บทที่ 56 ศิลาส่องกลับ
หลังจากเดินห่างจากทะเลสาบมาแล้ว กลุ่มพิสุทธิ์ก็ได้เริ่มออกล่าในหุบเขาพันเถ้าอย่างแท้จริง
ภายในหุบเขามีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มากมาย สมุนไพรหายากต่าง ๆ ก็เช่นกัน
เก็บสมุนไพรและสังหารอสูรร้ายคือสองเหตุผลหลักที่ผู้คนพากันเดินทางมายังหุบเขาแห่งนี้
อย่างแรกต้องใช้เวลาค้นหา อย่างหลังต้องสังหารมากมาย ค้นหาของพึ่งโชค ล่าสังหารพึ่งกำลัง
ดังนั้นกลุ่มที่แข็งจึงแตกต่างกับกลุ่มที่อ่อนแอเป็นอย่างมาก
กลุ่มที่อ่อนแอกว่ามีกำลังไม่พอ ดังนั้นจึงมุ่งตามหาและเก็บเกี่ยวสมุนไพรยาแทน
และหากพึ่งโชคก็นับว่าทุกคนมีความเท่าเทียมกัน
ส่วนกลุ่มที่แข็งแกร่งกว่าไม่เห็นค่ากับการค้นหาสมุนไพร แม้จะมีสมุนไพรล้ำค่าอยู่ตรงหน้าแต่ก็จะมองข้ามมันไป ไม่ก็จำมันไม่ได้เสียอย่างนั้น
แต่ไม่ใช่กับเหล่าอสูรร้าย ที่เมื่อพบก็ลงมือสังหารและเก็บทรัพยากรทันที
แม้กลุ่มพิสุทธิ์จะฟังดูเป็นชื่อกลุ่มที่ดี แต่คนในกลุ่มก็รู้ดีว่าพวกตนเป็นกลุ่มประเภทใด
พวกเขานั้นจัดอยู่ในกลุ่มที่อ่อนแอกว่า !
แม้ซูเฉินจะสังหารวานรยักษ์เหล็กกล้าไปได้ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนสายตาที่คนอื่น ๆ มองกลุ่มที่มีแต่คนไร้สายเลือดได้ ตัวพวกเขาเองก็เช่นกัน
ดังนั้นกลุ่มพิสุทธิ์จึงหมายมั่นว่าจะค้นสมุนไพรเป็นหลัก
พวกเขาเดินทางลัดเลาะทั่วทั้งหุบเขา หลบเลี่ยงสถาที่ที่มีอสูรร้ายเดินเตร่ให้มากที่สุด มุ่งหน้าเดินทางไปยังจุดที่ผู้คนไม่สนใจ ไม่ปล่อยให้สมุนไพรยาใดหลุดรอดสายตาไปได้แม้สักต้นเดียว
ดังนั้นกลุ่มพิสุทธิ์จึงเก็บทรัพยากรที่เป็นสมุนไพรยาได้มูลค่ามากกว่าทรัพยากรที่ได้จากการต่อสู้
ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นประโยชน์กับซูเฉินที่สุด สมุนไพรหลาย ๆ ตัวที่คนในกลุ่มหามาได้ เขาก็จะซื้อมันมาในทันที
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังซื้อสมุนไพรจากกลุ่มอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน เพราะซื้อของที่นี่ราคาถูกกว่าซื้อในตลาดมาก
สมุนไพรร้อยวิญญาณกิ่งเดียวกัน แต่ขายที่ร้านยาได้ราคาหินพลังต้นกำเนิด 5 ก้อน ร้านขายให้คนอื่น ๆ ในราคา 10 ก้อน แต่หากซื้อที่นี่จะหาซื้อได้ในราคา 4 ก้อนเท่านั้น เป็นเพราะไม่ต้องเดินทางไปขายของไกลถึงเมืองฉางผานแล้วนั่นเอง
ในขณะที่เขาซื้อสมุนไพรมามากมาย ซูเฉินเองก็ขายยาออกไปด้วยเช่นกัน
ในสถานที่เช่นนี้เกิดการต่อสู้อยู่เสมอ ดังนั้นทุก ๆ วันจึงมีเหล่าศิษย์และอสูรร้ายปะทะกันนับครั้งไม่ถ้วน
ศิษย์บางคนใช้ยารักษาแผลจนหมดแล้ว มีทางเลือกเดียวคือต้องเดินทางกลับไป เว้นเสียแต่จะแวะเติมเสบียงจึงจะสามารถเดินทางต่อไปได้
และด้วยเหตุนี้ ยาที่ปกติในเมืองขายกันขวดละหินพลังต้นกำเนิด 100 ก้อนก็จะขายที่นี่ได้ในราคา 120 ก้อน
ซูเฉินทำการค้าเช่นนี้จนได้กำไรมามาก อีกทั้งยังขายออกได้เรื่อย ๆ คนในกลุ่มพิสุทธิ์เห็นแล้วก็ริษยานัก บางคนก็คิดอยากเป็นนักปรุงยาเช่นเขาบ้าง
แต่เมื่อรู้ว่าซูเฉินใช้เงินลงทุนไปกับตัวยามากมายเท่าไรใน 4 ปีที่ผ่านมาก็พากันล้มเลิกความคิดกันไปหมด
หินพลังต้นกำเนิด 600,000 ก้อน !
อารามนิรันดร์มอบวัตถุดิบทำยามีมูลค่าเทียบเท่าหินพลังต้นกำเนิด 150,000 ก้อนในทุก ๆ ปีให้เขาเป็นเวลาถึง 4 ปีติดต่อกันก่อนที่ซูเฉินจะฝึกฝนมาถึงขั้นนี้ได้ อีกทั้งจำนวนนี้ยังไม่ได้นับรวมกับเงินที่เขาจ่ายไปเองด้วยซ้ำ
แท้จริงแล้วเหตุผลหนึ่งที่ซูเฉินต้องการเดินทางมายังเขาอินทรีโรยก็เป็นเพราะเขาเงินหมดแล้วนั่นเอง
การทำวิจัยเป็นสิ่งที่ใช้ต้นทุนสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปรุงยาหรือการวิจัยเรื่องอื่น ๆ ก็จำเป็นต้องใช้เงินมากมายทั้งสิ้น
ความช่วยเหลือของอารามนิรันดร์เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ทำให้เขาต้องหาทุนที่เหลือด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจึงเงินขาดมือมาก
บางคนอาจจะคิดว่ามันแปลกนัก ซูเฉินปรุงยาได้ไม่ใช่หรือ ? ก็ปรุงยาขายเสียสี
มันก็จริง
แต่การปรุงยาก็เหมือนกับการฝึกทักษะต้นกำเนิด หากปรุงแต่ยาที่ทำจนชำนาญแล้วก็จะไม่ทำให้เก่งกาจด้านการปรุงยาเพิ่มขึ้นเลย
และหากเด็กหนุ่มต้องการยกระดับความชำนาญในการปรุงยาของตนเองให้เร็วขึ้น เขาก็ต้องคอยฝึกปรุงยาที่ยังไม่ชำนาญอยู่เรื่อย ๆ
และแน่นอนว่าเมื่อต้องฝึกปรุงยาที่ไม่ชำนาญ ย่อมต้องมีโอกาสล้มเหลวสูงกว่าปกติ
หากมียาตัวไหนที่เขาปรุงจนชำนาญ ทำกี่ครั้งสำเร็จทุกครั้งแล้ว หากคิดปรุงยานั่นต่อไปก็จะไม่ทำให้ฝีมือการปรุงยาเขาแข็งแกร่งขึ้นแต่อย่างใด
หลักการนี้ไม่ได้ใช้ได้กับเรื่องการปรุงยาเพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมเกือบจะทุกสิ่งอย่างเลยทีเดียว
หากทำแต่สิ่งที่ชำนาญเพียงอย่างเดียวก็เหมือนกับย่ำอยู่กับที่
วิชาปรุงยาของซูเฉินในตอนนี้นับว่าเป็นนักปรุงยาระดับฝึกหัดขั้นสูงได้แล้ว
ที่เขาสามารถทำเช่นนี้ได้ภายในเวลา 4 ปีเป็นเพราะทันทีที่ปรุงยาชนิดหนึ่งจนชำนาญแล้วก็ลงมือค้นคว้าฝึกฝนปรุงยาชนิดใหม่ทันที
ทำให้ทั้งความเร็วและความก้าวหน้าในด้านการปรุงยาของเขาสูงมาก
แต่กลับมายังเรื่องสำคัญกันก่อน
กลุ่มพิสุทธิ์อยู่บนหุบเขาพันเถ้ามาแล้ว 10 วัน
ภายในเวลา 10 วันนี้ ซูเฉินขายยาไปจำนวนมาก และได้สมุนไพรยามาจำนวนมากมาเช่นกัน
และก็เป็นเช่นครั้งก่อน ๆ หลังจากค้นหาสมุนไพรกันมาทั้งวัน กลุ่มพิสุทธิ์ก็กลับมายังศิลาส่องกลับ
ศิลาส่องกลับคือหินขนาดใหญ่ราว 300 จั้ง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหุบเขาพันเถ้า พื้นหินเรียบลื่นมันวาว ไปยืนจ้องแล้วจะเห็นใบหน้าตนเอง จึงไม่แปลกที่มันจะมีชื่อว่าศิลาส่องกลับ
และเพราะลักษณะที่โดดเด่นเช่นนี้จึงกลายเป็นสถานที่นัดพบสำหรับศิษย์สถาบันหลาย ๆ คนไป
ในทุก ๆ วันจะมีกลุ่มศิษย์หลายกลุ่มมารวมตัวกันทำการขายของและแลกของที่อีกฝ่ายขาดแคลนกันที่นี่
ตอนนี้ใกล้จะพลบค่ำแล้ว หลาย ๆ คนก็ทำภารกิจเสร็จลุล่วงเรียบร้อย ดังนั้นศิลาส่องกลับจึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย
ศิษย์ทั้งหลายต่างพากันมารวมตัวอยู่ที่ศิลาขนาดยักษ์
ศิษย์จากหลายกลุ่มสนทนากัน ทำให้ทั่วพื้นที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ เสียงพ่อค้าตะโกนขายของดังให้ได้ยินชัดเจน
“แก่นผลบริสุทธิ์สด ๆ วัตถุดิบทำยาชั้นดี ราคาเพียงหินพลังต้นกำเนิด 100 ก้อนเท่านั้น !”
“เกล็ดคอของอสูรเกล็ดม่วง ราคาเกล็ดละหินพลังต้นกำเนิด 30 ก้อน”
“ใครมียาถอนพิษหรือไม่ ? ข้าต้องการยาถอนพิษแมงมุมกาฬโรค !”
“อุ้งตีนหรือหนังหมีผืนพิภพมีประโยชน์หรือไม่ ?”
“……”
ที่ศิลาส่องกลับนั้นเป็นดั่งตลาดเสียงดังจอแจ เต็มไปด้วยเสียงร้องตะโกนของเหล่าศิษย์ทั้งหลายเต็มไปหมด
ซูเฉินและคนอื่น ๆ เดินฝ่าฝูงคน มองสินค้าทั้งหลายและมองหาของที่ตนต้องการ ในเวลาเดียวกันนั้นก็ขายของที่ไม่ต้องการออกไปด้วย
ซูเฉินเดินผ่านไปเรื่อย ๆ ก่อนพบร้านขายของร้านหนึ่งที่เข้าตา
เจ้าของร้านเป็นศิษย์ร่างใหญ่ผิวเข้มหน้าตาดูดุร้ายคนหนึ่ง เมื่อเห็นซูเฉินเดินตรงเข้ามาก็เอ่ยเสียงอู้อี้เสียงต่ำขึ้น “มีของที่ต้องการหรือไม่ ?”
เด็กหนุ่มชี้โสมนางฟ้า “เจ้าขายโสมนางฟ้าเท่าไร ?”
“ราคาหินพลังต้นกำเนิด 600 ก้อน”
“แพงไป” ซูเฉินส่ายหัว
“มันเป็นโสมอายุ 30 ปีเชียวนะ !” ศิษย์ผิวเข้มตอบเสียงขุ่น
โสมนางฟ้านี้เป็นสมุนไพรยาที่ดีที่สุดที่เขาหาพบ ศิษย์ผิวเข้มจึงคาดหวังกับมันไว้มากว่าจะขายให้ได้ราคาดี
“หรือกล่าวให้ถูกต้องก็คือโสมอายุ 28 ปี อีกทั้งโสมนางฟ้าไม่ได้มีราคาสูงตามอายุ อีกทั้งโสมนางฟ้าอายุ 20 ปีมีคุณค่าทางยาเข้มข้นที่สุด หลังจากนั้นมันก็จะสูญเสียคุณค่าทางยาไป ราคาหิน 600 ก้อนนั่นเป็นราคาที่ควรเอาไปขายที่ตลาดยาเมืองฉางผาน ไม่ใช่ที่ศิลาส่องกลับ” ซูเฉินเอ่ยขึ้น
ศิษย์ผิวเข้มไม่คิดว่าซูเฉินจะรอบรู้เช่นนี้ ดังนั้นจึงชะงักไป
ซูเฉินเลือกของขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่ง
มันคือหินสีแดงจัดก้อนหนึ่ง “เท่าไร ?”
“นี่คือหินพลังต้นกำเนิดประเภทไฟ ขายในราคาหินพลังต้นกำเนิด 10 ก้อน” ศิษย์ผิวเข้มตอบ
ซูเฉินส่ายหน้าอีก “มันเป็นเพียงหินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำประเภทไฟเท่านั้น แต่เจ้าคิดจะขายมันในราคาหินพลังต้นกำเนิด 10 ก้อนเลยหรือ ? ปล้นกันเห็น ๆ”
ศิษย์ผิวเข้มได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มไม่พอใจ “ข้าจะขายราคาหินพลังต้นกำเนิด 10 ก้อนแล้วมันอย่างไร ? เหตุใดจึงถามมากนัก ? เจ้าจะซื้อหรือไม่ซื้อกันแน่ ?”
พูดไปก็กำหมัดไปราวกับว่าหากซูเฉินไม่ซื้อก็จะต่อยสักหมัด
ซูเฉินเห็นดังนั้นก็ยักไหล่ “ก็ได้ ข้าซื้อ”
ซูเฉินไม่เอ่ยอะไรให้มากความอีก หยิบหินพลังต้นกำเนิด 10 ก้อนโยนไปให้ ก่อนจะหยิบหินพลังต้นกำเนิดประเภทไฟก้อนนั้นมาแล้วเดินจากไป
ตู้ฉิงถามด้วยความสงสัย “เจ้าซื้อมันมาทำไมหรือ ?”
ซูเฉินรอจนกระทั่งเดินออกมาห่างร้านแล้วจึงตอบ “นี่ไม่ใช่หินพลังต้นกำเนิดประเภทไฟหรอก มันคือผลึกเพลิง”
ผลึกเพลิง ?
ตู้ฉิงชะงักไป
หินพลังต้นกำเนิดประเภทไฟเป็นเพียงหินพลังต้นกำเนิดที่อัดพลังต้นกำเนิดประเภทไฟไว้ภายใน หินเช่นนี้นับว่าหาไม่ได้ทั่วไป สร้างเองได้ยาก ดังนั้นจึงมีราคาสูงกว่าหินพลังต้นกำเนิดปกติมาก แต่ก็ไม่นับว่าเป็นของวิเศษอะไร
ทว่าผลึกเพลิงนั้นแตกต่าง มันเป็นก้อนผลึกที่ทำมาจากพลังต้นกำเนิดประเภทไฟบริสุทธิ์ พลังต้นกำเนิดที่บรรจุอยู่ภายในจะสามารถเพิ่มพื้นฐานการบ่มเพาะพลังของผู้ใช้ได้โดยตรง เทียบกับหินพลังต้นกำเนิดประเภทไฟธรรมดาแล้วนับว่าอยู่ห่างกันคนละชั้น !
ซูเฉินหยิบมีดเล็กออกมา เฉือนผิวนอกมันออก เนื้อปลึกใสแจ๋ว มองเห็นสสารสีแดงอยู่ภายในได้อย่างชัดเจน แน่นอนว่ามันคือผลึกเพลิงที่ปะปนมากับกองหินพลังต้นกำเนิดธรรมดา ๆ
แค่ผลึกเพลิงชิ้นเดียวก็มีมูลค่าเท่ากับหินพลังต้นกำเนิด 300 ก้อนแล้ว
ไม่มีใครคิดว่าซูเฉินเพียงเมียงมองผ่าน ๆ ก็พบของดีเข้าเสียแล้ว ทุกคนต่างรู้สึกอิจฉาเขาอยู่ภายใน
ซูเฉินไม่สนใจมากนัก สำหรับเขาแล้ว แม้จะได้มันมาในราคาถูก แต่ก็ถูกลงไม่เท่าไร เขาชินชากับการใช้เงินจำนวนมากแล้ว ดังนั้นเงินแค่นี้ไม่นับว่าเป็นอะไร
ที่เขาซื้อผลึกเพลิงมาเป็นเพราะเขาต้องการมันต่างหาก
แต่คนอื่น ๆ กลับไม่คิดเช่นนั้น
สำหรับคนส่วนมากแล้ว หินพลังต้นกำเนิดเพียงไม่กี่ร้อยก้อนนั้นนับว่ามีราคาสูงยิ่งกว่าอะไร
ภายในใจกำลังคิดอิจฉาซูเฉินอยู่นั่นเอง สายตาก็เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาพวกตน
เป็นจางเซิ่งอันและคนอื่น ๆ นั่นเอง