ตอนที่ 153.1 อวิ๋นซานสารภาพ กับ ฉังชวนประสบภัยพิบัติ (1)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

พอคิดถึงตรงนี้ เกาจ๋างสื่อตื่นตระหนกจนเหงื่อท่วมตัว แต่ก็ห้ามพระชายาไม่ได้ เขาจึงพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ขอรับ” และถอยออกไปตามคำสั่ง แต่แอบหันกลับมาเงียบๆ ในช่วงที่พระชายาก้าวข้ามคานประตู เขาเกาะอยู่ตรงหน้าต่างเพื่อคอยสังเกตการณ์ไม่ให้คลาดสายตา 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเข้ามายังห้องรับแขก เฟิ่งจิ่วหลังยืนไขว้มือไว้ด้านหลัง กำลังชื่นชมภาพแขวนบนกำแพง จากนั้นก้าวเท้าไปข้างๆ โต๊ะวางกำยานและหยิบองค์พระพุทธรูปขนาดเล็กขึ้นมาจับเล่นในฝ่ามือ 

 

 

ของตกแต่งโบราณในจวนมีไม่มาก จะว่าไปก็น่าเบื่อเหมือนกัน ไม่เหมือนจวนในเชื้อพระวงศ์ท่านอื่นๆ ที่รวบรวมภาพวาด ภาพอักษรมีชื่อเสียงมากมายมาประดับ เปล่งประกายแพรวพราวรอบทิศ หากนายของจวนนั้นว่างไม่มีอะไรทำ ก็สามารถหยิบขึ้นมาเชยชมได้ 

 

 

ฮ่องเต้ไม่ใช่ว่าไม่เคยให้ ส่วนจวนฉินอ๋องก็ไม่ใช่ว่าขัดสนขนาดที่ว่าซื้อของประดับไม่ไหว ใครให้ปณิธานของนายแห่งจวนนี้ไม่อยู่ที่นี่เล่า ไม่ชื่นชอบความฉูดฉาด ทุกอย่างต้องเป็นแบบเรียบง่าย 

 

 

เครื่องประดับที่มีอยู่ไม่กี่อย่างในห้องรับแขก แอบจัดวางโดยอวิ๋นหว่านชิ่นในช่วงที่ฉินอ๋องไม่อยู่ที่จวน เพราะนางทนดูต่อไปไม่ไหว และนอกจากห้องรับแขกแล้ว ยังมีห้องโถงอีกหลายห้องก็นำเครื่องประดับไปวางเอาไว้ จนในที่สุดก็ทำให้จวนอ๋องเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้าง 

 

 

เฟิ่งจิ่วหลังได้ยินเสียงย่ำเท้า เขาหันตัวกลับไปเห็นว่าพระชายฉินมาถึงแล้ว เขาจึงแสดงความเคารพตามประเพณีของชาวจงหยวน “พระชายา” 

 

 

วันนี้ชายหนุ่มยังคงสวมชุดกระโปรงแบบเรียบง่ายตามชาวจงหยวน นอกจากดวงตาสีเขียวมรกตดุจหยกอันสวยงามคู่นั้นที่ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าเขาไม่ใช่ชาวฮั่นแล้ว นอกนั้น ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนก็มีแต่ความสง่างามและความสบายๆ ตามแบบชายหนุ่มในต้าเซวียนทุกประการ 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งตรงข้ามกับเขา สั่งให้คนยกน้ำชากลิ่นมะลิมาให้และพูดว่า “ที่ส่งของขวัญไปให้ ก็เพื่อแสดงความขอบคุณนะเจ้าคะ หากไม่ได้ใต้เท้าเฟิ่งช่วยรับหน้า เรื่องนี้คงยังไม่จบ ข้าก็คงตกอยู่ในสภาพที่กระอักระอ่วนน่าดู นี่ท่านถือสามากเกินไปหรือไม่เจ้าคะ แล้วยังส่งของขวัญมาให้ด้วยตัวเองอีก วันนี้ท่านต้องนำกลับไปนะเจ้าคะ” 

 

 

เฟิ่งจิ่วหลังตอบ “ของขวัญนี้ ไม่นับว่าเป็นของขวัญหรอก อีกไม่กี่วันข้าอาจมีเรื่องให้พระชายาช่วย ถือว่าเป็นของขวัญแทนคำขอบคุณล่วงหน้าก็แล้วกัน” เนื่องจากไม่ใช่ด้วยหน้าที่ และไม่ใช่ที่สาธารณะ น้ำเสียงที่พูดคุยกันจึงค่อนข้างผ่อนคลาย ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ใช้สรรพนามแทนตนว่ากระหม่อมหรือเวยเฉิน[1] ซึ่งทำให้เขายิ่งดูเป็นคนสบายๆ 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมีความสงสัย “ใต้เท้าเฟิ่งกำลังประสบปัญหาแก้ยากอะไรหรือ หากเป็นเรื่องที่ไม่เกินความสามารถของจวนฉินอ๋อง ข้าจะช่วย ขอให้ใต้เท้าเฟิ่งเอ่ยปากออกมาได้เลย” 

 

 

เฟิ่งจิ่วหลังยิ้มอย่างแผ่วเบา “ตอนนี้ยังไม่มีขอรับ หากถึงวันนั้นแล้วจัดการไม่ได้ ค่อยมาหาพระชายาแล้วกัน” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าเขาไม่ยอมพูดออกมาตอนนี้ นางก็ไม่บีบบังคับ จึงชวนคุยเรื่องเครื่องหอม ด้วยการถามว่า “ครานี้ท่านทูตและภริยาพึงพอใจหรือไม่เจ้าคะ” 

 

 

เฟิ่งจิ่วหลังยิ้มแย้มตาเป็นประกายและตอบว่า “พระชายาสบายใจเถิด ราชอาณาจักรของทางนี้จัดการทุกอย่างได้ดีเยี่ยม ท่านทูตและภริยาพึงพอใจมาก สำหรับเรื่องมีหนอนอยู่ในสินค้า หลังจากกลับไปยังต้าสือแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิด ท่านทั้งสองก็จะไม่พูดอะไรกับกษัตริย์ของข้า พูดถึงเรื่องนี้ ประโยคที่พระชายาพูดเมื่อตอนอยู่ในคลังของหลี่ฝานย่วนก็ถูกนะขอรับ” 

 

 

“หืม” อวิ๋นหว่านชิ่นยักคิ้วสงสัย 

 

 

“พระชายาพูดว่าความรับผิดชอบอาจไม่ใช่ของต้าเซวียนทั้งหมด แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง สินค้าถูกคนวางไข่แมลงหลังจากที่ส่งออกไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นความสะเพร่าในการคุ้มกันของทางเราเองด้วย เราต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น ท่านทูตและภริยาจึงรู้สึกว่าพวกเขามีส่วนต้องรับผิดชอบ จึงให้เรื่องราวจบลงเช่นนี้” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นซาบซึ้งมาก “ทูตแห่งต้าสือเป็นคนที่มีเหตุผลดั่งที่เขาว่าจริง” 

 

 

เฟิ่งจิ่วหลังลูบไล้ฝาถ้วยชา “แต่ข้ามีความสงสัย ท่านหญิงผู้นั้นมีความแค้นอะไรกับพระชายา นางถึงกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้ โชคดีที่วางไข่แมลงที่ยังไม่ฟัก หากวางปลาไหลเข้าไป เปิดลังสินค้าออกเมื่อถึงต้าสือ ไม่แน่ ข้างในนั้นคงเต็มไปด้วยลูกหลานปลาไหล แก่งแย่งชิงกันจนนองเลือดเป็นแน่” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นไม่อยากพูดถึงเรื่องของตนกับท่านหญิงหย่งจยา นางจึงเปลี่ยนประเด็นว่า “ใต้เท้าเฟิ่งก็พูดไป แค่ปลาไหลไม่กี่ตัว คงไม่ถึงกับลูกหลานเต็มไปหมดหรอกมั้งเจ้าคะ” 

 

 

เฟิ่งจิ่วหลังส่ายหัวและกล่าวว่า “อย่าว่าแต่ไม่กี่ตัวเลย แค่ตัวเดียว ระหว่างเดินทางกลับ ข้างในนั้นคงเพิ่มขึ้นจำนวนไม่น้อยเลยเชียวละ” 

 

 

เดิมทีอวิ๋นหว่านชิ่นเพียงแค่พูดลอยๆ แต่ครั้งนี้นางกลับมีความรู้สึกสงสัยในบางสิ่ง โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำว่า ‘ปลาไหล’ สองคำนี้ มันทำให้นางนึกถึงเรื่องที่ไต้ซืออู้เต๋อทำนายใบเซียมซีของอวิ๋นหว่านถง นางเริ่มถามต่อ “งั้นรึ ใต้เท้าช่วยขยายความได้หรือไม่” 

 

 

เฟิ่งจิ่วหลังกล่าวว่า “ปลาไหลสามารถขยายพันธ์ได้โดยไม่ต้องปฏิสนธิ ปลาไหลหนึ่งตัว เมื่อแบ่งเป็นหลายท่อน มันสามารถงอกขึ้นมาเป็นปลาไหลได้อีกหลายตัว เพราะฝั่งอวัยวะตัวผู้สามารถงอกอวัยวะใหม่ออกมาได้ อีกฝั่งหนึ่งก็สามารถงอกอวัยวะตัวเมียใหม่ออกมาได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้มันจึงขยายพันธ์ต่อไปได้” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกแปลกใหม่มากกับสิ่งที่ได้ยิน จนทำท่าท้าวคางเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว พอฟังจบนางลุกขึ้นมาอย่างพรวดพราดและกล่าวว่า “แล้วปลาไหลถือเป็นสัตว์ที่มีอวัยวะตัวผู้และตัวเมียอยู่ในร่างเดียวหรือไม่” 

 

 

เฟิ่งจิ่งหลางจ้องนางไม่ขยับ “พระชายาช่างฉลาดเสียจริง” 

 

 

มีอวัยวะตัวผู้ตัวเมียอยู่ในร่างเดียว แล้วคำว่าตี้หลงใน ‘ตี้หลงเซิง’ เป็นตัวแทนปลาไหล ส่วนลักษณะพิเศษของปลาไหล จะหมายถึงความพิเศษของคนคนนั้นด้วยหรือไม่ 

 

 

อวัยวะตัวผู้ตัวเมียอยู่ในร่างเดียว อาจหมายถึง——ชายและหญิงในร่างเดียวกัน? คนที่มีสองเพศ? อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังครุ่นคิด มันคือขันทีเช่นนั้นหรือ 

 

 

เฟิ่งจิ่วหลังเห็นนางคิดอย่างตั้งใจ และเหลือบไปเห็นนิ้วที่โผล่ออกมาจากหน้าต่างครึ่งนิ้วและกล่าวว่า “พ่อบ้านของจวนนี้ ดูท่าจะไม่ไว้ใจนะขอรับ” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นจึงได้สติ นางมองเกาจ๋างสื่อที่อยู่ตรงหน้าต่างอย่างช่วยไม่ได้และกล่าวว่า “จนปัญญาจริงๆ คงต้องค่อยๆ ปรับกันไป” 

 

 

ทั้งสองคนพูดคุยกันสนุกสนาน ไม่นานเฟิ่งจิ่วหลังก็ขอตัวกลับ เกาจ๋างสื่อถอนหายใจยาวเมื่อเห็นเขาสองคนเดินออกมา 

 

 

เวลาช่างไปผ่านไปเร็วเหลือเกิน เพียงแวบเดียวฉินอ๋องก็ไปฉังชวนได้สิบกว่าวันแล้ว 

 

 

ช่วงเวลานั้น ทุกๆ วันสองวันจะมีจดหมายส่งมายังเมืองหลวง เพื่อรายงายการรับตำแหน่งที่เขตฉังชวนให้ราชสำนักรับทราบถึงรายละเอียด ซึ่งรวมถึงประเพณีพื้นบ้าน ส่วนของราชการและทหาร และการจัดการเหล่าขุนนาง และเพื่อแจ้งให้จวนอ๋องรับทราบถึงความสงบสุขที่นั่น 

 

 

ด้วยเหตุที่ว่านี่เป็นการไปรับตำแหน่งครั้งแรก ระเบียบค่อนข้างยิบย่อย นอกจากความเรียบร้อยในทุกส่วนแล้ว ยังต้องลาดตระเวนและฝึกกองทัพ จึงไม่มีวันเดินทางกลับที่แน่ชัด 

 

 

ท้องฟ้ายังไม่รุ่งสาง ทางฉังชวนได้ส่งม้าเร็วมายังเมืองหลวงเพื่อส่งจดหมาย และยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ก็คือเมื่อเข้ามายังประตูเมืองแล้ว จะแบ่งเป็นสองเส้นทาง ม้าเร็วตัวหนึ่งควบไปยังพระราชวังโดยตรง 

 

 

อีกตัวหนึ่งควบไปยังจวนฉินอ๋องที่อยู่เป่ยเฉิง 

 

 

ภายในจวนอ๋อง ในเรือนเอก 

 

 

หลังจากที่ตื่นนอนทำกิจวัตรประจำวันเสร็จเรียบร้อย อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังรับประทานอาหารเช้า กินโจ๊กเข้าไปได้ไม่กี่คำ ชูซย่าก็นำจดหมายเดินเข้ามา 

 

 

ยังคงเป็นประโยคเรียบง่ายสั้นๆ ว่า ‘ทุกอย่างราบรื่น ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องต่างๆ ในจวนคงต้องลำบากเมียที่รักช่วยดูแล’ 

 

 

พระราชโอรสปฏิบัติงานราชกิจต่างเมือง เพื่อหลีกเลี่ยงเหตการณ์สมรู้ร่วมคิดระหว่างฝ่ายในกับฝ่ายนอก ราชสำนักมีกฎระเบียบชัดเจน แม้ว่าจะเป็นจดหมายส่งไปให้ครอบครัว แต่ก็มีคนตรวจดู จึงทำให้ไม่สะดวกที่จะเขียนเรื่องส่วนตัวลงไปด้วย 

 

 

ถึงกระนั้น แค่ให้นางรู้ว่าเขาสบายดี เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว 

 

 

หลังอ่านจดหมายจบ อวิ๋นหว่านชิ่นพับจดหมายเก็บใส่ซอง ฉิงเสวี่ยวิ่งเข้ามารายงานด้วยสีหน้ากระวนกระวายว่า “พระชายา ทางฉังชวนส่งจดหมายไปยังพระราชวัง คล้ายว่าจะ…จะเกิดเรื่องเจ้าค่ะ พระสนมเรียกพระชายาเข้าเฝ้าเจ้าค่ะ” 

 

 

ณ สวนหลวง ศาลาจัวเจิ้ง 

 

 

บริเวณรอบๆ ของศาลารายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาชนิดจนก่อตัวกลายเป็นกำแพงธรรมชาติกั้นระหว่างโลกภายในและภายนอก มีสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ บ่าวใช้ในวังแทบจะไม่เคยมีใครเคยเดินผ่าน ถือว่าเป็นที่ที่หาเจอได้ยาก 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] เวยเฉิน ขุนนางใช้แทนตัวเองอย่างถ่อมตัว