ตอนที่ 12 - 3 มรสุมขวางทะเลรัก

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

หลังจากเฟยหลัวถูกกงอิ้นลากออกมา นางก็ยกเลิกแผนการปล่อยสัตว์ประหลาดใต้สระโคลนโดยพลันเพื่อไม่ให้ถูกเปิดโปง เปลี่ยนเป็นฉวยโอกาสมอมเมาเหอหว่านด้วยตนเอง ให้เหอหว่านลงมือสังหารยงซีเจิ้งเอง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับนางแม้เพียงน้อย 

 

 

ทว่าจิ่งเหิงปัวกลับไม่ทำตามแผนการของนาง กระทำการเปิดกับดักเช่นเดิม เหอหว่านทำร้ายยงซีเจิ้งจนบาดเจ็บ ตนเองไม่เป็นไร ประเดี๋ยวเหอหว่านได้สติคืนมา นางจะยอมปล่อยเฟยหลัวไปได้อย่างไร? 

 

 

เหยียลี่ว์ฉีลังเลเล็กน้อย…หากเขาไม่อยู่ด้วย เกรงว่าเฟยหลัวคงต้องโชคร้าย ทว่าหากเขาไม่ตามไปมองดูจิ่งเหิงปัว เขาก็รู้สึกไม่วางใจเช่นกัน 

 

 

ทว่าความลังเลนี้เป็นเพียงพริบตาหนึ่ง จากนั้นเรือนร่างของเขาก็กะพริบวูบ ไล่ตามองครักษ์ที่พาจิ่งเหิงปัวเหล่านั้นไปแล้ว 

 

 

… 

 

 

ยามนี้ทุกคนกำลังใช้แววตาหวาดกลัวและรังเกียจ มองดูสิ่งของบนพื้นนั่น 

 

 

สีดำเทา เกล็ดเล็กกระจ้อยทั่วร่าง หัวเล็กท้องใหญ่ คล้ายงูทว่าไม่ใช่งู บนศีรษะมีต่อมน้อยกลมดิก ดูท่าทางคล้ายเขาแหลมที่ยังไม่ได้โผล่ออกมา 

 

 

“สิ่งนี้คล้ายเป็นเฮยชือจากลุ่มน้ำเฮยสุ่ยนะ!” พอมีคนมองเห็น เขาก็อุทานออกมาแผ่วเบาอย่างตื่นตะลึงว่า “โอ้สวรรค์ ของสิ่งนี้ปรากฏข้างใต้สระนี้ได้อย่างไร!” 

 

 

“เป็นของสิ่งนี้! หนึ่งในสัตว์มีพิษสามชนิดที่น่ากลัวที่สุดในลุ่มน้ำเฮยสุ่ย! พิษของเฮยชือเป็นพิษร้ายลำดับต้นของโลกหล้า เพียงแต่เล่ากันว่าหากถูกหมอกพิษแล้วรอดชีวิต ภายหลังย่อมเกิดความสามารถในการต่อต้านพิษเฮยชือ ความอันตรายของลุ่มน้ำเฮยสุ่ยที่น่ากลัวที่สุดในต้าฮวงต่อคนผู้นั้นย่อมลดลงไปมากนัก ทว่าของสิ่งนี้ไม่ชื่นชอบโคลนหอมจากบึงโคลนหอมเป็นที่สุดไม่ใช่หรือ? ยามนั้นจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นพระราชทานสถานที่ซึ่งมีโคลนหอมแก่กษัตริย์แคว้นเซียงพระองค์แรก นั่นด้วยเพราะกษัตริย์แคว้นเซียงพระองค์แรกเคยถูกเฮยชือในบึงโคลนเฮยสุ่ยทำร้าย อาการบาดเจ็บรักษาไม่หายนานหลายปี ส่วนยาเม็ดที่กลั่นออกมาจากโคลนหอมของบึงโคลนหอมรักษาอาการบาดเจ็บเช่นนี้ได้ดีเป็นที่สุด ฉะนั้นจึงให้นางพักผ่อนใกล้เขตปกครองตนเอง เอ่ยตามจริงแล้วเฮยชือไม่ควรปรากฏในสระโคลนหอมสิ” 

 

 

“ฉะนั้นเฮยชือตัวนี้ถูกขังไว้ที่นี่ เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าฤทธิ์เดชของเฮยชือตัวนี้มิได้ยิ่งใหญ่ดั่งตำนานเล่าขาน ซ้ำยังกระสับกระส่ายยิ่งนักด้วย? เมื่อครู่องครักษ์เอ่ยว่าข้างล่างมีโพรงไม่ใช่หรือ? เฮยชือตัวนี้คงต้องถูกขังไว้ในโพรงข้างล่างสระโคลนมานานหลายวันแล้ว ถูกโคลนหอมของบึงโคลนหอมยับยั้งฤทธิ์เดช ยามฤทธิ์เดชลดลงเป็นอย่างยิ่งจึงคลุ้มคลั่งมาก ชิชะ ข้างล่างบึงโคลนหอมมีเฮยชือตัวหนึ่งถูกกักขังไว้ แน่ใจว่าของสิ่งนี้จะไม่ก่อความวุ่นวายล่วงหน้า ไม่อาจก่อเกิดภัยคุกคามมากนักต่อคนที่เหลืออยู่ ทว่ายังเพียงพอจะทำร้ายเสนายงกับองค์หญิงจนสิ้นชีพ…ผู้ใดกันที่มีความคิดโหดร้ายเลิศล้ำขนาดนี้!” 

 

 

“ช้าก่อน ของสิ่งนี้ถูกปล่อยออกมาได้อย่างไรกันแน่? ข้างใต้สระโคลนก็เคยถูกตรวจสอบแล้ว โพรงมาได้อย่างไร” 

 

 

“ผู้ใดจะไปรู้เล่า ไม่เห็นหรือว่าราชครูออกคำสั่งให้ล้อมรอบสระน้ำไว้แล้ว? เห็นได้ชัดเจนว่ามือสังหารอยู่ท่ามกลางฝูงชนนั่นเอง เจ้ากับข้าถอยห่างมาหน่อย ระวังจะโดนหางเลขไปด้วย…” 

 

 

… 

 

 

เหอหว่านที่ถูกจี้อีฝานอุ้มขึ้นฝั่ง สายตาฟื้นคืนความแจ่มชัดเพียงชั่วครู่แล้วกลายเป็นความงงงวยอีกครั้ง 

 

 

พอนางขึ้นฝั่งแล้ว เฟยหลัวก็พลันรีบพุ่งเข้ามา เอ่ยอย่างร้อนรนว่า “เกิดเรื่องใดขึ้น? เกิดเรื่องใดขึ้น?” พลางเอื้อมมือมาจับชีพจรของเหอหว่าน 

 

 

ฟิ้ว! ข้อมือของนางถูกลมจากนิ้วสายหนึ่งผลักออก 

 

 

หลังจากลมจากนิ้วสายหนึ่งผลักข้อมือของนางออกแล้ว ราวกับไม่ได้หายไปโดยพลัน พุ่งสู่ข้างบนอย่างแปลกประหลาด โจมตีหว่างคิ้วของเหอหว่าน 

 

 

ไอควันที่แทบจะมองเห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่าค่อยๆ กำจายออกมาจากหว่างคิ้วของเหอหว่าน เหอหว่านสั่นสะท้านทั่วร่าง สายตาค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น 

 

 

เฟยหลัวหน้าเปลี่ยนสี หันหน้ากลับมามองดูกงอิ้นผู้ลงมือ 

 

 

กงอิ้นยืนอยู่ข้างสระ ไม่มองนางสักปราดเดียวด้วยซ้ำ 

 

 

“องค์หญิง” เขาเอ่ยว่า “พระองค์น่าจะทรงครุ่นคิดเหตุและผลจนเข้าพระทัยแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองภายในแคว้นเซียงของพระองค์ กระหม่อมจะไม่ข้องเกี่ยว ควรกระทำอย่างไร ควรอยู่รอดหรือควรสิ้นชีพ ควรก้าวต่อไปหรือควรถอยหลัง ทรงไตร่ตรองด้วยพระองค์เองเถิด” 

 

 

เหอหว่านสั่นสะท้านอีกครั้ง หันหน้ามองดูกษัตริย์แคว้นเซียงที่ล้มลงบนพื้น 

 

 

“เสด็จพ่อข้า…” นางเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา 

 

 

“ฝ่าบาททรงตกพระทัย น่าจะไม่เป็นอันตรายต่อพระชนม์ชีพ ทว่าเกรงว่ายากจะทรงฟื้นภายในระยะเวลาอันสั้น” 

 

 

เหล่าขุนนางแคว้นเซียงหากันส่งเสียงฮือฮาออกมา สีหน้าตกตะลึง…ฝ่าบาททรงพระประชวร ผู้สืบทอดยังเยาว์วัย ยามนี้…ภายในแคว้นไร้ซึ่งกษัตริย์แล้ว! 

 

 

ราชินีแคว้นเซียงเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ มองดูข้างหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา จากนั้นคล้ายเข้าใจเรื่องใดขึ้นมาจึงจะพุ่งไปทางจี้อีฝาน ทว่าถูกองครักษ์ของกงอิ้นขวางไว้ 

 

 

ผู้คนเกือบจำนวนหนึ่งมีสีหน้าปรวนแปร กัดฟันใคร่ครวญ ทว่ามองเห็นกงอิ้นที่ยืนตระหง่านมั่นคงดั่งขุนเขากับองครักษ์อวี้จ้าวของเขาที่มืดครึ้มดุจหิมะเช่นเดียวกันนั้น จึงจำเป็นต้องละทิ้งความปรารถนาภายในใจ แอบเกลียดชังว่าเหตุใดราชครูถึงยังอยู่ตรงนี้ 

 

 

“องค์หญิง วันนั้นกระหม่อมกราบทูลพระองค์ว่าหากทรงอยากได้สิ่งของที่พระองค์ทรงหวังครอบครอง พระองค์จะต้องทรงควบคุมโชคชะตาของพระองค์เองก่อน” กงอิ้นก้าวถอยหลังเพียงครั้ง นั่งลงบนเก้าอี้ไม้แบบโบราณที่องครักษ์ย้ายมาเสียเลย เอ่ยว่า “ทรงต้องการหรือไม่ขึ้นอยู่กับพระองค์เอง กระหม่อมอยู่ตรงนี้ ทว่าอยู่เพียงยามนี้เท่านั้น” 

 

 

จากนั้นเขาไม่เอ่ยวาจาแล้ว ทว่าพอเขานั่งอยู่ตรงนั้นย่อมไม่มีผู้ใดกล้าประชิดใกล้เข้ามาอีกแม้เพียงก้าวเดียว ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจาอีกแม้เพียงคำเดียว 

 

 

เหอหว่านเงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า 

 

 

คราบน้ำตาบนใบหน้าของแม่นางน้อยยังไม่แห้งเหือด ทว่าภายในดวงตาไม่มีน้ำตาหลงเหลืออยู่แล้ว แววตาของนางทอดลงบนใบหน้าของกงอิ้นเป็นลำดับแรก ผู้ปกครองลำดับหนึ่งของต้าฮวงไร้ซึ่งสีหน้า ท่วงท่าเฉกเช่นภูเขาหิมะตั้งตระหง่านพันหมื่นปีไม่เคยเปลี่ยนแปลง 

 

 

มองดูบุคคลที่ทำให้ผู้อื่นหนาวสะท้านคนหนึ่งเยี่ยงนี้ ในใจของเหอหว่านพวยพุ่งด้วยความรู้สึกประหลาดระลอกหนึ่ง…เยือกเย็นโดยตลอด เงียบสงบโดยตลอด ครองตำแหน่งนานหลายปี พบเจอการล้มล้างการปกครองราชสำนักและชนเผ่าก่อกบฏนับครั้งมิถ้วน อีกทั้งเมื่อไม่นานมานี้ยังเผชิญหน้าการต่อต้านเกือบครึ่งราชสำนัก ทว่ามิเคยแพ้พ่าย บุรุษที่ควบคุมอำนาจอยู่ในมืออย่างแน่นหนาตั้งแต่ไหนแต่ไรมาผู้นี้ บุรุษที่ดูท่าทางแทบจะไม่มีจุดอ่อนผู้นี้ เขาเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรกเริ่มใช่หรือไม่? 

 

 

ไม่ใช่ ไม่มีผู้ใดเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม 

 

 

บัลลังก์แห่งอำนาจเหล่านั้นชุ่มโชกไปด้วยฝนโลหิตแห่งการบ่อนทำลายกัน ทุกชุ่นทั่วทั้งบัลลังก์ซึมซับวิญญาณของผู้พ่ายแพ้ไว้เต็มเปี่ยม 

 

 

ท่ามกลางความเลือนราง นึกถึงวาจาที่เขาเอ่ยกับตนเองภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ก่อนหน้านี้ 

 

 

‘เกิดในราชวงศ์ ไร้ซึ่งเรื่องส่วนบุคคล เกิดในราชวงศ์ ความรักเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย หากทรงอยากครอบครองมันไว้ พระองค์อาจต้องทรงจ่ายค่าตอบแทนที่มากยิ่งกว่าที่พระองค์ทรงจินตนาการ ไม่เพียงแต่พระองค์เอง อาจจะรวมทั้งพระญาติของพระองค์ ชั่วพระชนม์ชีพของพระองค์ พระองค์ทรงคิดดีแล้วหรือ?’ 

 

 

ยามนั้นนางไม่เข้าใจ ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน เกี่ยวข้องอะไรกับผู้อื่นด้วย? ยามนี้โลหิตแดงฉานครึ่งสระนี้กับพระบิดาที่นอนอยู่ตรงนั้นสอนให้นางเข้าใจในที่สุด 

 

 

เกิดในราชวงศ์ ความรักการสมรสเป็นเพียงเครื่องมือแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เป็นอาวุธที่ชนชั้นสูงใช้เพื่อวางกลอุบาย หากหวังจะหลุดพ้น ตนเองไม่บาดเจ็บ ผู้อื่นย่อมต้องบาดเจ็บ 

 

 

แต่ก่อนนางถูกปกป้องอย่างดีเหลือเกิน วันนี้ราชครูใช้เหตุการณ์หลั่งโลหิตครั้งหนึ่งนี้ทำให้นางเข้าใจ 

 

 

เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว มีเพียงต้องก้าวต่อไป ราชครูเอ่ยแล้วว่าจะช่วยนางเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว 

 

 

นางชี้ไปยังเฟยหลัวโดยพลัน ตะคอกบอกเหล่าองครักษ์วังหลวงว่า “จับนางไว้!” 

 

 

เหล่าองครักษ์วังหลวงชะงักงัน ทุกผู้คนต่างชะงักงัน ทว่าจากนั้นเหล่าองครักษ์วังหลวงพุ่งไปทางเฟยหลัว 

 

 

“หยุดนะ!” เฟยหลัวถอยหลังก้าวหนึ่ง ตวาดว่า “องค์หญิง! พระองค์ทรงทำอะไร! ทรงอาศัยสิ่งใดมาจัดการหม่อมฉันเช่นนี้! พระองค์ทรงมีสิทธิ์อะไรมาจัดการหม่อมฉัน? หม่อมฉันเป็นเสนาหญิงแคว้นเซียง!” 

 

 

“อาศัยเรื่องที่เจ้าจัดการข้า!” เหอหว่านไม่ยอมถอยแม้เพียงก้าวเดียว เอ่ยว่า “อาศัยเรื่องที่เจ้าใช้วิธีการสกปรกกับฝักมีดของข้า เปลี่ยนเป็นฝักมีดที่มีมีดอยู่ภายในนั้น ซ้ำยังใช้ศาสตร์การควบคุมจิตใจมอมเมาจิตใจของข้า หลอกล่อให้ข้าลงมือชักมีด!” 

 

 

“หลักฐานอยู่ที่ใด!” 

 

 

“วาจาของข้าก็คือหลักฐาน! ข้ากับเจ้าไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้น เหตุใดข้าต้องใส่ร้ายเจ้าด้วย?” 

 

 

“หม่อมฉันกับองค์หญิงไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นเช่นเดียวกัน เหตุใดหม่อมฉันต้องลอบทำร้ายพระองค์ด้วย?” 

 

 

“ด้วยเพราะเจ้าหวังให้ข้าสังหารเสนายง!” 

 

 

“เช่นนั้นเมื่อครู่นี้องค์หญิงทรงคิดจะสังหารเสนายงหรือ?” มุมปากของเฟยหลัวยิ้มแย้มเย็นชา 

 

 

“แน่นอนว่าไม่ใช่!” เหอหว่านพลันนึกถึงเสียงตะโกนลั่นก่อนหน้านี้ของจิ่งเหิงปัว เอ่ยอย่างทระนงองอาจว่า “ยามข้าหวังสะบั้นมีด ถูกเฮยชือทำให้ตกใจจนฟื้นคืนสติ มีดหนึ่งนั้นคิดสังหารเฮยชือเพื่อเสนายงเช่นกัน ผลสุดท้ายข้าไม่แตกฉานวิชาวรยุทธ์ พลาดพลั้งทำให้เสนายงได้รับบาดเจ็บเท่านั้น!” 

 

 

“หม่อมฉันยังคงเอ่ยวาจาเช่นเดิมนั้น องค์หญิงทรงกล่าวหาหม่อมฉัน หลักฐานอยู่ที่ใด?” 

 

 

“ข้าเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บ วาจาของข้าย่อมเป็นหลักฐาน!” 

 

 

“เหตุใดองค์หญิงไม่ทรงสอบสวนว่าผู้ใดเปิดกับดักปล่อยเฮยชือออกมา?” เฟยหลัวยิ้มเยาะ เอ่ยว่า “หรือว่าองค์หญิงทรงรู้แน่ชัดว่าคนผู้นั้นคือใคร ตั้งพระทัยปกป้อง ถึงได้ทรงพยายามเบี่ยงเบนเป้าหมาย โยนความผิดให้หม่อมฉัน?” 

 

 

เหอหว่านหายใจไม่ทั่วท้องโดยพลัน 

 

 

นางสะกดกลั้นท่าทางอยากหันหน้ามองจี้อีฝานไว้ กัดริมฝีปากไม่เอ่ยวาจา 

 

 

ผู้อื่นไม่แน่ใจเรื่องเริ่มกับดักก่อนหน้านี้ ทว่านางที่อยู่กลางสระได้ยินแล้ว น่าจะเป็นก้าวที่สามยามจี้อีฝานเคลื่อนย้ายเหยียบโดนกับดักเข้า ช่องโพรงเปิดออกถึงปล่อยเฮยชือออกมาได้ 

 

 

นางได้ยินรำไร ยงซีเจิ้งที่อยู่ใกล้จี้อีฝานมากกว่าน่าจะได้ยินชัดเจนมากขึ้น นางมองยงซีเจิ้งปราดหนึ่ง เขาเปรอะเปื้อนโลหิตครึ่งร่าง กำลังพันแผล หลุบขนตาลงต่ำ ไม่เอ่ยวาจาแม้เพียงคำเดียว 

 

 

เหอหว่านว้าวุ่นใจยิ่งนัก กัดฟันกรอดเอ่ยว่า “ไม่เพียงต้องสืบสวนให้ชัดเจนว่าผู้เริ่มกับดักคือผู้ใด? ซ้ำยังต้องสืบสวนให้กระจ่างแจ้งว่าผู้ใดใช้วิธีการสกปรกปล่อยเฮยชือใต้สระโคลน!” 

 

 

“พระองค์ตรัสว่าผู้ใดย่อมเป็นผู้นั้นหรือ? พระองค์ทรงนึกว่าพระองค์คือใครกัน?” 

 

 

เหอหว่านพลันหันหลัง หมอบกราบเบื้องหน้าเก้าอี้ของกงอิ้น 

 

 

“พระธิดาในกษัตริย์แคว้นเซียงนามเหอหว่าน ขอร้องต่อท่านราชครูผู้ปราดเปรื่อง ณ ที่นี้” นางเอ่ยด้วยเสียงกังวานว่า “งานเลี้ยงเกิดความเปลี่ยนแปลง กษัตริย์ทรงพระประชวรพระวาโย ราชินีทรงอ่อนแอ ซื่อจื่อยังเยาว์วัย ท้องนภาไม่อาจไร้ดวงอาทิตย์ แว่นแคว้นไม่อาจไร้กษัตริย์ หากไร้ผู้แบกรับภาระศักดิ์สิทธิ์ ราชวงศ์ย่อมจะทรุดโทรมล่มสลาย เหอหว่านบังอาจขอร้องด้วยฐานะพระธิดาองค์โตแห่งราชวงศ์ผู้มีอายุเหมาะสมและยังมิได้สมรส ปฏิบัติราชกิจของแว่นแคว้นและวังหลวงชั่วคราวระหว่างยามที่เสด็จพ่อยังทรงพระประชวร รวมทั้งก่อนซื่อจื่อจะเติบโต…” 

 

 

นางยังไม่ทันได้เอ่ยวาจาจนสิ้น เหล่าขุนนางแคว้นเซียงพลันระเบิดเสียงฮือฮาออกมากลบกลืนวาจาถัดไปของนางแล้ว 

 

 

“ไม่!” ราชินีแคว้นเซียงฟื้นคืนสติจนได้ เปล่งเสียงกรีดร้องแหลมคมเสียงหนึ่งออกมา เอื้อมมือพุ่งเข้าไป ร้องว่า “ไม่! ราชบัลลังก์เป็นของติ้งเอ๋อร์! เป็นของติ้งเอ๋อร์เท่านั้น! เจ้าเป็นเพียงองค์หญิง เจ้าไม่มีคุณสมบัติแย่งชิงอำนาจทางการเมือง!” 

 

 

นางถูกองครักษ์ของกงอิ้นขวางไว้ นางรีบร้องว่า “ราชองครักษ์!” 

 

 

ราชองครักษ์จะขยับเขยื้อน เหอหว่านตะคอกด้วยว่า “ห้ามขยับ!” 

 

 

ราชองครักษ์ขวางอยู่ตรงกลางระหว่างสตรีสองนาง มองหน้ากันไปมา ลำบากใจทั้งซ้ายทั้งขวา 

 

 

“อีฝาน! อีฝาน!” ราชินีแคว้นเซียงรีบตะโกนเรียกน้องชายของนาง เอ่ยว่า “องค์หญิงสติฟั่นเฟือนแล้ว เอ่ยวาจาพิกลพิการมีความผิดใหญ่หลวง เจ้าไปตักเตือนนาง! นางต้องเชื่อฟังเจ้าเป็นแน่! เจ้าไป! เจ้าไปสิ!” 

 

 

จี้อีฝานยิ้มเจื่อน…แต่ก่อนใช้วิธีการร้อยแปดพันเก้าขวางไว้ไม่ให้เขาติดต่อกับองค์หญิง ทว่ายามนี้ให้เขาไปตักเตือนเองแล้ว 

 

 

เขาเพิ่งคิดจะเคลื่อนย้ายฝีเท้า เหอหว่านที่อยู่ทางนั้นหันกายอย่างเด็ดเดี่ยวแล้ว 

 

 

ท่วงท่าเงาด้านหลังของนางเต็มไปด้วยคำว่าปฏิเสธ 

 

 

จี้อีฝานหยุดยั้งฝีเท้า มองดูเงาด้านหลังของเหอหว่าน ในใจเต็มไปด้วยรสชาติขมฝาด ท่ามกลางความเลือนรางรู้สึกว่าไม่รู้ตั้งแต่ยามใด แม่นางน้อยที่งดงามปราดเปรียวไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องราวทางโลกนางนั้นพลันกลายเป็นคนแปลกหน้าภายในค่ำคืนเดียว 

 

 

“พระอาการประชวรของกษัตริย์ยังไม่แน่ชัด องค์หญิงจักทรงวางแผนแย่งชิงอำนาจทางการเมืองยามนี้ได้อย่างไร!” เฟยหลัวตะคอกว่า “นึกว่าราชสำนักนี้ไร้ขุนนาง แว่นแคว้นนี้ไร้ราษฎรจริงหรือ? องครักษ์…” 

 

 

“เสนาหญิง!” ผู้พลันเปล่งเสียงออกมาคือยงซีเจิ้ง เขากำลังถูกประคองขึ้นมา ใบหน้าไร้ซึ่งสีโลหิต ทว่ายืนหยัดเดินมายังข้างกายเหอหว่านอย่างเชื่องช้า เอ่ยว่า “เจ้าถูกฝ่าบาทถอดถอนออกจากตำแหน่งเสนาหญิงชั่วคราว ทบทวนความผิดอยู่ในจวน ตนเองมีความผิดติดกาย มีคุณสมบัติใดมาตะโกนก้องทั่วพระราชวัง หมิ่นพระเกียรติองค์หญิง!” 

 

 

เขามีสีหน้าขาวซีดทว่าน้ำเสียงดุร้ายเด็ดเดี่ยว เฟยหลัวกัดฟันอย่างเกลียดชัง…นางกำลังถูกลงโทษให้ทบทวนตนเองด้วยเพราะสูญเสียความโปรดปรานเบื้องหน้ากษัตริย์เฒ่า จำเป็นต้องเดินทางไปตี้เกอเพื่อแสวงหาพันธมิตร แต่เดิมนึกว่าเรื่องนี้เป็นการลงโทษส่วนตนของกษัตริย์เฒ่า ไร้ผู้รู้เรื่องราว ผู้ใดจะรู้ว่ายงซีเจิ้งรู้เรื่องเข้า! 

 

 

เหอหว่านมองดูเงาด้านหลังของยงซีเจิ้งที่อยู่ตรงหน้า อาภรณ์ของเขาเปรอะเปื้อนโลหิต ทว่าปกป้องนางไม่ยอมถอยแม้เพียงก้าวเดียว 

 

 

ขนตาของนางพลันปกคลุมด้วยแสงธารเบาบาง 

 

 

สองเสนาบดีคุมเชิงกัน พอเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตนเอง ต่างคนต่างไม่ยอมถอยไม่ยอมแพ้ 

 

 

จนถึงบัดนี้ยังไม่มีผู้ใดสนใจกษัตริย์ที่นอนอยู่บนพื้น 

 

 

กงอิ้นพลันเอ่ยปาก 

 

 

“เปิ่นจั้วยังไม่ทันได้เอ่ยวาจา พวกเจ้าโต้เถียงเรื่องใดกัน?” 

 

 

เสียงของเขาไม่เจือด้วยอารมณ์แม้เพียงน้อย ทุกคนพลันเคร่งขรึมไม่กล้าเอ่ยวาจา 

 

 

ผู้มีอำนาจในการเอ่ยวาจามากที่สุด ณ ที่แห่งนี้ ผู้นั้นยังคงเป็นเขา 

 

 

แม้เขาเอ่ยเต็มปากเต็มคำว่าไม่ก้าวก่ายการเมืองภายในแคว้นเซียง ทว่าวาจาทุกประโยคของเขามีน้ำหนักยิ่งนัก ด้วยเพราะเพียงออกเดินทาง อวี้จ้าวหลงฉีนับหมื่นย่อมรอรับคำสั่งอยู่ตรงชายแดนแคว้นเซียง มุ่งหน้าถึงฉงอานได้ภายในหนึ่งชั่วยาม นอกจากกษัตริย์แคว้นเซียงแล้ว ไม่มีผู้ใดระดมพลกองทัพมาต่อต้านกงอิ้นในยามนี้ได้ 

 

 

“ท้องนภาไม่อาจมีอาทิตย์สองดวง แว่นแคว้นไม่อาจไร้กษัตริย์” เขายังคงเอ่ยวาจาเรียบง่ายขนาดนั้น เอ่ยสืบต่อว่า “เปิ่นจั้วกลับตี้เกอแล้วจะกราบทูลเชิญราชินีทรงใช้อำนาจแห่งผู้ปกครองแต่งตั้งองค์หญิงเหอหว่านเป็นองค์หญิงใหญ่ผู้ปกป้องแคว้นเซียง ปฏิบัติราชกิจทดแทนระหว่างกษัตริย์ทรงพระประชวร แน่นอนว่าองค์หญิงยังทรงพระเยาว์ ราชการแผ่นดินทุกเรื่องย่อมต้องกำหนดให้ขุนนางสำคัญคอยถวายความช่วยเหลือ ไม่อาจตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เอง ส่วนการคัดเลือกขุนนางสำคัญเป็นเรื่องการเมืองภายในแคว้นเซียง เปิ่นจั้วไม่อาจแทรกแซง องค์หญิงทรงตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เอง”