ตอนที่ 154.1 ตามหาสามี (1)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านถงระเบิดความโกรธที่หอรุ่ยเสวี่ยจนหมดสิ้นแล้ว บัดนี้พอฟังเว่ยอ๋องด่าทอตนเช่นนี้ กลับรู้สึกเสียใจเล็กน้อย โดยทั้งมิได้โต้ตอบและมิได้ร้องไห้ครวญครางแม้แต่น้อย เพียงแต่ตั้งใจฟังเขาระบายความโกรธอย่างเงียบๆ รอเขาดุด่าจนจบและกำลังจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป จึงลุกขึ้นยืน “องค์ชายห้าเพคะ” 

 

เว่ยอ๋องส่งเสียงฮึมฮัมและจ้องมองนางด้วยความโกรธเกรี้ยวโดยมิได้พูดอะไร 

 

ดวงตาของอวิ๋นหว่านถงเอ่อล้นด้วยน้ำตา ดูไม่ออกว่ากำลังเสแสร้งหรือจริงใจกันแน่ อาจผสมปนเปกันคนละครึ่ง “องค์ชายให้โอกาสถงเอ๋อร์เพียงสักครั้งไม่ได้เลยหรือเพคะ ถงเอ๋อร์สู้เยี่ยหนานเฟิงผู้นั้นไม่ได้ตรงไหน องค์ชายทรงแบ่งความรักที่มีต่อเขาให้พวกเราสองแม่ลูกสักครึ่งหนึ่ง พวกเราก็ดีใจมากแล้วเพคะ” 

 

เว่ยอ๋องยังคงฮึมฮัมต่อไปว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องแสดงละครต่อหน้าข้าเช่นนี้ เจ้าอยากได้หัวใจของข้าอย่างนั้นหรือ เอาสถานะองค์ชายของข้าไปก็เพียงพอแล้ว” 

 

น้ำตาของอวิ๋นหว่านถงไหลพรากไม่หยุด “ในตอนแรกหม่อมฉันต้องการพึ่งใบบุญขององค์ชายเพื่อความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียวจริงๆ หม่อมฉันเป็นบุตรีจากอนุภรรยา มารดาของหม่อมฉันเดิมทีเป็นสาวใช้ประจำกายของฮูหยินเอก แต่ถูกบังคับให้ถวายตัวแก่ท่านพ่อและมิได้รับความรักจากท่านพ่อเลยแม้แต่น้อย หม่อมฉันและมารดาอาศัยอยู่ในมุมอับของจวน พึ่งพาเฉพาะคนที่มีเกียรติ มีหน้ามีตาเท่านั้น สิบกว่าปีมานี้ ต้องอดกลั้นฝืนทนอย่างมาก จึงหล่อหลวมทำให้มีความปรารถนาที่จะปีนขึ้นที่สูง มิให้คนดูถูกดูแคลนได้อีก หม่อมฉันผิดด้วยหรือเพคะ เมื่อครั้นแต่งเข้าจวนอ๋องได้ไม่นาน หม่อมฉันคิดเพียงว่าจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข มีกิน มีใช้ มีคนคอยปรนนิบัติเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว แต่มิรู้ว่าหม่อมฉันเริ่มต้องการจะปรนนิบัติรับใช้องค์ชายด้วยความจริงใจและอยากจะเป็นคนในครอบครัวขององค์ชายตั้งแต่เมื่อใด หม่อมฉันไม่ชอบให้ผู้อื่นเข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมกับองค์ชาย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม แม้แต่วันนี้ที่องค์ชายจ้องมองพระชายาฉินอ๋อง หม่อมฉันก็รู้สึกไม่สบายใจ หากองค์ชายยินยอมตัดขาดจากเยี่ยหนานเฟิง หม่อมฉันก็จะกำเนิดบุตรให้แก่ท่านอย่างเต็มความสามารถ จะดูแลและจัดการกิจการภายในจวนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และที่สำคัญคือภายภาคหน้าไม่ว่าองค์ชายจะมีอำนาจหรือไม่ก็ตาม หม่อมฉันก็จะคอยอยู่เคียงข้างโดยไม่หนีหายไปไหนเพคะ…”  

 

พูดยังไม่ทันจบประโยค เว่ยอ๋องก็แสดงความไม่พอใจว่า “เจ้าต้องการอำนาจของข้า หัวใจของข้า คนของข้า เจ้าช่างโลภยิ่งนัก บอกให้ข้าขับไล่คนดีของข้าออกไป เจ้าฝันไปเถอะ ข้าจะบอกเจ้าไว้ตรงนี้ หากจะไล่ ข้าก็ไล่เจ้า ไม่มีทางไล่เขาไปเด็ขาด” 

 

พออวิ๋นหว่านถงเห็นเขายกเท้าขึ้นพร้อมที่จะเดินจากไป จึงอ้าแขนทั้งสองข้างเข้าสวมกอดเอวบางๆ ของเว่ยอ๋องและกล่าวพึมพำว่า “องค์ชายดูสิเพคะ…” พูดพลางคว้าฝ่ามือของเว่ยอ๋องมาวางไว้บนท้องของตน แล้วลูบไปรอบๆ เป็นวงกลมว่า “นี่คือบุตรของพวกเราทั้งสองคนนะเพคะ จะเติบใหญ่อย่างรวดเร็ว หากออกมาดูโลกแล้วแล้ว เพลานั้นคงจะเอ่ยปากเรียกองค์ชายว่าเสด็จพ่อ…” 

 

เว่ยอ๋องแทบจะมิได้สัมผัสกับผู้หญิงเลย แม้ว่าอวิ๋นหว่านถงจะตั้งครรภ์ตั้งแต่ครั้งนั้น แต่เขากลับรู้สึกสับสนและไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นจริง ขณะนี้เขาได้กลิ่นหอมจากผู้หญิงซึ่งแตกต่างจากผู้ชายยิ่งนัก บอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไร คงจะรู้สึกไม่ชอบเพียงเล็กน้อยและอึดอัด แต่ไม่ถึงขั้นรังเกียจ เมื่อฝ่ามือทาบอยู่บนท้องของหญิงสาว ก็รู้สึกเหมือนหัวใจจะกระตุก ในนี้มีเลือดเนื้อเชื้อไขของตนและนี่คือโอรสของเขาจริงๆ หรือ 

 

ช่างประหลาดยิ่งนัก เขาสามารถทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ได้จริงหรือ 

 

เมื่อนึกถึงความตั้งใจแรกของอวิ๋นหว่านถงที่ต้องการจะสัมผัสตนและยังใช้เครื่องหอมทำให้ตั้งครรภ์แล้ว เว่ยอ๋องก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที เลิกคิ้วพร้อมกับยกมือขึ้นแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “พอได้แล้ว อย่าเสแสร้งอีกเลย” ขณะที่พูด เขาก็เดินหนีหายออกไปจากเรือนแล้ว 

 

พออวิ๋นหว่านถงเห็นว่าเว่ยอ๋องยังคงตัดสินใจเลือกเดินจากไป จึงทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ปิดหน้าแล้วร้องไห้เสียงดังลั่นออกมา 

 

ยวนยางซึ่งรออยู่ด้านนอกเห็นเว่ยอ๋องเดินจากไปด้วยใบหน้าสีแดงก่ำ จึงรีบวิ่งเข้ามา และเมื่อเห็นนายหญิงนั่งร้องไห้อยู่กับพื้น ก็รีบช่วยพยุงแล้วเอ่ยว่า “นายหญิงเพคะ พื้นมันเย็นเ รีบลุกขึ้นเถิดเพคะ องค์ชายเดินจากไปแล้ว ไม่ต้องร้องแล้วนะเพคะ…” กลับมองเห็นน้ำตาของอวิ๋นหว่านถงไหลพรากไม่หยุด จึงกอดเข่าพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย 

 

ยวนยางคิดว่านางแค่แสร้งทำเพียงเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะตกหลุมรักขึ้นมาจริงๆ จึงเอ่ยด้วยประหลาดใจว่า “นายหญิงเพคะ…” ถอนหายใจแล้วกล่าวต่อว่า “ท่านก็รู้รสนิยมขององค์ชายดี มิสามารถ…” 

 

อวิ๋นหว่านถงร้องไห้เป็นเวลานาน พอนึกถึงทารกที่อยู่ในครรภ์ จึงลุกขึ้นยืน 

 

*** 

 

เว่ยอ๋องซื่อยวนได้รับมอบหมายให้ส่งเสบียงอาหารสำหรับบรรเทาอุทกภัยไปยังเมืองเยี่ยนหยาง เขตฉังชวนเพื่อไปร่วมขบวนกับฉินอ๋องและขุนนางคนอื่นๆ ช่วยเหลือผู้ประสบภัย 

 

หลังจากที่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไปที่จวนแห่งฉินอ๋อง วันนั้นทั้งจวนต่างได้ทราบข่าวเหตุการณ์ของเขตฉังชวนแล้ว สักพักก็เริ่มกระวนกระวายและบรรยากาศภายในเรือนก็ค่อนข้างจะอึมครึม โดยเฉพาะเกาจ๋างสื่อเอาแต่ถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้มใจตลอดทั้งวัน ชุยอินหลัวได้ยินเรื่องเล่าจากลูกพี่ลูกน้องของตน จึงพักการออกเที่ยวเตร่ไว้ชั่วคราวโดยมิได้ออกไปข้างนอกมาสองสามวันแล้ว ประพฤติตัวดีและพักอาศัยอยู่ในเรือนเล็กทางทิศตะวันตกตลอดทั้งวัน 

 

สถานที่เงียบสงบที่สุดเห็นจะเป็นเรือนหลักของพระชายาแล้ว 

 

ในเรือนก็เฉกเช่นทุกวัน ใครมีหน้าที่ทำอะไร ก็ทำเช่นนั้นต่อไป ทั้งภายในและภายนอกยังคงได้รับการดูแลอย่างเป็นระเบียบ เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งเพิ่มเติมขึ้นมาก็คือ การคัดลอกสาส์นของกองทัพที่ส่งตรงมาจากเขตฉังชวนโดยเฝ้าติดตามสถานการณ์ของทางเขตฉังชวนอย่างใกล้ชิด 

 

เพียงพริบตาเดียว ก็ผ่านไปสองสามวันแล้ว ขบวนกองทัพซึ่งนำโดยเว่ยอ๋องได้ไปถึงเขตฉังชวนแล้ว ทางนั้นกลับนิ่งเงียบและไม่มีข่าวคราวใดๆ ส่งออกมาเลย 

 

สำหรับจวนฉินอ๋องแล้ว ไม่มีข่าวคราวส่งกลับมา ถือว่าเป็นเรื่องดี ซึ่งเท่ากับว่าเสบียงอาหารและเงินอุดหนุนที่เว่ยฮ่องจัดเตรียมไปเพียงพอสำหรับราษฎรป่าเถื่อนเหล่านั้น คงจะไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลใจแล้ว  

 

ในที่สุดคนในจวนฉินอ๋องก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้แล้ว ทุกคนต่างเริ่มปฏิบัติตามหน้าที่ของตนอีกครั้ง 

 

แต่ทว่าภายในใจของอวิ๋นหว่านชิ่นกลับรู้สึกตื่นตระหนก 

 

วันนั้นอากาศไม่ดีนัก เพราะพระอาทิตย์ตกเร็วกว่าปกติและฟ้าก็มืดสนิทก่อนมื้ออาหารค่ำ 

 

ชูซย่าปรนนิบัติพระชายาที่กำลังอ่านหนังสือวิชาแพทย์อยู่ในเรือนหลักและได้ยินเสียงดังเข้ามาจากด้านนอก จึงรีบเปิดม่านแล้วเดินออกไป 

 

ณ ลานกว้าง มองเห็นเพียงเกาจ๋างสื่อกำลังนำทางชายหนุ่มผู้องอาจสง่าผ่าเผยที่คุ้นหน้าคุ้นตาเดินเข้าประตูมา 

 

หากเป็นแขกผู้ชายทั่วไป คงมิถูกพาเข้าไปในเรือนหลักของเจ้านายที่มีพระชายาอาศัยอยู่เพียงคนเดียวอย่างแน่นอน ชูซย่ารู้สึกงงงวย จึงรีบเดินลงบันไดไปเพื่อมองให้ชัดเจน 

 

ชายผู้นี้คือขุนนางผู้ติดตามเยี่ยนอ๋องเสด็จออกราชการแผ่นดิน 

 

เยี่ยนอ๋องส่งเฉียวเวยมาในยามค่ำเช่นนี้ ต้องมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน 

 

การส่งมอบเสบียงอาหารจัดการได้อย่างเหมาะสมแล้ว ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก ชูซย่าโน้มตัวลง “ใต้เท้าเฉียว เยียนอ๋องมีเรื่องอะไรเร่งด่วนหรือไม่เจ้าคะ” 

 

เฉียวเวยอยู่หลังฉากม่าน ชำเลืองมองไปในห้องหลัก “องค์ชายแปดให้ข้ามาเชิญพระชายาไปที่หลี่ฝานย่วน มีเรื่องที่เขตฉังชวนต้องพูดคุยกับพระชายา” 

 

ชูซย่ารู้สึกกังวลใจ “เหวยอ๋องได้จัดส่งเสบียงอาหารและเงินอุดหนุนไปยังเขตฉังชวนแล้วมิใช่หรือ หลายวันมานี้ พระชายาเรียกให้พวกเราคัดลอกสาส์นของกองทัพไว้ แต่ทางนั้นก็มิได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ” 

 

แววตาของเฉียวเวยส่องประกายความขุ่นมัวเล็กน้อย “หากเป็นเรื่องฉุกเฉิน ปกติก็จะไม่มีเขียนบันทึกไว้ในสาส์นของกองทัพ” 

 

ชูขย่าใจแทบเต้นออกมา มิอาจทำให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ได้ จึงรีบไปแจ้งเรื่องให้กับพระชายาทรงทราบ 

 

สองวันมานี้อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกกระวนกระวายใจ และคาดไม่ถึงว่าตนจะมีลางสังหรณ์เช่นนั้นจริงๆ จึงมิได้พูดพร่ำทำเพลงใดๆ รีบผลัดเสื้อผ้าและออกจากเรือนตั้งแต่ตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้า 

 

ขุนนางประจำจวนอ๋องไม่วางใจที่มีเพียงชูซย่าติดตามไปเท่านั้น จึงถือโคมไฟเดินตามเสด็จอยู่ด้านหลัง 

 

เมื่อถึงหลี่ฝานย่วนแล้ว เฉียวเวยจึงพาทั้งสามเข้ามายังห้องทำงานฝั่งห้องหน้ามุข  

 

“องค์ชายแปด พระชายาฉินอ๋องเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เฉียวเวยเคาะประตู เรียนให้ทราบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม  

 

“เชิญพี่สะใภ้สามเข้ามาได้” เยี่ยนอ๋องส่งเสียงเรียกเชิญ น้ำเสียงฟังดูกระวนกระวายและรีบร้อนกว่าปกตินัก 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นฟังจากน้ำเสียงแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าคงเป็นเรื่องใหญ่มิน้อย จึงหันหลังกลับ “เกาจ๋างสื่อ ชูซย่า พวกเจ้ารอตรงหน้าประตูเถิด”  

 

ทั้งสองตอบรับคำ