่มาที่นี่คือการเก็บสมุนไพรและล่าอสูรร้าย หากสิ่งหนึ่งหายไปก็เท่ากับว่าผลประโยชน์หายไปครึ่งหนึ่ง

แต่แท้จริงแล้วเรื่องนั้นไม่สำคัญกับพวกเขานัก คนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงไม่ขาดเงินอยู่แล้ว พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพียงเพราะเรื่องเงิน แต่มาเพื่อฝึกตนด้วยต่างหาก

แต่หากไร้อสูรร้ายให้ไล่ล่า เช่นนั้นก็ไม่อาจฝึกตนได้ !

ทว่าเรื่องนั้นก็ยังไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดอีกอยู่ดี

สิ่งสำคัญที่สุดคือชื่อเสียงของพวกเขา

เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้สังหารอสูรร้ายเลยสักตัว กลุ่มทะยานฟ้าจึงขายแต่สมุนไพรยาเท่านั้น

ในหุบเขาพันเถ้ามีเหล่าศิษย์เข้ามามากมาย ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงสนิทสนมรู้จักกันดี ไม่นานเรื่องนี้ก็ถูกแพร่ข่าวออกไปอย่างรวดเร็ว

คนอื่น ๆ ไม่รู้ว่ากลุ่มทะยานฟ้าหาอสูรร้ายไม่เจอสักตัว ได้แต่คิดว่ากลุ่มทะยานฟ้าคงจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอสูรร้าย

ดังนั้นจึงเริ่มมีข่าวลือว่าแม้กลุ่มทะยานฟ้าจะเต็มไปด้วยสมาชิกฝีมือโดดเด่น แต่ก็ไม่มีความกล้าแม้จะเผชิญหน้ากับอสูรร้าย กล้าเพียงเก็บสมุนไพรยาเท่านั้น……

และเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ทุก ๆ คนจึงพบว่ากลุ่มทะยานฟ้ามีเพียงสมุนไพรมาขายเท่านั้น

คนบางคนกระทั่งเริ่มเรียกกลุ่มทะยานฟ้าว่า ‘กลุ่มมังสวิรัติ’

ช่างเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าเป็นยิ่งนัก !

จางเซิ่งอันและคนอื่น ๆ ยามได้ยินข่าวลือก็โกรธจัด

แต่ไม่ว่าจะโกรธถึงเพียงไหน พวกเขาก็ไม่อาจเป็นศัตรูกับศิษย์ทั่วทั้งหุบเขาพันเถ้าได้

เมื่อเห็นกลุ่มทะยานฟ้ากำลังเดินเข้ามา คนปากร้ายคนหนึ่งก็หัวเราะแล้วเอ่ยเสียงเยาะขึ้น “นี่ จางเซิ่งอัน วันนี้เก็บสมุนไพรได้เท่าไรหรือ ?”

จางเซิ่งอันเมินอีกฝ่ายเสีย

เขาอาจทำท่ากร่างต่อหน้าเจิ้งเซี่ย และคนอื่น ๆ ได้ แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่ศิลาส่องกลับ ศิษย์หลายคนมีชั้นปีสูงกว่า หรือต่างก็มีสายเลือดระดับสูงกว่าเขา เขาไม่มีทางรู้ว่าคนพวกนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไร หากกล้าเอ่ยล่วงเกินกันเปิดเผยเช่นนี้ก็คงมีคนคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเป็นแน่

ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงอดทนเท่านั้น

คำบางคำเขาอาจมองเมินได้ แต่คนอื่น ๆ กลับพบว่าไม่อาจปล่อยวาง !

คนผู้หนึ่งส่งเสียงหัวเราะขึ้นจมูก “หากทั้งวันจะเอาแต่ขุดหาสมุนไพรแล้วจะสะพายธนูไว้ทำไมเล่า ? ในเมื่อใช้ไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ ขายทิ้งไปเสียเลยก็ดี”

“ถูกต้อง วานรยักษ์เหล็กกล้าตัวนั้นก็ไม่จำเป็นเช่นกัน สังหารมันเอาหนังอสูรมายังจะดีเสียกว่า”

“แล้วเจ้าคิดว่าพวกเขาได้ตัววานรยักษ์นี่มาอย่างไรกัน ? โดยกำลังตนงั้นหรือ ? ข้าได้ยินว่าพวกเขาซื้อมันมาจากคนอื่นต่างหาก”

“ซื้อวานรยักษ์หรือ ? ฮ่า ๆ ข้าจะขำตายแล้ว นี่พวกเขาเดินทางมาถึงหุบเขาพันเถ้าเพื่อมาแสดงความโง่เขลางั้นหรือ ?”

“ก็เป็นไปได้ !”

ทั่วทุกที่มีแต่เสียงนินทาเช่นนี้ เต็มไปด้วยร่องรอยเยาะเย้ยถากถาง

สีหน้าของจางเซิ่งอันและคนอื่น ๆ เปลี่ยนไปในพลัน

ไอ้พวกบัดซบ !!!

แต่ก่อนพวกเขาก็เคยเยาะเย้ยถากถางคนอื่นเช่นนี้ แต่เมื่อพวกตนถูกกระทำเสียเองก็พบว่ารู้สึกแย่มากเพียงไหน

เจิ้งเซี่ยและคนอื่น ๆ แอบหัวเราะ

เพราะข่าวลือส่วนหนึ่งก็เป็นพวกเขาที่เป็นคนปล่อยออกมา

โดยพวกเขาใช้คำว่า ‘ซื้อ’ วานรยักษ์กับอีกฝ่ายเพื่อแสดงให้เห็นถึงความไร้ความสามารถของกลุ่มนั้น

แล้วแบบนี้จางเซิ่งอันทำอะไรได้ ?

เขาจะสามารถเข้าไปอธิบายเรื่องวานรยักษ์กับทุกคนได้หรือว่าพวกเขาได้มันมาในราคาเพียงหินพลังต้นกำเนิด 20 ก้อน ดังนั้นคงจะเรียกซื้อขายไม่ได้ แต่เป็นชิงเอามาต่างหากกระนั้นหรือ ? การให้คนอื่น ๆ เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่พวกขยะแต่เป็นหัวขโมยแทนมันจะดีกว่างั้นหรือ ?

ทำเช่นนั้นไปไม่ช่วยอะไรเลย

พวกเขาทำได้แค่ฝืนทนเท่านั้น

ตู้ฉิงหัวเราะออกมาได้สมใจอยากที่สุด ความโกรธความขมขื่นทั้งหลายที่ถูกชิงของไป ในวันนี้มลายหายไปแล้ว ยิ่งจางเซิ่งอันและคนอื่น ๆ โกรธมากเท่าไร นางก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น

อาจเพราะนางหัวเราะดังมากเกินไป จักจั่นทองหงอู่จึงสังเกตเห็นนางเข้า

เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะโน้มตัวไปพึมพำข้างหูจางเซิ่งอัน ทำให้จางเซิ่งอันก้าวเท้าเดินมาทางพวกเขา

เขาก้าวเท้ายาวเข้าไปหาตู้ฉิงและคนอื่น ๆ

เมื่อเดินมาข้างซูเฉินก็หยุดเอ่ย “น่าขันมากนักหรือ ?”

ซูเฉินยังคงรอยยิ้มไว้ “อะไรกันคุณชายจาง ? พวกข้าไม่มีสิทธิ์หัวเราะแล้วหรือไร ?”

จางเซิ่งอันจ้องซูเฉินเขม็ง

เขาเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้าทำอะไรกับอสูรร้ายไว้หรือไม่ ?”

พวกเขาไม่ใช่คนโง่

หากไม่เจออสูรร้ายเลยสักสองสามวันก็คงเป็นเพราะโชคไม่ดี แต่เรื่องเช่นนี้กลับดำเนินติดต่อกันถึง 10 วัน เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องโชคแล้ว

ภาพตอนที่ซูเฉินปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลันและพูดคุยกับจินหลิงเอ้อร์พวกเขายังจำได้แม่นยำ จางเซิ่งอันสงสัยมาพักใหญ่ ๆ แล้วว่าซูเฉินคงเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่พบอสูรร้ายสักตัว..

แต่เขาไร้หลักฐาน มีเพียงความสงสัยเท่านั้น

หากแต่วันนี้ ความอดทนเขาถูกกดจนถึงขีดสุด ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป

เมื่อได้ยินคำถามของจางเซิ่งอัน ซูเฉินก็ยังยิ้ม “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดอะไรอยู่ คุณชายจางช่วยพูดให้กระจ่างกว่านี้ได้หรือไม่ ? หรือคุณชายจางรู้สึกว่ากลุ่มของข้าอ่อนแอที่สุด หมายมั่นว่าจะสั่งสอนเสียหน่อยเพื่อแสดงอำนาจงั้นหรือ ?”

แม้ที่นี่จะไม่ใช่สถาบันมังกรซ่อนเร้น แต่ศิลาส่องกลับก็เป็นที่รวมตัวของศิษย์หลากหลายคน ทำให้มีกฎที่ไม่ได้ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรกำกับไว้อยู่

ดังนั้นจึงไม่คิดมีใครอยากให้เกิดการปะทะกันที่นี่ ไม่เช่นนั้นก็คงทำมาค้าขายกันไม่ได้

ไม่ว่าใครที่คิดโจมตีคนอื่นที่นี่จะถูกตัดสัมพันธ์และถูกดูถูก อาจจะถูกรุมโจมตีด้วยซ้ำ

จางเซิ่งอันไม่ได้โง่ถึงขั้นคิดโจมตีซูเฉินเสียตรงนี้ แต่เขาจ้องหน้าซูเฉิน นิ่งก่อนเอ่ย “จะปฏิเสธก็ได้ แต่ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า ดังนั้นข้าจึงขอเตือนเจ้าไว้อย่าง หยุดการกระทำหลังม่านของเจ้าเสียและข้าจะอภัยให้เจ้า ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าต้องเสียใจ”

ซูเฉินเหลือบมองจินหลิงเอ้อร์

นางยังคงเงียบ ใบหน้าซีดขาวยิ่งนัก

ซูเฉินเข้าใจแล้ว

เขาหันมาประจันหน้ากับจางเซิ่งอัน “คุณชายอยากหลุดออกจากสถานการณ์ปัจจุบันงั้นหรือ ? เช่นนั้นข้าขอมอบคำแนะนำให้คุณชายสักหน่อย”

เขาหยิบหินพลังต้นกำเนิด 20 ก้อนขึ้นมา “คืนวานรยักษ์มาให้ข้า แล้วทุกอย่างจะกลับไปเป็นดังเดิม”

จางเซิ่งอันคำรามต่ำ “ฝันไปเถอะ !”

เขาหมุนตัวแล้วเดินจากไป

คนอื่น ๆ ที่เดินตามหลังจากไปก็ส่งสายตาเคล้าจิตสังหารมาทางซูเฉินเช่นกัน

ดาบระมาดเดินเข้ามากระแทกไหล่ซูเฉิน “เจ้าหนู อย่าให้ข้าเจอเจ้าที่ไหนอีกเล่า ไม่เช่นนั้นเจ้าไม่ตายดีแน่”

ซูเฉินยักไหล่ตอบ “ทำแล้วได้อะไรกัน ? ข้าจะบอกความจริงให้ หากพวกเจ้ายอมคืนวานรยักษ์มา ทุกอย่างจะกลับไปเป็นปกติจริง ๆ”

เขาพูดความจริง ก็เพราะเขาทายาไว้บนร่างวานรยักษ์อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นจะสะดุดตาเกินไป

โชคร้ายที่ไม่คิดมีใครฟังเขาเลย

กวนซานอิงเองก็เดินเข้ามา แต่เขาพูดกับหวังโต้วซาน “กระเรียนอวบ อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน อยู่กับคนพวกนี้ไปเจ้าก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร”

หวังโต้วซานสะบัดร่างไล่อีกฝ่าย “ข้าจะเป็นเพื่อนกับใครต้องให้เจ้ามายุ่งเกี่ยวหรือ ?”

“ไม่รู้จักชั่วดี !” กวนซานอิงคำรามต่ำก่อนจากไป

กลุ่มทะยานฟ้าเดินจากไปในที่สุด

กลุ่มพิสุทธิ์หัวเราะเสียงใสออกมา

แต่ภายใต้เสียงหัวเราะนั้นคือความกังวล

“นี่ เจ้าคิดว่าพวกนั้นจะมาสร้างปัญหาให้เราอีกหรือไม่ ?” ตู้ฉิงถามซุนจี้จู่

“ในเมื่อบาดหมางกันถึงขั้นนี้แล้วก็คงมีแน่” ซุนจี้จู่ถอนใจ บนใบหน้าปรากฏความกังวล

ซูเฉินเอ่ย “หากเจ้ากลัวก็กลับไปยังสถาบันก่อนได้ เพราะอย่างไรทุกคนก็ทำงานหนักกันมาทั้งวันแล้ว ตอนนี้ก็ได้เวลาพักผ่อน”

“แล้วเจ้าเล่า ? ไม่กลับหรือ ?” เจิ้งเซี่ยถาม

“ข้า ?” ซูเฉินหัวเราะเห็นฟันขาว “หากข้าไปแล้วจะไม่น่าเบื่อแย่หรือ ?”