ภายในห้อง เยี่ยนอ๋องผู้สูงศักดิ์นำมือประสานไว้ด้านหลังและยืนอยู่หลังโต๊ะทำงานทรงยาว บนโต๊ะมีเชิงเทียนให้แสงสว่างอยู่หนึ่งเล่ม ข้างๆ วางสาส์นที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือทั้งหน้ากระดาษ ท้ายสาส์นมีตราประทับสีแดง ราวกับเป็นสาส์นจากทางการ
“พี่สะใภ้สามเชิญนั่งก่อนขอรับ” เยี่ยนอ๋องเดินออกมาจากโต๊ะทรงยาว
อวิ๋นหว่านชิ่นมิได้นั่งลง กลับเดินไปที่หน้าโต๊ะแทน พร้อมกับจ้องมองเยี่ยนอ๋อง “น้องแปด ตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่”
เยี่ยนอ๋องขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหมือนยากที่จะเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมา ผ่านไปชั่วครู่จึงเอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้าไม่ควรพูดกับท่าน แต่พี่สามเป็นพระสวามีของท่าน ข้าคิดไตร่ตรองอยู่นาน จึงเห็นว่าต้องแจ้งให้ท่านทราบ เพื่อให้ท่านได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้า ในเช้าวันนี้ มีสาส์นลับจากเขตฉังชวนส่งเข้ามาในวังเพื่อถวายให้แก่เสด็จพ่อ ข้าจึงได้ส่งคนไปคัดลอกมา” ขณะพูด ก็ยกสาส์นขึ้นมาจากโต๊ะ ส่งให้กับอวิ๋นหว่านชิ่น
อวิ๋นหว่านชิ่นรับมา ข่มใจสงบลง อ่านทุกถ้อยคำตัวอักษร นัยน์ตาเบิกโพลงสั่นเทาเล็กน้อย สีหน้าที่อยู่ใต้แสงไฟก็เริ่มหม่นหมองลง
สาส์นของกองทัพมีเนื้อความว่า ราษฎรที่ประสบอุทกภัยภัยจากเมืองเยี่ยนหยางมิได้รับเสบียงอาหารและเงินอุดหนุนเพียงพอ เสบียงอาหารถูกแบ่งให้แก่ราษฎรผู้ประสบภัย แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการที่ร้องขอ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ราษฎรผู้ประสบภัยเกิดความไม่พอใจยิ่งนัก ความเชื่อมั่นในตัวขุนนางและราชสำนักสั่นคลอน พวกเขารู้สึกว่าราชสำนักหลอกหลวง จึงไม่ยินยอมที่จะเจรจาใดๆ กับทางการอีก วันก่อนหน้านี้มีหัวโจกนามว่าหลี่ว์ปานำราษฎรผู้ประสบภัยกลุ่มใหญ่บุกเข้าไปในจวนประจำเจ้าเมืองเยี่ยนหยาง และจับสมาชิกในครอบครัวของสวีเทียนขุยเจ้าเมืองเยี่ยนหยางไปทั้งหมดสิบเจ็ดคน อีกทั้งยังเข่นฆ่าบ่าวเฝ้าจวนไปอีกหลายราย และทำลายจวนของเจ้าเมืองและศาลาว่าการจนพังเสียหาย
แต่โชคดีที่เจ้าเมืองสวีรักษาชีวิตและหลบหนีออกมาได้ บัดนี้ ได้หลบภัยอยู่กับฉินอ๋องแล้ว
เหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้เยี่ยนหยางวุ่นวายขึ้นไปอีก สถานที่ราชการและจวนของเจ้าเมืองโดนทำลาย สมาชิกในครอบครัวของเจ้าเมืองก็ถูกจับตัวไป แม้กระทั่งเจ้าเมืองเองยังต้องหลบหนีเลย ภาพลักษณ์ของขุนนางในความคิดของราษฎรพังทลายลง ทั้งหมดนี้ทำให้ราษฎรป่าเถื่อนก่อการจลาจล
เมื่อราษฎรป่าเถื่อนได้รับการยั่วยุ ก็ยิ่งทำให้กำเริบเสิบสาน จัดตั้งกองกำลังขึ้นมา โดยยึดศาลากลางเยี่ยนหยางเป็นที่ตั้งมั่น พร้อมกับลุกฮือขึ้นต่อต้านขุนนางประจำเขตฉังชวน
แม้ชาติกำเนิดของหลี่ว์ปาจะเป็นเพียงช่างตีเหล็ก แต่กลับมีความความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวนัก เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว อะไรเขาก็ย่อมทำได้ทั้งนั้น เท่าที่ทราบคือ องค์ชายสามฉินอ๋องจากเมืองหลวงมาถึงเยี่ยนหยางแล้ว เวลานี้ได้พำนักที่ค่ายบัญชาการภายในเมือง จึงได้ส่งสาส์นไปเพื่อขอเจรจา หนึ่งคือ จะขอให้ส่งเสบียงอาหารและเงินอุดหนุนมาให้ครบ สองคือ ให้ราชสำนักรับรองว่าจะไม่เอาผิดกับราษฎรที่ก่อจลาจล
ผู้ตรวจราชการเหลียงของเขตฉังชวน มีนิสัยใจร้อนหุนหันผันแล่น ปกติชอบดูถูกเหยียดหยามราษฎร จึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเจรจารกับราษฎรป่าเถื่อนเหล่านั้น พวกเขาใช้วิธีบุกจับผู้คนได้ เหตุใดเขาจึงจะทำเช่นนั้นตอบกลับไม่ได้ จึงกระทำการลับหลังฉินอ๋องแล้วค่อยกราบทูลให้ทราบในภายหลัง ใช้อำนาจจับกุมครอบครัวของราษฎรผู้ประสบภัย ขู่เข็นให้ราษฎรสารภาพผิด หนึ่งในผู้ที่ถูกจับคือน้องสาวเพียงคนเดียวของหลี่ว์ปา
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เรื่องราวจึงยิ่งเลวร้ายกว่าเดิมนัก ยากที่จะหาทางออกได้ หลี่ว์ปาเป็นคนหัวแข็งดื้อด้าน เมื่อได้ยินว่าครอบครัวของเขาถูกจับตัวไป เหมือนตนถูกฉีกหน้า จึงไม่ยอมที่จะเจรจาใดๆ ต่อไปอีก และตัดสินใจยืนหยัดต่อสู้จนถึงที่สุด เขาได้ฆ่าข้าหลวงอีกหลายรายที่ถูกขังอยู่ในศาลาว่าการ รวมไปถึงนายอำเภอเมืองเยี่ยนหยางด้วย เมื่อยามค่ำคืน ก็นำหัวมาแขวนไว้หน้าประตูเมือง เพื่อข่มขู่ทางการอีกด้วย
ประกอบกับขุนนางเฝ้าประตูเมืองอีกนายต่างเป็นญาติกับราษฎรผู้ประสบภัย หลี่ว์ปาจึงเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาเข้าร่วมเป็นพวกตน ผู้คนเหล่านั้นจึงได้ตกลงเข้าร่วมกองกำลังของหลี่ว์ปา ปิดประตูเข้าออกเมืองทั้งสี่ทิศ และป้องกันไม่ให้ทหารเข้ามาได้
เมืองเยี่ยนหยางถือว่าเป็นเมืองใจกลางหลักของเขตฉังชวน แต่ก็เป็นเพียงเมืองท้องถิ่นเท่านั้น กำลังทหารย่อมมีจำนวนจำกัด ศาลาว่าการที่ใหญ่สุดของเขตก็ได้ถูกหลี่ว์ปายึดไว้แล้ว ขุนนางที่เหลืออยู่ ก็ไม่สามารถต่อต้านกองกำลังของหลี่ว์ปาได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้ตรวจราชการเหลียงจึงขอให้ฉินอ๋องส่งกองกำลังทหารเข้าไปเสริมทัพ
ฉินอ๋องได้นำทหารหลวงติดตามไปด้วย โดยครึ่งหนึ่งให้ตั้งมั่นนอกเมือง ตอนนี้มีทหารติดตามอยู่ข้างกายไม่เกินสองสามร้อยนาย จากจำนวนนี้ ก็มีมากกว่ากองกำลังบ้าคลั่งของหลี่ว์ปาแล้ว หากนำทหารเข้าไปปราบปราม โอกาสชนะย่อมมีอยู่มาก แต่ไม่รู้ด้วยสาเหตุอะไร ฉินอ๋องถึงปฏิเสธคำขอของผู้ตรวจราชการเหลียงเหลียง จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางกองทัพ
หากกองกำลังทหารของฉินอ๋องมิได้มีมากกว่ากองกำลังว่าลี่ว์ปา พวกเขาคงบุกไปกองบัญชาหลวงแล้ว ถึงแม้บัดนี้จะยังไม่ได้กระทำการใดๆ แต่ก็เฝ้ามองด้วยสายตาหึกเหิม
กลางดึกของวานก่อน ขุนนางที่ถูกจับในเมืองเยี่ยนหยางต่างได้เสี่ยงอันตราย แอบหนีออกจากประตูเมืองในยามดึก เพื่อส่งสาส์นลับเร่งด่วนกลับเมืองหลวง
เมื่อวางสาส์นทางการของกองทัพลงบนโต๊ะ อวิ๋นหวานชิ่นเผยสีหน้าอมทุกข์ “เว่ยอ๋องมิได้นำเสบียงอาหารและเงินอุดหนุนไปเพียงพอแล้วหรือ เหตุใดชาวบ้านผู้ประสบภัยเหล่านั้นถึงบอกว่าเสบียงไม่เพียงพอ บัดนี้ เว่ยอ๋องอยู่ที่ใดกัน อยู่ในเมืองเยี่ยนหยางหรือไม่”
ภายใต้แสงเทียน เยี่ยนอ๋องมีสีหน้าที่ลำบากใจนัก “เมื่อไม่กี่วันก่อน เจ้าห้าไปถึงอำเภอเพ่ยใกล้เมืองเยี่ยนหยาง และได้หยุดเพื่อตั้งค่าย โดยสั่งคนเข้าไปส่งมอบเงินอุดหนุนและเสบียงอาหารไปยังเมืองเยี่ยนหยางเพียงครึ่งเดียว มิได้ส่งไปครบจำนวน พี่สามส่งคนไปแจ้งให้เขาส่งอีกครึ่งที่เหลือมา แต่เจ้าห้าก็มิได้ตอบตกลงใดๆ จึงทำให้พี่สามตกอยู่ในสถานการณ์เยี่ยงนี้”
อวิ๋นหว่านชิ่นนัยน์ตาสั่นเทา พูดด้วยน้ำเสียงโมโห “เว่ยอ๋องถือดีอย่างไร ถึงเก็บเงินอุดหนุนและเสบียงอาหารไว้เช่นนี้ อีกครึ่งที่เหลือเหตุใดถึงไม่ส่งมอบให้เล่า ฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้หรือไม่ เขาเอาความกล้าเช่นนี้มาจากไหนกัน! ” ไม่แปลกใจเลยที่ชาวบ้านจะโมโหเดือดพล่านได้ถึงเพียงนี้ เพราะส่งของไปให้เพียงครึ่งเดียวนี่เอง
เยี่ยนอ๋องมีสีหน้าดำทะมึน “เว่ยอ๋องกระทำการเช่นนี้ แน่นอนว่าก่อนออกเดินทางต้องได้หารือกับเสด็จพ่อไว้ล่วงหน้าและได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว”
อวิ๋นหวานชิ่นสงสัย จึงได้แต่ฟังคำจากเยี่ยนอ๋อง “วันนี้ข้าพึ่งได้ทราบข่าวมาจากทางเหยาฝูโซ่ว ว่าก่อนออกเดินทาง เว่ยอ๋องได้เข้าไปพูดคุยกับเสด็จพ่อ ครั้งนี้ถึงจะเป็นการส่งเสบียงอาหารและเงินอุดหนุนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน แต่ราษฎรผู้ประสบภัยเหล่านั้นใช้วิธีการขู่เข็ญทางการเพื่อให้ส่งเสบียงให้ถึงตามจำนวน ช่างป่าเถื่อนไร้เหตุผลสิ้นดี บังอาจสร้างความวุ่นวายและเข่นฆ่าขุนนาง ช่างเป็นพวกเนรคุณ ไม่รู้คุณคนเสียจริง จึงไม่ควรตอบสนองความต้องการของพวกเขาทั้งหมด มิฉะนั้นก็เหมือนเลี้ยงต้นกล้าของความหายนะเอาไว้ แต่ไหนแต่ไรมา เสด็จพ่อก็มีท่าทีไม่พอพระทัยกับนิสัยเจ้าเล่ห์กลับกรอกของคนพวกนี้อยู่แล้ว อยากจะหาโอกาสเพื่อกำราบ ยิ่งถูกเว่ยอ๋องพูดจาโน้มน้าวเช่นนั้น จึงมอบอำนาจการจัดสรรปันส่วนเสบียงอาหารและเงินอุดหนุนให้กับเขา จะจัดสรรอย่างไร ใช้การอย่างไร ให้เว่ยอ๋องจัดการเองทั้งหมด”
“เว่ยอ๋องกระทำการเช่นนี้ เป็นการทำร้ายองค์ชายสามและขุนนางทั้งหมดของเมืองเยี่ยนหยาง” อวิ๋นหวานชิ่นกำมือแน่น
เยี่ยนอ๋องหัวเราะเย้ยหยัน “นี่คงเป็นเป้าหมายขององค์ชายห้า ทั้งได้สร้างความดีความชอบ และยังได้ยืมมือฆ่าคน ทำให้ราษฎรป่าเถื่อนพุ่งเป้าไปที่พี่สาม ในสายตาของราษฎร รู้เพียงว่าราชสำนักไม่จัดส่งเสบียงมาให้ ไม่มีใครสนใจหรอกว่าจะเป็นฉินอ๋องหรือเว่ยอ๋องเป็นคนจัดการกันแน่”
อวิ๋นหวานชิ่นมิอาจทำใจสงบลงได้ “องค์ชายสามมีกำลังทหารในมือเพียงพอ ตามหลักการแล้ว เขาควรบุกเข้าไปในเมืองเพื่อปราบปรามกลุ่มราษฎรป่าเถื่อนนั่น แต่เหตุใดถึงยังไม่คลื่อนไหว”
เยียนอ๋องยักคิ้ว “ข้าเองก็สงสัยเช่นกัน เหตุใดทางพี่สามถึงยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก”
สถานการณ์ในเมืองเยี่ยงยาง ดูแล้วคงซับซ้อนกว่าที่คิดไว้นัก จึงทำให้เขายังคงกังวล มิกล้าผลีผลามทำการใดๆ อย่างเร่งรีบ อวิ๋นหวานชิ่นคิดในใจ
ลมพัดยามค่ำพัดผ่านช่องหน้าต่าง ไฟบนเปลวเทียนสั่นไหว บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความเงียบสงบ และหนาวเย็นจนอาจทำให้ต้นไม้เหี่ยวเฉา
เพียงชั่วครู่ อวิ๋นหว่านชิ่นกำแขนเสื้อไว้แน่น พยายามทำน้ำเสียงให้นิ่งสงบที่สุด “ฮ่องเต้กล่าวอย่างไรบ้าง”
เยี่ยนอ๋องยากที่จะพูดออกมาได้ และคิ้วก็ขมวดเป็นปม “หลังจากเสด็จพ่อทรงทราบเรื่องของเขตฉังชวนแล้ว ก็ทรงกริ้วมาก เดิมทีอยากให้แม่ทัพใหญ่เฉินนำทัพไปปราบราษฎรป่าเถื่อน เพราะแม่ทัพใหญ่เฉินช่วงนี้หลบลมหนาวอยู่ที่จวน จึงสั่งให้ท่านแม่ทัพเฉินจ้าว บุตรชายเขารับหน้าที่นำทัพไปยังเมืองเยี่ยนหยางแทน โดยให้เดินทางยามรุ่งสางของวันพรุ่งนี้”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มอย่างเย็นชา “ฮ่องเต้มิได้ทรงคิดถึงความปลอดภัยขององค์ชายสามเลย”
เยี่ยนอ๋องลำตัวสั่นเทา ทำได้เพียงถอนหายใจยาว