เว่ยอ๋องขมวดคิ้ว “เจ้าทำอะไรเนี่ย”
นางอวิ๋นซื่อผู้นี้ได้คืบจะเอาศอก อาศัยตั้งครรภ์ทายาทของตนและได้รับการหนุนหลังจากเสด็จแม่ ซึ่งนับตั้งแต่ตั้งครรภ์มา ได้แสดงอำนาจบาตรใหญ่ภายในจวนและไม่เห็นผู้คนอยู่ในสายตา ซึ่งทำให้เยี่ยหนานเฟิงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเพราะมิได้รับความเป็นธรรมอยู่หลายหน แต่ทว่า เขาก็มิอาจกระทำการเฉกเช่นเมื่อก่อนได้และยังต้องปลอบขวัญ บำรุงขวัญเขาอีกด้วย ทำให้เขาโมโหยิ่งนัก
แน่นอนว่าอวิ๋นหว่านถงถือว่าตนตั้งครรภ์จึงเอาแต่ใจเช่นนั้นและมิได้รู้สึกว่าตนไม่เคารพยำเกรงใดๆ เลย จากนั้นก็ดึงศอกกลับพร้อมนำมือวางไว้ตรงที่หน้าท้อง “โอ้ องค์ชายห้า หม่อมฉันมิได้ตั้งใจเพคะ”
เว่ยอ๋องเหลือบมองไปที่ท้องของนาง กลั้นใจและสะบัดแขนเสื้อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนอย่างไม่เต็มใจแล้วปรับระดับเสียงพูด พอได้ยินแล้วกลับรู้สึกแปลกยิ่งนัก “เจ้าไปเคารพทักทายอรุณสวัสดิ์สด็จแม่ก่อนเถิด ข้าจะไปพบเสด็จพ่อที่ห้องทรงพระอักษร”
“เพคะ องค์ชายห้า” แสดงความเคารพเสร็จสรรพ ก็รอส่งจนเว่ยอ๋องเดินจากไป ขณะเดียวกัน ก็เหลือบมองเห็นพี่สาวกำลังจ้องมองตนอยู่ด้วยรอยยิ้มที่มีก็เหมือนไม่มี
เปลือกตาของนางกระตุกและมือทั้งสองข้างประคองไปที่มอมอซึ่งมเหสีรองเหวยทรงพระราชทานไว้ให้ปรนิบัติรับใช้ แล้วส่ายสะโพกเดินเข้าไปใกล้ๆ สองสามก้าว พอเว่ยอ๋องไม่ได้อยู่ข้างกาย นางก็เปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงเหิมเกริมว่า “ดูเหมือนว่าวันนี้พี่ใหญ่จะอารมณ์ดีอยู่นะ คงมิใช่ว่ากังวลจนเลอะเลือนไปเสียแล้ว พวกเราสองคนเป็นพี่น้องกันและบัดนี้ท่านก็เป็นพี่สะใภ้ด้วยแล้ว น้องก็มิใช่ว่าขิงก็ราข่าก็แรงทุกกับพี่ใหญ่ทุกครั้งที่พบเจอ แต่สำหรับเรื่องของฉินอ๋องนั้น กลับเป็นการเตือนสติ ขอโปรดฟังคำแนะนำ…”
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ดีว่าน้องสาวจากอนุภรรยาผู้นี้มิได้มีน้ำจิตน้ำใจอะไร นางก็มีนิสัยเช่นเดียวกับอนุฟาง มารดาของนาง เป็นเพียงกาที่มีขนนกเพิ่มเท่านั้นก็คิดว่าตนเป็นหงส์ไปเสียแล้ว และนับตั้งแต่ปีนขึ้นที่สูงเป็นต้นมา ก็ได้กลายเป็นคนลืมตัวเหมือนวัวลืมตีน
พอชูซย่ามองเห็นอวิ๋นหว่านถงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาจึงเบิกกว้าง ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะของอวิ๋นหว่านถงเท่านั้นและพลางกล่าวต่อไปว่า “…พี่ใหญ่ไปอันเชิญพระโพธิสัตว์กลับจวน ไว้กราบไหว้อธิษฐานขอพรสักองค์หนึ่งสิ บางทีเทพยดาอาจจะช่วยปกป้องคุ้มครองให้ฉินอ๋องแคล้วคลาดปลอดภัยก็ได้นะเจ้าคะ”
ชูซย่าโมโหจนหน้าสั่น และอึ้งไป แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับมีแววตาเยือกเย็นและไร้ซึ่งความเมตตากรุณา “ข้ากลับคิดว่าน้องสาวเสียอีกที่ควรเชิญพระโพธิสัตว์กลับไปอธิษฐานบูชาวันละสามเวลาและนมัสการด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ อธิษฐานให้ความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่มีอยู่ในท้องแคล้วคลาดปลอดภัย” จากนั้นก็ก้าวออกไปอย่างช้าๆ และเฉียดกายผ่านด้านข้างของอวิ๋นหว่านถงไป แล้วหันหลังกลับมาเล็กน้อยพร้อมโน้มตัวเข้าไปใกล้หูของนางว่า “…หากรักษาไว้ไม่อยู่ คงจะยากแสนยากแล้วที่จะมีโอกาสนั้นอีกครั้ง”
สีหน้าของอวิ๋นหว่านถงเปลี่ยนไปอย่างมากพลางกัดฟัน แก้มก็นูนขึ้น ซึ่งยังคงดันทุรังต่อไป “เจ้าหมายความเช่นไร”
“มิได้หมายความเช่นไรเลย” อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบมองไปที่เงาด้านหลังของเว่ยอ๋องที่เดินจากไป “เพียงเห็นกับตาของตนถึงความสัมพันธ์ระหว่างเว่ยอ๋องและน้องสาวแล้ว จึงอยากจะเตือนน้องสาวให้ดูแลทารกในครรภ์ไว้ให้ดีก็เท่านั้น”
อวิ๋นหว่านถงสงบสติอารมณ์แล้วฝืนยิ้มและวางมือลงบนท้องที่ไม่ชัดเจนนัก “พี่ใหญ่ไม่ต้องกังวลไปนะเจ้าคะ ขุนนางแห่งสำนักดาราศาสตร์บอกว่าเด็กคนนี้เป็นอภิชาตบุตรกลับชาติมาเกิด พี่ลองดูสิ นับตั้งแต่น้องตั้งครรภ์มา จวนเว่ยอ๋องก็ประสบแต่ความโชคดี เริ่มจากได้รับพระราชทานพระอนุญาตให้เว่ยอ๋องเข้าวังน้อมกล่าวอรุณสวัสดิ์พร้อมข้า และครั้งนี้พอแคว้นฉังชวนประสบอุทกภัย เสด็จพ่อก็ทรงมอบหมายงานเร่งด่วนอันใหญ่หลวงให้แก่องค์ชายห้า…อุ้ย หากเป็นเช่นนี้ พี่ใหญ่ว่าทารกในครรภ์ข้านี้ไม่เพียงแต่ให้คุณแก่จวนเว่ยอ๋อง แต่ยังดูเหมือนจะเป็นปฏิปักษ์ต่อจวนฉินอ๋องด้วยนะเจ้าคะ ช่าง…เสียจริงๆ ” ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจและปนความภาคภูมิใจเล็กน้อย
พอชูซย่าได้ยินเพียงเท่านี้ ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงนึกถึงใบเซียมซีจากวัดหวาอันของไต้ซืออู้เต๋อ โดยอดกลั้นความรู้สึกไว้ไม่อยู่พร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ ว่า “เป็นปฏิปักษ์อย่างนั้นหรือเพคะ ดูแลทารกในครรภ์ให้ดีก่อนเถิดเพคะว่าจะให้โชคหรือให้โทษกันแน่”
อวิ๋นหว่านชิ่นมิต้องการจะต่อความยาวสาวความยืดอีกต่อไปจึงดึงแขนของชูซย่าแล้วเดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
พอฟังคำย้อนถามของชูซย่าเพียงเท่านั้น กลับรู้สึกถูกทิ่มแทงใจดำยิ่งนัก จึงยืนนิ่งอยู่กับที่ โดยสติหลุดลอยเป็นเวลานาน
หลังจากวันนั้นที่เสี่ยงเซียมซี ณ วัดหวาอันเรียบร้อยแล้ว ต่อมาไม่นานนางก็ไปพบอู้เต๋อพร้อมกับของกำนัลมากมาย แต่ทว่ากลับได้ยินพระภายในวัดกล่าวถึงพระชราผู้อัปรีย์องค์นั้นว่าออกจากวัดไปแล้วและไม่รู้ว่าไป ณ ที่แห่งหนใด นางจึงสั่งให้บ่าวของจวนเว่ยอ๋องออกค้นหาบริเวณรอบๆ ชานเมือง ก็หาไม่พบ สิ่งนี้กลายเป็นปมภายในใจ และทำให้อึดอัดทุกครั้งที่นึกถึงคำพูดของอู้เต๋อว่าตามใบเซียมซีแล้วนั้น มีคนเป็นปฏิปักษ์ต่อทารกในครรภ์ จึงทำให้รู้สึกร้อนอกร้อนใจยิ่งนัก
วันนี้พอชูซย่าเอ่ยถึงคำว่า ‘เป็นปฏิปักษ์’ จึงทำให้อวิ๋นหว่านถงพลันนึกถึงเรื่องกังวลนั้นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อลองคิดพินิจดูแล้ว รู้สึกเพียงว่าทารกในครรภ์ที่ยังมิได้เป็นรูปเป็นร่างนั้น มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเคลื่อนไหวแล้ว โดยมิได้รู้สึกตัวว่ากำลังกำผ้าเช็ดหน้าปักลายไว้แน่นและในช่วงฤดูหนาวเช่นนี้กลับมีเม็ดเหงื่อไหลหยดออกมาจากหน้าผาก ทำให้ใบหน้าที่งดงามบูดเบี้ยวไปไม่น้อย
ยวนยางกำลังเฝ้าดูเจ้านายอยู่ข้างๆ นับตั้งแต่ชายารองตั้งครรภ์ บริเวณเอวและหลังก็เหยียดตรง ทั้งจวนไม่มีใครกล้าบังอาจเปล่งวาจาเสียงดังกับนาง ซึ่งแม้แต่เว่ยอ๋องเองก็ยังต้องให้เกียรตินาง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนที่แย่งชิงความเป็นที่โปรดปรานกันอยู่ทุกวันอย่างปีศาจเพศผู้ ทุกครั้งที่ได้พบเจอหน้าชายารองนั้น อย่าพูดว่าจะหาเรื่องชวนทะเลาะกับชายารองเลย เพราะแม้แต่ถอนหายใจยาวๆ ยังมิกล้า เนื่องด้วยท่านอ๋องกำชับไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่ามิควรเป็นปฏิปักษ์กับนาง เมื่อพบเจอชายารองทุกครั้ง จึงต้องฝืนใจโค้งคำนับ
ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม ชายารองกลับมิได้สบายอกสบายใจเหมือนดั่งที่ผ่านมา บัดนี้ ตลอดทั้งวันเอาแต่คิดซ้ายตรองขวา รู้สึกทั้งกังวลใจและไม่สบายใจ ไม่อยากอาหารและพกแต่เรื่องกังวลไว้ในใจ โดยเฉพาะนับตั้งแต่กลับจากวัดหวาอันเป็นต้นมา ชายารองก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย ทุกวันนี้เอาแต่ระแวงว่าคนรอบกายจะเป็นปฏิปักษ์ต่อทารกของตน ซึ่งวันนั้นได้นำช่วงเวลาตกฟากของบ่าวในจวนอ๋องทุกคนไปให้นักพรตทำนายดวงชะตาว่าสมพงษ์กับตนหรือไม่ ช่างงมงายเสียจริง
พอเห็นท่าทางของชายารองแล้ว ยวนยางก็รู้ทันทีว่านางคงนึกถึงเรื่องใบเซียมซีของไต้ซืออู้เต๋อเป็นแน่ จึงกล่าวปลอมประโลมว่า “หมอหลวงที่มเหสีรองทรงรับสั่งให้มาตรวจอาการก็เพิ่งมาเมื่อวานเองมิใช่หรือเพคะ บอกว่าชีพจรของนายหญิงมิได้อ่อนแอเลย ทารกในครรภ์ก็แข็งแรงยิ่งนัก สำหรับเรื่องของใบเซียมซีนั่น หากเชื่อก็จะเป็นจริง แต่ถ้าหากไม่เชื่อก็จะไม่เกิดขึ้น นายหญิงมิต้องเก็บเอามาใส่ใจหรอกเพคะ”
มิให้เก็บเอามาใส่ใจได้อย่างไรเล่า เพราะครั้งนี้จะไม่สามารถเกิดข้อผิดพลาดได้เลย อวิ๋นหว่านถงขมวดคิ้วพร้อมลูบไปที่ท้อง “ข้าตั้งครรภ์เพียงไม่นาน ซึ่งวันนี้แข็งแรง มิได้หมายความว่าพรุ่งนี้จะดีเฉกเช่นวันนี้สักหน่อยและมีเวลาอีกถึงเจ็ดแปดเดือนที่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ หากวันให้กำเนิดบุตรยังมาไม่ถึง จะให้ข้าวางใจได้อย่างไร” และได้เอ่ยถามต่อว่า “พระอัปรีย์ผู้นั้นหาเจอแล้วหรือไม่”
ยวนยางรีบตอบว่า “บ่าวตั้งใจไปพบขุนนางเฝ้าประตูเมืองมาแล้ว มิได้มีบันทึกว่าไต้ซืออู้เต๋อออกจากเมืองหลวงไป มีแนวโน้มว่าจะยังพักอาศัยอยู่ในเขตเมืองหลวง บ่าวจึงได้ส่งคนให้ไปสอบถามและออกค้นหาทั้งที่พักและโรงเตี๊ยมต่างๆ แล้ว ชายารองมิต้องเป็นห่วงเพคะ”
อวิ๋นหว่านถงถอนหายใจอย่างไม่เต็มใจด้วยน้ำเสียงที่โกรธเคืองเล็กน้อยว่า “แม้จะต้องมุดดินหา ก็ต้องหาให้พบ ข้าไม่เชื่อว่าจะหาไม่เจอ พระอัปรีย์ตัวดีนั่นทิ้งคำพูดไว้เพียงครึ่งเดียวก็สลัดข้าทิ้ง ทำให้หัวใจข้าแขวนอยู่กลางอากาศ…หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ คงฟังคำของท่านแม่ยังจะดีเสียกว่า วันนั้นหากถึงขั้นต้องงัด ก็จะงัดปากของเขาเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”
พวกนางพูดคุยกันไปพลาง เดินไปทางตำหนักฉางหนิงไปพลาง โดยจะไปน้อมกล่าวอรุณสวัสดิ์มเหสีรองเหวย มเหสีรองเหวยจ้องไปที่ท้องของอวิ๋นหว่านถงพร้อมกับกำชับเฉกเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
เวลาไม่เช้าแล้ว พอเว่ยอ๋องบังคมทูลต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้เสร็จสรรพแล้ว จึงสั่งคนให้มาเรียก อวิ๋นหว่านถงก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ พร้อมกับกล่าวทูลลาอย่างนอบน้อม แล้วตามเว่ยอ๋องกลับไปที่จวนอ๋อง
และเมื่อเว่ยอ๋องรายงานการเตรียมการที่จะไปยังเมืองเยี่ยนหยางของแคว้นฉังชวนแก่หนิงซีฮ่องเต้และได้รับพระราชทานป้ายอาญาสิทธิ์แล้ว ตลอดการเดินทางกลับจวนจึงยินดีปรีดายิ่งนัก
เนื่องด้วยนายใหญ่เพิ่งจะได้รับพระราชโองการ เหล่าบรรดาผู้คนน้อยใหญ่ภายในจวนแห่งเว่ยอ๋องก็ต่างมีความสุขอย่างมาก ขณะนี้ เมื่อเห็นนายใหญ่กลับมายังจวนของตน ภายใต้การนำของขุนนางประจำจวนอ๋อง ทุกคนล้วนยืนอยู่บนบันไดเพื่อรอต้อนรับ
เยี่ยหนานเฟิงยืนอยู่ในฝูงชนนั้นด้วยเช่นกัน พอเห็นรถม้าของเว่ยอ๋องจอดสนิท ร่างของชายหนุ่มก็เดินลงมา เขาจึงส่งสายตาพิฆาตใจไป จากนั้นก็มองเห็นหญิงสาวเดินตามลงมา ใบหน้าจึงบึ้งตึงพลางอุทานถุยอยู่คราหนึ่งอย่างแผ่วเบาด้วยเสียงอิจฉาที่มิอาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ความกล้ำกลืนเฉกเช่นทุกวันนี้ ทั้งหมดมิใช่เพราะทารกในครรภ์ของนางหรอกหรือ และต้องทนร้องไห้อยู่หลายหนด้วยความโมโหนาง แต่ก็ทำอะไรมิได้ หากไม่ใช่เพราะมีเว่ยอ๋องคอยปลอบประโลม บอกให้ทนนางเพียงสิบเดือน แล้วนี่เขาจะทนต่อความโกรธเคืองนานเช่นนั้นได้อย่างไร