สนมเอกเฮ่อเหลียนนั่งอยู่ภายในศาลา บีบมือแน่นและวางบนหัวเข่า เนื้อตัวสั่นเล็กน้อย ซึ่งสังเกตได้ว่าใจมิได้อยู่กับเนื้อกับตัวเลย
จางเต๋อไห่พาพระชายาฉินอ๋องเข้าไปในศาลา แล้วถอยกลับไปที่บันไดด้านล่าง ขณะที่ อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวไปข้างหน้าและกำลังจะถวายบังคม กลับถูกสนมเอกเฮ่อเหลียนหยุดไว้เสียก่อน “ชิ่นเอ๋อร์มาแล้วหรือ นั่งลงเถิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองไปที่สนมเอกเฮ่อเหลียนแล้วเอ่ยว่า “เสด็จแม่เพคะ เกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายสามหรือเพคะ”
สนมเอกเฮ่อเหลียนดึงสติให้นิ่งแล้วว่า “เมื่อคืนนี้ฮ่องเต้ทรงพระบรรทม ณ ตำหนักชุ่ยหมิง วันนี้ฟ้ามิทันจะรุ่งสาง เพิ่งจะลุกขึ้นจากเตียง ก็ได้รับจดหมายเข้าวังมาจากต้นทางเขตฉังชวนโดยเหยาฝูโซ่วส่งมอบให้กับมือเองโดยตรง ข้าถึงได้ทราบข่าวว่าเพียงวันที่สามที่บุตรชายข้าไปถึงเมืองเยี่ยนหยาง เมืองแห่งนั้นก็เกิดฝนตกอย่างหนักทำให้ระดับน้ำของแม่น้ำชิงเหอสูงขึ้น เพียงชั่วข้ามคืน ก็กวาดทำลายบ้านเรือนราษฎรบนชายฝั่งพังเสียหายไปเป็นจำนวนไม่น้อย ราษฎรภายในเมืองที่ประกอบไปด้วยสามมลรัฐสี่อำเภอต่างพากันร้องไห้คร่ำครวญและหิวโหยไปทั่วทุกพื้นที่ ฉินอ๋องและเจ้าเมือง ข้าหลวงระดับจังหวัดคนอื่นๆ ได้เปิดคลังข้าวอย่างทันท่วงทีสำหรับการบรรเทาภัยพิบัติในครั้งนี้ โดยเดิมทีคิดว่าข้าวที่จัดเตรียมไว้จะเพียงพอสำหรับการรับมือภัยพิบัติในครั้งนี้ แต่ทว่า ไม่คาดคิดว่าฝนจะตกอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ทำให้ผู้ประสบอุทกภัยมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าวสารในคลังยุ้งฉางไม่เพียงพอแล้ว เพราะน้ำจากแม่น้ำชิงเหอเอ่อไหลล้นฝั่งทำลายถนนหนทางของพื้นที่โดยรอบอำเภอไปเสียหมดแล้ว จนทำให้มิสามารถขนย้ายข้าวสารจากตำบลใกล้เคียงมาได้เลย ส่งผลให้ราษฎรแตกตื่นและสองวันมานี้ไม่รู้ว่าพวกเขาถูกยั่วยุด้วยเหตุผลเช่นใดถึงเริ่มถือมีดและปืนมารวมตัวกันเพื่อประท้วงตามถนนสายหลักของเมืองเยี่ยนหยาง โดยมีวัตถุประสงค์คือต้องการข้าวสารจากทางการมิฉะนั้นจะเข้าโจมตีส่วนกลาง คนเหล่านี้คงจะบ้าคลั่งไปกันเสียหมดแล้ว…ข้าเคยบอกแล้วว่าสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ย่ำแย่เป็นบ่อเกิดของคนป่าเถื่อน ซึ่งเขตฉังชวนมีสภาพอากาศและภูมิศาสตร์ไม่ดีนัก กอปรกับราษฎรดุร้ายและดื้อรั้น ยากที่จะปกครองยิ่งนัก นี่ข้าพูดถูกทั้งหมดเลยไม่ใช่หรือ!” นางกล่าวอย่างรีบร้อน ฟันสองแถวกระทบกันเสียงดัง
อวิ๋นหว่านชิ่นตกใจ เพราะสิบวันที่ผ่านมา เขาส่งจดหมายกลับบ้านอยู่หลายครั้งพร้อมเนื้อหาที่ให้ความมั่นใจทุกครั้งโดยมิได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลย จึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปลอมประโลมสนมเอกเฮ่อเหลียนที่กำลังวิตกกังวลว่า “เสด็จแม่ไม่ต้องกังวลเพคะ องค์ชายสามมีทหารองครักษ์อยู่ข้างกาย ทรงวางพระทัยได้เพคะ”
ดวงตาของสนมเอกเฮ่อเหลียนแดงก่ำ “จะไม่ให้กังวลได้อย่างไร ขุนนางและทหารท้องถิ่นมีจำนวนจำกัด มิหนำซ้ำราษฎรป่าเถื่อนเหล่านั้นเป็นพวกไม่กลัวตายอีกด้วย หากบ้าคลั่งเหมือนสุนัขจนตรอกขึ้นมาเล่า เขตฉังชวนจะต้านทานไหวได้อย่างไร ข้าได้ยินเหยาฝูโซ่วอ่านพระราชสาส์นให้แก่ฮ่องเต้ฟังว่า ราษฎรป่าเถื่อนได้สังหารทหารที่ประจำการอยู่นอกส่วนกลางแล้ว โดยจงใจแขวนศีรษะของนายทหารไว้บนกำแพงเมืองเพื่อข่มขู่ทางการอีกด้วย… ปฏิบัติหน้าที่ประจำอยู่ในเมืองหลวงก็ดีอยู่แล้ว จะไปสถานที่ย่ำแย่เช่นนั้นทำไมเล่า ชิ่นเอ๋อร์ เหตุใดตอนนั้นเจ้าถึงไม่รั้งเขาไว้…”
แววตาของอวิ๋นหว่านชิ่นเป็นประกายและหยุดชั่วครู่ “ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยเช่นใดหรือเพคะ”
สนมเอกเฮ่อเหลียนสงบลงแล้วว่า “มีพระราชโองการแล้ว ให้คนนำข้าวสารอาหารแห้งและเงินสนับสนุนส่งไปยังเมืองเยี่ยนหยางเพื่อรับมือกับอุทกภัยและช่วยเหลือผู้ประสบภัย”
เมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นมองเห็นนางขมวดคิ้วราวกับว่ามีบางอย่างที่มิสามารถบรรยายออกมาได้ จึงสงสัยว่า “ใครเป็นผู้นำในครั้งนี้หรือเพคะ”
สนมเอกเฮ่อเหลียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตามืดสลัวแล้วตอบว่า “เว่ยอ๋อง”
อวิ๋นหว่านชิ่นหนังตากระตุก “ขณะนี้เว่ยอ๋องยังอยู่ในระหว่างการถูกกักบริเวณ สามารถเข้าวังน้อมกล่าวอรุณสวัสดิ์พร้อมพระชายารองก็ว่าเมตตามากแล้ว ทว่า บัดนี้ฮ่องเต้กลับทรงมอบหมายให้เขาออกจากวังหลวงไปปฏิบัติภารกิจเช่นนี้ จะมิดูว่าเป็นการอภัยโทษให้แก่เข้าหรอกหรือเพคะ”
สนมเอกเฮ่อเหลียนถอนหายใจเล็กน้อยว่า “ข้าเคยถามฮ่องเต้อย่างอ้อมๆ แล้วเช่นกัน แต่ฮ่องเต้กลับกล่าวว่าการบรรเทาภัยพิบัติเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง โดยปกติจะมอบหมายให้เชื้อพระวงศ์ไปปฏิบัติภารกิจเช่นนี้อยู่แล้ว จึงมอบหมายให้เว่ยอ๋องทำคุณไถ่โทษ”
ช่างเป็นโอกาสที่ดียิ่งนักสำหรับการสร้างความดีความชอบให้แก่ตน หลังจากส่งมอบเสบียงอาหารและเงินอุดหนุนให้แก่กองทัพเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว เว่ยอ๋องมิอยากพลิกชีวิตก็คงจะยากแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นมิได้พูดต่อ เพียงจับมือของนางแล้วตบเบาๆ อยู่สองที “เสด็จแม่โปรดวางพระทัยเถิด ผู้ประสบภัยเหล่านี้ต้องการเพียงกินอิ่มหลับสบาย ในเมื่อราชสำนักดำเนินการตามเช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะไม่ทำการผลีผลามอย่างแน่นอน พวกเรารอฟังข่าวดีอย่างสบายใจกันเถิดเพคะ” พอกล่าวเพียงเท่านี้ ก็ยืดหลังตรงพร้อมตะโกนบอกจางเต๋อไห่ว่า “ส่งสนมเอกกลับตำหนักพักผ่อน”
สนมเอกเฮ่อเหลียนรู้ดีว่าไม่มีทางอื่นนอกเสียจากอยู่รอฟังข่าวในวังหลวงแล้ว เหตุที่เรียกอวิ๋นหว่านชิ่นเข้าวังก็เพียงเพราะมิได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการหาเพื่อนที่คอยปรึกษาหารือกันได้และทำให้สบายใจเท่านี้ แต่เมื่อนางพูดเช่นนี้ ก็ทำได้เพียงถอนหายใจแล้วกลับไปที่ตำหนักชุ่ยหมิง
อวิ๋นหว่านชิ่นเฝ้ามองทั้งสองเดินจากไป ถึงจะเดินออกจากศาลาจัวเจิ้งพร้อมกับชูซย่าและทหารรักษาพระองค์อีกสองนาย
ชูซย่าเห็นสีหน้าของสนมเอกเฮ่อเหลียนขณะพบเจอที่นอกศาลาไม่สู้ดีนัก เลยแอบถามจางเต๋อไห่เป็นการส่วนตัวจนได้ความว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง จึงเดินไปด้วย พลางกังวลไปด้วยว่า “พระชายาเพคะ หากผู้ประสบภัยก่อการจลาจล มิอาจจะประมาทไม่ได้นะเพคะ แม้ว่าฮ่องเต้จะทรงรับสั่งให้จัดเตรียมเสบียงไปบรรเทาทุกข์แล้ว แต่กำหนดการเดินทางนั้นคาดเดาได้ยากยิ่งนัก หากไปถึงไม่ทันการณ์ หรือว่าผู้ประทบภัยทนรอไม่ไหว…”
นางรู้ดีว่ามิสามารถประหม่าได้ เมื่อผู้ประสบภัยเผชิญกับภัยธรรมชาติเช่นนี้ พวกเขาต่างพลัดที่นาคาที่อยู่ สูญเสียทั้งทรัพย์สินและญาติมิตร หากพวกเขาบ้าคลั่งขึ้นมา อะไรก็กล้าทำทั้งนั้น คำพูดชั่วครู่ก็เพียงเพื่อปลอบประโลมสนมเอกเฮ่อเหลียนเพียงเท่านั้น แต่ทว่า เรื่องที่เกิดขึ้นจะวุ่นวายสักเพียงใด คนก็มิควรกระวนกระวายเฉกเช่นนั้นไปด้วย บัดนี้ตนเป็นนายหญิงแห่งจวนฉินอ๋อง ทุกสายตาจับจ้องมองอยู่ จึงยิ่งมิสามารถแสดงออกถึงความร้อนรนใจได้เป็นอันขาด
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าวต่อว่า “องค์ชายสามนำทั้งชุดเกราะของทหารไปด้วย ทั้งเคยปฏิบัติภารกิจภายใต้ศูนย์บัญชาการศึก คงจะมิเป็นไรหรอก แต่บัดนี้สิ่งที่ข้าเป็นกังวลที่สุดคือ หลังจากภัยพิบัติครั้งนี้ต่างหาก เว่ยอ๋องเพียงส่งมอบเสบียงอาหารเท่านั้น ก็สามารถสร้างความดีความชอบอย่างง่ายดาย ขณะที่ ฉินอ๋องเพิ่งจะได้รับตำแหน่งก็ต้องเผชิญกับเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ หากภายหลังรับมือได้ไม่ดี ก็คงถูกราชสำนักตั้งคำถามถึงความสามารถของเขาเป็นแน่แท้”
ชูซย่านิ่งเงียบไม่มีคำพูดใดๆ
พวกนางทั้งสองคนเดินออกจากสวนหลวงและเดินไปตามกำแพงสูงสีแดงสดมุ่งตรงไปยังประตูเจิ้งหยาง ระหว่างทางก็เห็นร่างคู่หนึ่งเดินมาพร้อมบ่าวรับใช้ประกบตามหลัง สองคนนั้นคือเว่ยอ๋องและอวิ๋นหว่านถงนั่นเอง
ดูเหมือนว่าทั้งสองเพิ่งจะเข้าวังมาได้ไม่นาน
“พระชายา” ชูซย่าขมวดคิ้วพร้อมตะโกนเรียกด้วยเสียงแผ่วเบา
อวิ๋นหว่านชิ่นให้สัญญาณ สองมือประสานกันโดยสอดเข้าไปในปลอกผ้ากันหนาวด้ายไหมพรมสีทองแล้วเดินผ่านทั้งสองไปอย่างช้าๆ
เช้าวันนี้เว่ยอ๋องซื่อยวนได้รับภารกิจเร่งด่วนให้ไปยังแคว้นเยี่ยนหยางเพื่อส่งเสบียงอาหารและเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งเขายินดีปรีดายิ่งนักและรีบเรียกรวมพลทหาร พอเตรียมการเสร็จสรรพ จึงเข้าวังมารายงานถึงรายละเอียดทั้งหมดให้แก่พระบิดาทราบทันที ประจวบกับสุดแสนจะรำคาญอวิ๋นหว่านถงที่ต้องการเข้าวังมาด้วย เมื่อมองไปที่ท้องของนาง ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุสงฆ์ก็ควรต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป จึงต้องพาเข้าวังมาด้วย
คาดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอพระชายาฉินอ๋อง ณ พระราชวังแห่งนี้
ภายในตรอกซอกซอยที่แคบยาวของพระราชวังแห่งนี้ ทั้งสามคนเดินเฉียดไหล่ผ่านไปโดยพยักหน้าแสดงความเคารพตามมารยาทเท่านั้น หากดูเพียงผิวเผินแล้ว ก็ดูเหมือนจะเป็นการแสดงความสุภาพนอบน้อมระหว่างเชื้อพระวงศ์ด้วยกันเอง แต่ความจริงแล้วกลับมองเห็นถึงความต้องการเผ่นหนีให้รวดเร็วที่สุดแฝงรวมอยู่ด้วย
ในดวงตาของอวิ๋นหว่านถงเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความกังวล “เหตุใดพี่ถึงเข้าวัง เป็นเพราะได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เขตฉังชวนใช่หรือไม่เพคะ พี่ใหญ่อย่ากังวลไปเลย ฉินอ๋องคงไม่เป็นอะไรหรอกเพคะ องค์ชายห้าของข้าได้รับพระบัญชาให้ไปช่วยเหลืออุทกภัยในครั้งนี้อย่างเร่งด่วน ฉินอ๋องต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอนเพคะ”
นี่หมายความว่าเว่ยอ๋องจะไปช่วยชีวิตฉินอ๋องอย่างนั้นหรือ ใบหน้าของชูซย่าเรียบตึง
“ภารกิจที่ไปยังเขตฉังชวนของเว่ยอ๋องคือส่งเสบียงอาหารและเงินอุดหนุนเพื่อบรรเทาอุทกภัย เพียงแค่ปฏิบัติให้ลุล่วงไปด้วยดีก็เพียงพอแล้ว ภารกิจขององค์ชายสามก็ปล่อยให้ท่านดูแลจัดการเอง” อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าวด้วยเสียงเรียบ
หญิงสาวที่มีเนื้อดั่งหยกขาวอยู่บนแก้ม มีดวงตาดุจอัญมณีแสนแพรวพราวตระการตา ทำให้จิตใจถึงกับกระสับกระส่าย ซึ่งเดิมทีเว่ยอ๋องมิได้สนใจคำกล่าวทักทายของหญิงสาวทั้งสองคนเลย แต่เนื่องด้วยเสียงของนางดุจไข่มุกหล่นบนจานหยก จึงเอ่ยถามนางด้วยความสนใจว่า “พระชายาฉินอ๋องเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ มิเป็นห่วงพี่ชายสามหรอกหรือ”
“น้องชายห้ามีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบเช่นกัน ก็ทำภารกิจของตนให้สำเร็จลุลล่วงก่อนเถิด” อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัวจนเกินควร
ใบหน้าของเว่ยอ๋องเริ่มตึงเครียด
พออวิ๋นหว่านถงเห็นเว่ยอ๋องจ้องมองพี่สาวตนเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป มิใช่หลงใหลเฉพาะเพศชายหรอกหรือ เหตุใดจึงมองหน้าพี่สาวอย่างไม่ละสายตาเช่นนี้ไปได้เล่า นางจึงกระทุ้งศอกเข้าใส่เว่ยอ๋อง จะว่าตั้งใจก็ใช่ จะว่าไม่ตั้งใจก็ได้