ในช่วงเวลานี้ มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น เกาจ๋างสื่อที่ยืนรออยู่ตรงหน้าประตูได้ยินเรื่องราวทั้งหมดอย่างชัดเจน พอฟังถึงตอนนี้ ก็อดกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ไม่สนใจคำทัดทานของเฉียวเวยและชูซย่าเลย จึงบุกเข้ามาแล้วกล่าวว่า “องค์ชายแปด ฮ่องเต้ทรงกระทำเช่นนี้มิได้พ่ะย่ะค่ะ! บุกเข้าไปเมืองเยี่ยนหยางเช่นนี้ ไม่ยิ่งทำให้พวกราษฎรป่าเถื่อนสู้แบบหมาจนตรอกเลยหรือ แค่เพียงส่งเสบียงอาหารให้แก่ราษฎรที่เดือดร้อนและปลอบประโลมราษฎรก่อนแล้วค่อยตกลงว่าจะทำเช่นไรต่อไปมิได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนอ๋องโมโห พลางกำมือทุบโต๊ะ “ก็เพราะคำโน้มน้าวของพวกเว่ยอ๋องกับนางเหวยซื่อที่เสนอความเช่นนี้ต่อเสด็จพ่อ ห้ามลดราวาศอก ห้ามลดราวาศอก หากยอมอ่อนข้อ ภายภาคหน้าหากเกิดภัยพิบัติกับเมืองอื่น ก็ต้องยอมเช่นเดียวกันหรือ ผู้คนใต้หล้าคงหัวเราะเยาะราชสำนักเป็นแน่แท้ เพียงกลุ่มราษฎรป่าเถื่อนจำนวนเพียงหยิบมือก็สามารถข่มขู่ราชสำนักได้แล้ว ยังพูดถึงเกียรติอะไรอีก อีกทั้งราษฎรพวกนี้กระทำการเกินกว่าเหตุ ใจกล้าสามหาว กล้าทำลายสถานที่ราชการ จับกุมขุนนาง และยังเข่นฆ่าผู้คนอีกจำนวนหนึ่ง เสด็จพ่อยิ่งใหญ่คับฟ้า เหตุใดถึงต้องเจรจากับพวกมันด้วยเล่า ถึงอย่างไร เรื่องทั้งหมด องค์ชายห้าเป็นคนสร้าง หากไม่ใช่เพราะเขาไม่ยอมส่งมอบเสบียง ราษฎรผู้ประสบภัยคงไม่ถูกบีบบังคับจนไม่มีทางเลือกเช่นนี้ และเรื่องราวคงไม่ดำเนินมาถึงขั้นนี้! เขาทำเพื่อความดีความชอบ มิได้สนใจชีวิตพี่สามและขุนนางในเมืองเยี่ยนหยางเลย!”
เกาจ๋างสื่อกระวนกระวายใจ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้จะยืดเยื้อไปถึงเมื่อไหร่ พระโอสถที่องค์ชายสามนำไปก็มีอย่างจำกัด อีกทั้ง มิได้พาหมออิงไปด้วย หากเหตุการณ์ยืดเยื้อเป็นเวลานาน แล้วจะเป็นเช่นไร ต่อให้โอสถมีเพียงพอ แต่ก็ต้องการคนที่เข้าใจพระอาการประชวรไว้ถวายการดูแล เมื่อคิดได้เช่นนี้ จึงตัดสินใจว่า “องค์ชายแปดให้บ่าวตามแม่ทัพเฉินน้อยไปยังเขตฉังชวน ทั้งได้นำพระโอสถไปส่ง และยังได้ตามถวายดูแล จะได้วางใจได้พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนอ๋องลำบากใจ “ถ้าหากเป็นข้าคงจะง่ายกว่า แต่ครั้งนี้เฉินจ้าวเป็นผู้นำทัพ เขาเป็นแม่ทัพหลัก เข้มงวดกับกองกำลังนัก หากจะแทรกตัวเข้าไปคงเป็นไปมิได้ ทำได้เพียงไปแจ้งให้เขาทราบก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะยินยอมหรือไม่ พวกเจ้าก็รู้หนิ เขาผู้นี้เป็นคนหัวโบราณที่เคารพกฎระเบียบอย่างที่สุด”
อวิ๋นหว่านชิ่นใช้ดวงตาที่แน่วแน่คู่นั้นมองจ้องมาแล้วกล่าวว่า “แม่ทัพเฉินน้อยตอนนี้เขาอยู่ที่ใดกัน”
เยี่ยนอ๋องกล่าว “เมื่อกลางวันรับราชโองการ เฉินจ้าวอยู่ที่ค่ายฝึกกองกำลังทหาร พรุ่งนี้ก่อนรุ่งสางต้องออกเดินทาง บัดนี้เขาคงกลับจวนแม่ทัพเพื่อเตรียมตัว”
อวิ๋นหว่านชิ่นใช้แววตาครุ่นคิด เหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่างอยู่
เกาจ๋างสื่อที่อยู่ในภวังค์ความคิด ก็คิดขึ้นมาได้ว่า “องค์ชายแปด ข้าน้อยมีเรื่องจะทูลขอ หากมิใช่ท่าน ข้าน้อยไม่รู้จะไปขอร้องใครได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนอ๋องกัดฟัน “พอได้แล้ว ไม่ต้องไปสนใจแล้ว เกาจ๋างสื่อตามข้าไปหาเฉินจ้าว อย่างมากข้าก็แค่พูดขอร้อง ดูสิว่าจะขอร้องคนหัวโบราณเช่นเขาได้หรือไม่” ขณะที่พูด ได้ดึงแขนของเกาจ๋างสื่อไว้ เขาลุกขึ้นมาแล้วเดินตามเยี่ยนอ๋องออกจากห้องไป แต่ทั้งสองได้ยินเสียงเรียกจากหญิงสาว “ช้าก่อน”
ทั้งสองหันหน้ากลับมา พลางจ้องมองไปทางอวิ๋นหว่านชิ่น น้ำเสียงนางมีความเยือกเย็น แต่ก็มีความมั่นใจปนอยู่ “เกาจ๋างสื่อรออยู่ที่จวน ข้าจะไปเอง”
สิ้นเสียงพระชายา เยี่ยนอ๋องกับเกาจ๋างสื่อยังไม่เดินกลับมา ชูซย่าตกใจ รีบจับไปชายเสื้อของพระชายาไว้ “พระชายา ท่านจะไปได้เยี่ยงไรเจ้าคะ”
เยี่ยนอ๋องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “พี่สะใภ้สาม ท่าน ท่านไม่ได้พูดล้อเล่นใช่หรือไม่”
เกาจ๋างสื่อร้อนใจเช่นกัน “บ่าวเข้าใจว่าพระชายาเป็นห่วงองค์ชายสาม แต่สถานที่เช่นนั้นพระชายาจะเสด็จได้อย่างไร หากกองทัพของแม่ทัพเฉินน้อยถูกราษฎรป่าเถื่อนโจมตี พระชายาจะตกอยู่ในอันตราย ไม่ได้ อย่างไรแล้ว พระชายาก็ไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองไปที่เกาจ๋างสื่อ “ข้าชำนาญทางด้านการแพทย์มากกว่าเจ้านะเกาจ๋างสื่อ และก็รู้อาการป่วยขององค์ชายสามเป็นอย่างดี ให้ข้าไปเหมาะสมที่สุดแล้ว” ระหว่างที่พูดต่อ น้ำเสียงทุ้มต่ำลง “และที่สำคัญที่สุด ผู้นำทัพครั้งนี้ แม่ทัพเฉินน้อยกับข้ารู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ข้าไปกับเขา หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สู้ดีกับองค์ชายสาม ข้าอยู่ที่นั่น อย่างน้อยก็มีโอกาสให้การช่วยเหลือได้”
เยี่ยนอ๋องส่ายหัว ยืนหยัดอย่างแน่วแน่ “เมืองเยี่ยนหยางบัดนี้ถูกปิดแเล้ว ด้านในมีราษฎรป่าเถื่อนมากมาย พี่สะใภ้สาม สถานที่แห่งนั้นมิใช่เมืองที่งดงามและสงบอย่างเมืองหลวง ท่านคาดไม่ถึงหรอกว่ามันจะวุ่นวายถึงเพียงใด! หากเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้น ท่านจะยับยั้งเช่นไร ไม่ได้! หากพี่สามรู้ว่าข้าเป็นคนปล่อยให้ท่านไป ต้องฆ่าข้าเป็นแน่ ต่อให้เป็นเฉินจ้าว ข้าก็ไม่ไว้ใจให้ท่านไป!”
อวิ๋นหวานชิ่นเงยหน้ามองดูท้องฟ้าก็รู้ว่าค่ำแล้ว ไม่อยากจะต่อความยาว สะบัดแขนเสื้อ พูดอย่างอดกลั้นไม่ไหวว่า “ตำแหน่งพระชายาฉินอ๋องของข้าเป็นเพียงชื่อตำแหน่งเท่านั้นหรือ หากเจ้ากล้าพูดอีกสักคำ ก็ไสหัวออกไปได้เลย”
เกาจ๋างสื่อและชูซย่าเห็นว่าสิ่งที่ตนเองพูดทำให้พระชายาโมโห จึงมิบังอาจเอ่ยปากพูดอีกต่อไป ได้แต่เดินตามอวิ๋นหว่านชิ่นออกไป
เยี่ยนอ๋องรู้ว่านางต้องไปหาเฉินจ้าวอย่าแน่นอน จึงรีบเดินมาขวางไว้ สะบัดเสื้อให้เกิดความฮึกเหิม “พี่สะใภ้สาม หากท่านยืนกรานจะไปให้ได้ หากข้าทูลกล่าวกับเสด็จพ่อให้จับท่านไว้ก็อย่าได้กล่าวโทษข้า! ต่อให้ข้ารู้ว่าท่านจะถูกลงโทษ ก็ไม่อาจทนเห็นท่านเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นได้!”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองลงไปด้านล่าง สบโอกาสตอนที่เขาเผลอ ส่งเสียงเรียกร้องความสนใจแล้วดึงมีดสั้นที่ใช้ป้องกันตัวเองออกจากฝักหยกที่อยู่บริเวณเอวของเขา กำมีดแน่น นำมีดออกจากฝัก จี้ไปที่ลำคอของตนเอง “น้องแปดเจ้ายังจะกราบทูลอยู่หรือไม่”
เยี่ยนอ๋องตกใจ ฝืนยิ้ม รีบยกมือ ค่อยๆ ห้ามปรามอย่างช้าๆ “ท่านทำอะไร พี่สะใภ้สามใยต้องจริงจังเพียงนี้ วางมีดลงเถิด! ระวังมีดด้วย เรื่องเช่นนี้อย่าเอามาล้อเล่นอีกเลยนะขอรับ”
อวิ๋นหว่านชิ่นโยนมีดลงกระทบพื้น “ไป!” กล่าวจบแล้วก็พาทั้งสองออกจากหลี่ฝานย่วน
เฉียวเวยตกตะลึงจนตาค้าง เมื่อทั้งสามเดินจากแล้ว ถึงได้สติกลับคืนมา จึงวิ่งไปที่ข้างองค์ชาย “ท่านจะให้พระชายาฉินอ๋องจากไปเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
นำมีดตั้งตรงเช่นนั้น คงตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ข้าจะห้ามได้อย่างไร ในเมื่อทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ ข้าก็ทำได้เพียงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และมองตามไปยังเงาด้านหลังของพี่สะใภ้สามที่เดินไปเตรียมการ แล้วถอนหายใจ “เฉียวเวย เจ้าว่าพี่สามคงไม่ฆ่าข้าหรอกใช่หรือไม่”
***
ทั้งสามเดินทางกลับจวนฉินอ๋อง
อวิ๋นหวานชินสั่งให้หมออิงเตรียมพิษงูและยารักษาโรค เรียกเกาจ๋างสื่อ ชูซย่า เจินจูและฉิงเสวี่ยเข้ามาในห้อง ปิดประตูหน้าต่าง มอบหมายหน้าที่อันสำคัญในช่วงเวลาที่ไม่อยู่
ช่วงที่ไม่อยู่จากนี้ไป ให้เกาจ๋างสื่อส่งจดหมายเข้ากรม เพื่อแจ้งลาป่วยให้แก่ตนเอง บอกคนภายนอกว่าล้มป่วยจากลมหนาว ไม่สามารถพบเจอผู้คนและโดนลมหนาวได้ จึงมิสามารถเข้าวังได้ ชูซย่า เจินจูและฉิงเสวี่ย ต้องร่วมกันหาเหตุผลเพื่อเบี่ยงเบน ปิดบังความจริงจากคนภายนอก แม้แต่คนในบ้านก็ห้ามพูดถึง และแม้แต่ชุยอินหลัวก็ห้ามบอก
พระชายาออกจากเมืองหลวงโดยลำพัง ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ไปสถานที่อื่นยังพอได้ แต่ครั้งนี้ไปถึงเขตฉังชวนที่มีการก่อจลาจลอยู่ หากเบื้องบนรู้เข้า คงโดนลงโทษเป็นแน่แท้ เกาจ๋างสื่อและทุกคนจึงรีบขานตอบทันที
หลังจากมอบหมายหน้าที่ต่างๆ เสร็จสรรพแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นก็ใจเต้นแรง เก็บของไม่กี่อย่างที่สามารถจะใช้ได้ แล้วลุกขึ้นส่งเสียง “เกาจ๋างสื่อนำกล่องไม้จันทร์ที่ใต้เท้าเฟิ่งมอบเป็นของขวัญให้ข้าเมื่อหลายวันก่อนมาให้ข้าที่ห้อง”
เกาจ๋างสื่อรู้ดีว่าพระชายาจะกระทำการอันใด ถึงแม้ไม่สบายใจยิ่งนัก แต่ก็ไม่มีเวลาจะไถ่ถามอะไรมาก จึงรีบทำตามคำสั่ง
ชูซย่ากังวลอยู่นาน จึงเดินออกไปขอร้องอย่างเวทนา “พระชายา พาบ่าวไปด้วยเถิด! บ่าวเป็นห่วงท่านจริงๆ เจ้าค่ะ!”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองเห็นชูซย่าดวงตาแดงก่ำและโน้มตัวจับเสื้อของตนไว้แน่น มองเห็นแล้วก็ใจอ่อน ดึงมือของชูซย่าขึ้นมาจับแล้วลูบเบาๆ “ข้าไปคนเดียวยังหลบหูหลบตาของผู้คนได้ไม่ง่ายเลย หากพาเจ้าไปด้วยก็จะยิ่งลำบาก เรื่องราวครั้งนี้ ยิ่งน้อยคน ยิ่งจัดการได้ง่ายขึ้น”