เรื่องเหล่านี้มิใช่เรื่องใหญ่โตอะไร หากแต่ผู้หญิงคนนี้กลับมิปล่อยให้เว่ยอ๋องไปแม้กระทั่งหอรุ่ยเสวี่ยเลย
วันนี้ท้องฟ้าส่องแสงสว่างไสว ฮ่องเต้ทรงมีกระแสรับสั่งมอบหมายให้เว่ยอ๋องเดินทางไปยังแคว้นฉังชวนเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ ทำให้เยี่ยหนานเฟิงสุดแสนจะดีใจ บัดนี้เว่ยอ๋องเกรงกลัวชายารองอวิ๋นยิ่งนัก และที่ให้เกียรตินางเช่นนี้ก็เพียงเพราะสูญเสียอำนาจ จึงต้องพึ่งพาทารกในครรภ์ของนางทำให้ฮ่องเต้พอพระทัย หากกลับมาครานี้ เว่ยอ๋องกลับคืนสู่ราชสำนักอีกครั้ง คงมิต้องสนใจชายารองนางนี้อีกต่อไป
พอได้ยินว่านำป้ายอาญาสิทธิ์กลับมาด้วยแล้ว เยี่ยหนานเฟิงก็มิอาจอดกลั้นความสุขเอาไว้ได้ จึงวิ่งออกไปยืนอยู่ด้านหลังบ่าวรับใช้ของจวนอ๋อง โดยยืนเขย่งเท้าแล้วมองไปที่เว่ยอ๋องจากระยะไกล ราวกับว่าภรรยาเฝ้าคอยการกลับมาของสามีก็ไม่ปาน
พอเว่ยอ๋องลงจากรถม้าก็เหลือบมองเห็นแววตาของชายคนโปรดทอดไมตรีมาทันที ทำให้เขาอารมณ์ดียิ่งนัก และมีความปรารถนาที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง เพียงแต่ข้างกายรายล้อมไปด้วยผู้คนหมู่มาก จึงมิอาจกระทำการเช่นนั้นได้และอดกลั้นความตื่นเต้นนั้นเอาไว้
แม้ว่าอวิ๋นหว่านถงจะลงจากรถม้าในเวลาต่อมา แววตาของพวกเขาทั้งสองที่เกี้ยวพาราสีและแสดงความรักใคร่ส่งให้แก่กันนั้นอยู่ในสายตาของนางทั้งหมด สีหน้าของนางจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่มิได้พูดอะไร เพียงจับแขนของยวนยางแล้วเดินตามหลังเว่ยอ๋องเข้ามายังห้องโถงใหญ่ของจวนอ๋อง
เว่ยอ๋องรู้สึกเบิกบานใจยิ่งนักและหัวใจดวงนี้ได้หลุดลอยบินเหินไปอยู่กับเยี่ยหนานเฟิงเรียบร้อยแล้ว แล้วจึงเดินเข้าไปอย่างเหม่อลอย พร้อมกับสั่งเสียภาระงานภายในจวนภายหลังออกเดินหน้าทั้งต่อหน้านางกำนัลถวายตัวสองนาง พ่อบ้านและบ่าวรับใช้อย่างละเอียด รวมถึงแสร้งสั่งยวนยางและบรรดามอมอทั้งหลายให้ดูแลทารกในครรภ์ของชายารองอย่างพอเป็นพิธี และสุดท้ายก็แทบทนรอไม่ไหวที่จะลุกขึ้นกล่าวว่า “ข้ามีธุระที่จะต้องสะสางต่อ แยกย้ายกันไปเถิด”
อวิ๋นหว่านถงรู้ทันทีว่าเขากำลังจะไปยังหอรุ่ยเสวี่ยจึงเอ่ยเรียกว่า “องค์ชายห้าเพคะ”
“อืม” เว่ยอ๋องถูกขัดจังหวะการก้าวเดิน ทำให้รำคาญใจเล็กน้อย
อวิ๋นหว่านถงกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “วันนี้เข้าวังไป เสด็จแม่พระราชทานรูปวาดลูกเป็นร้อยหลานเป็นพันให้แก่หม่อมฉันและกำชับหม่อมฉันให้นำออกมาให้เว่ยอ๋องเชยชมครั้นถึงจวนอ๋องแล้ว เพื่อความเป็นสิริมงคล หม่อมฉันจึงสั่งให้คนขนย้ายไปยังเรือนของหม่อมฉัน องค์ชายไปเชยชมก่อนนะเพคะ”
เว่ยอ๋องขมวดคิ้ว “เป็นเพียงภาพวาดเท่านั้น จะดูเวลาใดก็มีค่าเท่ากัน เหตุใดถึงต้องดูประเดี๋ยวนี้เลยเล่า ข้าจะไปหาเจ้าในภายหลัง”
ยวนยางเข้าใจความตั้งใจของเจ้านายตน จึงช่วยพูดว่า “องค์ชายเพคะ มเหสีรองกล่าวไว้ว่าภาพวาดนี้มีจิตวิญญาณ และผงทองนี้ก็ได้ผ่านการทำพิธีเปิดเนตรแล้ว องค์ชายต้องเสด็จราชดำเนินตั้งแต่ช่วงเช้า การปฏิบัติพระราชกรณียกิจในครั้งนี้ มิรู้ว่าจะเสร็จสิ้นเมื่อใด เกรงว่าอาจไม่ทันการณ์ หากเป็นเช่นนั้นเสด็จไปทอดพระเนตรก่อนจะดีกว่าหรือไม่เพคะ จะได้บอกกล่าวทางด้านมเหสีรองได้ด้วยเพคะ”
พอๆๆๆ เลิกพูดพล่ามได้แล้ว มิใช่เพียงชมภาพวาดหรอกหรือ ก็ดีเหมือนกัน วันนี้ไปแล้วก็จะได้ไม่ต้องไปอีก คืนก่อนออกเดินทางจะได้พักค้างคืนที่หอรุ่ยเสวี่ยได้อย่างสบายอกสบายใจเสียที
เว่ยอ๋องโบกมือว่า “ได้ ข้าจะไปที่นั่นก่อน” กล่าวเพียงเท่านี้ ก็ดึงเท้าของตนออกเดินทางไปที่เรือนของอวิ๋นหว่านถง
อวิ๋นหว่านถงจ้องมองเงาด้านหลังของเว่ยอ๋องที่กำลังก้าวออกจากธรณีประตูอย่างใจจดใจจ่อ พอเลี้ยวหายไป จึงสะบัดแขนเสื้อพลางขมวดคิ้วว่า “ไปกัน! ”
แม้ว่ายวนยางจะพยุงนายหญิงเดินไปยังรุ่ยเสวี่ยอย่างเร่งรีบ แต่ทว่าปากของนางกลับเป็นกังวลว่า “นายหญิงเจ้าคะ…จะไปหอรุ่ยเสวี่ยประเดี๋ยวนี้เลยหรือเจ้าคะ อีกสักครู่องค์ชายก็จะเสด็จไปเช่นกัน หาก…”
หาก หากเรื่องอะไรอีกเล่า บัดนี้นางตั้งครรภ์แล้ว จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันได้อย่างไร
นับตั้งแต่ตั้งครรภ์มารู้สึกว่าเยี่ยหนานเฟิงจะนอบน้อมมาได้ระยะหนึ่ง ทว่าวันนี้กลับแสดงอาการรักใคร่เชิงชู้สาวออกมาให้เห็นอีกครั้ง โดยนางมิอาจรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
เพราะเห็นว่าเว่ยอ๋องกำลังจะเรียกอำนาจกลับคืนมาได้ สุนัขจิ้งจอกตัวผู้ก็เริ่มอวดดีอีกแล้วหรือ
แม้แต่คืนก่อนออกเดินทางยังจะครอบครองเว่ยอ๋องไว้เพียงผู้เดียว สร้างความรำคาญใจให้แก่อวิ๋นหว่านถงยิ่งนัก
พยุงท้องจนถึงหอรุ่ยเสวี่ยอย่างรีบร้อนโดยมิทันได้เปล่งวาจาอะไรออกมาเลย ก็หันหน้าไปทางประตูบุปผาแกะสลักด้วยดอกพุดตาลแล้วตะโกนว่า “ถีบออกเร็ว! ”
บ่าวรับใช้ของหอรุ่ยเสวี่ยมิบังอาจไม่ฟัง กลืนน้ำลายแล้วก้าวไปข้างหน้า เตะประตูดัง ปัง! ทำให้ประตูบุปผาเปิดออกด้วยเสียงดังลั่น
เยี่ยหนานเฟิงนั่งอยู่หน้าเตาดินเผาสีแดงขนาดเล็กภายในห้องซึ่งกำลังต้มสุรารอคอยเว่ยอ๋องอยู่ พอได้ยินเสียงดังลั่นและมองเห็นอวิ๋นหว่านถงกำลังรีบเดินเข้ามา เขาก็รู้สึกตื่นกระหนกก่อนจะลุกขึ้นด้วยความโกรธ “ชายารอง นี่มันอะไรกัน”
อวิ๋นหว่านถงมองเห็นเขาสวมเสื้อคลุมสีเงินขาว ผมสีดำเงาดุจน้ำหมึก มัดผมรวบหลวมและผิวขาวผ่องดุจหยก งดงามอย่างอ่อนหวานนุ่มนวล ทำให้นางรู้สึกหมั่นเขี้ยวด้วยความเกลียดชังยิ่งนัก จึงกางมือเดินเข้าไปตบหน้าถึงสองทีแล้วว่า “ไอ้จิ้งจอกไร้ยางอาย! เจ้าบอกว่าข้าทำอะไรหรือ ตลอดทั้งวันเอาแต่ยั่วยวนเว่ยอ๋อง ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเว่ยอ๋อง ไม่ช้าก็เร็วเจ้าคงจะเป็นเหตุแห่งความหายนะของจวนเว่ยอ๋องของเราอย่างแน่นอน”
เยี่ยหนานเฟิงคาดไม่ถึงว่านางจะลงมือรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้ตะลึงงันไปชั่วขณะ ถูกตบจนต้องถอยหลังออกไปหลายก้าว เวลาผ่านไปเกือบครึ่งค่อนวันถึงจะกุมแก้มที่บวมแดง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า “เจ้าและเว่ยอ๋องรักใคร่กันอย่างนั้นหรือ ทั้งที่ความเป็นจริงเป็นแค่ความโลภในความมั่งคั่งร่ำรวยเพียงเท่านั้น เจ้ามิใช่รุกเร้าโดยปีนขึ้นเตียงของเว่ยอ๋องเองหรือ ซึ่งประจวบเหมาะกับโอกาสอันดีนั้นพอดิบพอดี และการตั้งครรภ์นครั้งนี้ก็อาศัยกลอุบายที่แสนสกปรก หากพูดกันตรงๆ เจ้าต่างหากที่เป็นมือที่สามเข้ามาทำลายความรักอันบริสุทธิ์ระหว่างข้ากับเว่ยอ๋อง”
อวิ๋นหว่านถงไม่เคยคิดว่าชั่วชีวิตนี้จะต้องมาหึงหวง แย่งชิงผู้ชายจากผู้ชายเช่นนี้ ทั้งโกรธและทั้งรู้สึกขบขันยิ่งนัก แล้วด่าทอว่า “ใครก็ได้จับมือเขาไว้เร็ว! ”
“นายหญิงเพคะ” ยวนยางเกรงว่าเว่ยอ๋องจะเกิดโทสะ จึงรีบห้ามปราม
อวิ๋นหว่านถงยิ้มเยาะ “หากข้าไม่ระบายความเกลียดชังซะเสียตอนนี้ วันหน้าข้ายังจะมีโอกาสอีกหรือ”
ในขณะนี้ บ่าวหนุ่มทั้งสองนายก้าวไปข้างหน้าและจับแขนของเยี่ยหนานเฟิงไว้แน่น
ร่างกายของเยี่ยหนานเฟิงทั้งบอบบางและนุ่มนวล โดยมีเอวบางและโครงร่างงดงามตั้งแต่อยู่ที่ซ่องโสเภณีชายแล้ว จะมีแรงโต้ตอบได้อย่างไรเล่า ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ถูกจับคุกเข่าลงกับพื้น จากนั้นอวิ๋นหว่านถงก็ฟาดมือลงทั้งแก้มซ้ายและแก้มขวา ทำให้ใบหน้าและริมฝีปากของเยี่ยหนานเฟิงมีอาการบวมแดง ทำให้เขาร้องไห้ไม่หยุด
จนกระทั่งในที่สุดเยี่ยหนานเฟิงก็ร้องขอความเมตตา อวิ๋นหว่านถงถึงจะคำนึงถึงทารกในครรภ์ จึงหยุดมือพลางหายใจเข้าออกสองถึงสามครั้งแล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ว่าอย่างไร จะยังยั่วยวนองค์ชายต่อไปอีกหรือไม่”
เยี่ยหนานเฟิงล้มลงกับพื้นอย่างนุ่มนวล ขณะที่ล้มลง ใบหน้าที่เคยอ่อนหวาน บัดนี้บริเวณจมูกกลับช้ำเขียวและใบหน้าบวมแดง ดวงตาและปากก็แยกไม่ออก เขานอนลงกับพื้นโดยค่อยๆ เชิดอกขึ้น เพราะกลัวว่านางจะลงมือต่อ จึงทำได้เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกว่า “ไม่…ไม่ยั่วยวนแล้วขอรับ”
อวิ๋นหว่านถงยิ้มเยาะ “หากองค์ชายห้าเสด็จมา เจ้าจะทำเช่นไร”
เยี่ยหนานเฟิงร้องไห้และรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ “บ่าวจะบอกว่าป่วย ไม่ขอพบองค์ชายห้าขอรับ”
อวิ๋นหว่านถงตะคอกว่า “หากเจ้าให้องค์ชายเห็นใบหน้าบอบช้ำนี้ เจ้าเจอดีแน่” จากนั้นก็เดินจากไปพร้อมยวนยาง
พอกลับไปถึงเรือนของตน เว่ยอ๋องก็ชมภาพวาดเสร็จเรียบร้อยนานแล้วและได้เดินจากไปแล้ว ขณะที่ อวิ๋นหว่านถงนั่งรอเว่ยอ๋องเดินกลับมา แน่นอนว่ารอเพียงไม่นานเว่ยอ๋องก็เดินกลับมาจากหอรุ่ยเสวี่ยอย่างเร่งรีบ ขณะเดินเข้าประตูก็ตะโกนทันทีว่า “เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก! ”
ทันทีที่เขาไปถึงหอรุ่ยเสวี่ย ประตูเรือนของชายคนโปรดก็ปิดสนิท
เว่ยอ๋องเคาะประตูอยู่นานสองนาน แต่ก็ไม่มีใครขานตอบ พอเคาะนานเข้า ก็ได้ยินเพียงเสียงครวญครางดังออกมาโดยให้ตนกลับไปโดยเร็ว
เว่ยอ๋องเรียกบ่าวรับใช้ของหอแห่งนี้มาพบ ถึงจะได้ความว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำให้ทั้งโกรธ ทั้งรีบร้อน เพราะไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บเป็นเช่นไรบ้าง จึงเคาะประตูต่อไป ใครจะไปคาดคิดว่าเยี่ยหนานเฟิงตั้งใจจะไม่เปิดประตูให้เขาเข้าไปอย่างแน่วแน่และบอกอีกด้วยว่ากลัวชายารองจะเอาชีวิตให้ถึงตาย โดยตนก็มิอาจตอบโต้ได้ เพราะคำนึงถึงทารกในครรภ์ ขณพนี้ เว่ยอ๋องกำลังจะสั่งให้คนพังประตู แต่ทว่าเยี่ยหนานเฟิงกลับขู่ว่าจะกลืนทองฆ่าตัวตาย บัดนี้ทำให้เว่ยอ๋องถึงกับจนปัญญา จึงหันหลังกลับมาถามความกับอวิ๋นหว่านถงด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว
หากเป็นเมื่อก่อนคงคว้ามือตบไปนานแล้ว แต่บัดนี้เนื่องด้วยนางตั้งครรภ์ จึงต้องข่มใจไว้
เว่ยอ๋องด่าทอเพียงเท่านี้ ก็พลันตบโต๊ะทันที สุดแสนจะเกรี้ยวโกรธยิ่งนัก แต่เนื่องด้วยไม่มีที่ลง จึงทำได้เพียงนั่งบนเก้าอี้พนักพิงทรงกลมแล้วอุทานด้วยความโมโหว่า “หากเจ้ายังกล้าทำร้ายเขาอีก ครั้งหน้าข้าไม่เก็บเจ้าไว้แน่…”