“ข้าบอกให้ทำเช่นนั้นเมื่อไรกัน!”

 

ฉันจ้องมองราธบันด้วยความตกใจ แก้มฝั่งซ้ายของเขามีรอยมือที่แดงจนไม่ว่าใครก็สังเกตเห็นได้ในแวบเดียว หากเป็นแผลจากปีศาจก็ว่าไปอย่าง บางทีเลออนคงเป็นชายคนแรกที่ทิ้งรอยมือไว้บนหน้าของผู้บัญชาการหน่วยอัศวินแห่งวิหาร

 

ได้ยินดังนั้น เลออนก็พูดด้วยท่าทางที่ราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรมจะแย่

 

“ถ้าจะไม่ให้คาร์ลสงสัยก็ต้องทำเช่นนี้ ลีน่า”

 

จากนั้นเลออนก็มองไปที่ราธบันราวกับสั่งว่าเจ้าก็พูดด้วยสิ

 

“ว่าไหม เซอร์ราธบัน?”

 

ราธบันพยักหน้าเห็นด้วยเมื่อได้ยินคำพูดของเลออน เห็นท่าทางของทั้งสองคนแล้วฉันก็กุมหน้าผากไปโดยไม่รู้ตัว

 

‘จริงอยู่ว่าฉันขอให้เลออนไปเป็นพวกเดียวกับคาร์ล…’

 

แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะทำให้หน้าของราธบันออกมาเป็นอย่างนี้ หรือพูดให้ชัดคือฉันไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะเลือกวิธีแบบนี้!

 

ฉันเข้าไปใกล้ราธบันและพิจารณาใบหน้าของเขา เมื่อฉันทำสัญญาณมือให้ก้มลงมาหน่อย ราธบันก็ค้อมตัวลงและยื่นหน้ามาหาฉันทันที พอได้มองใกล้ๆ ก็ยิ่งเห็นชัดขึ้น นี่เลออนใช้เรี่ยวแรงถึงขนาดไหนกันแน่ ผิวของเขาถึงได้มีรอยฟกช้ำดำเขียวอยู่ทั่ว ไม่ใช่แค่รอยแดงเท่านั้น

 

“นี่จะทำอย่างไร…”

 

ฉันพึมพำพลางยกมือวางบนแก้มของราธบัน ทันใดนั้นร่างกายของราธบันก็แข็งเกร็งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลง ขนตายาวแพหนาสั่นน้อยๆ ในตอนที่ฉันกำลังจ่ดจ่อสายตากับท่าทางที่คาดไม่ถึงของราธบัน แสงสีฟ้าครามพลันหมุนวนขึ้นบนปลายนิ้ว

 

“…!”

 

พลังศักดิ์สิทธิ์ที่รวมตัวอยู่ปลายนิ้วปกคลุมแก้มข้างที่บาดเจ็บของเขา แสงสีฟ้าครามไหวกระเพื่อมราวกับปลอบประโลมก่อนจะหายไปในไม่ช้า บริเวณที่พลังศักดิ์สิทธิ์จางหายเหลือเพียงใบหน้าเกลี้ยงเกลาของราธบันที่ไม่รู้ว่าเคยบาดเจ็บตอนไหน ในตอนที่ฉันกำลังจะแตะแก้มเขาด้วยความพึงพอใจ เลออนก็ตะโกนขึ้นมา

 

“ข้าเองก็บาดเจ็บเหมือนกัน!”

 

ตะโกนจบ เลออนก็รีบเดินเข้ามาข้างฉันแล้วยื่นมือให้ ใต้มือที่ค่อนข้างขาวของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง หากปล่อยทิ้งไว้ อีกไม่นานมันก็คงจะฟกช้ำเหมือนอย่างราธบัน

 

“จริงเสียด้วย”

 

เลออนมีสีหน้าเศร้าสร้อย

 

“…ท่านคิดว่าข้าโกหกหรือ?”

 

“ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น…ข้าเพียงแค่ไม่คิดว่าคนตีจะบาดเจ็บเช่นนี้ด้วย”

 

“นั่นมิใช่ว่าเพราะเซอร์ราธบันแข็งแรงมากเกินหรอกหรือ”

 

ราธบันเพียงแค่หยักไหล่เมื่อได้ยินดังนั้น แต่ก็นะ สำหรับอัศวินแล้ว คำว่าแข็งแรงไม่ถือเป็นคำด่า เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูสบายใจของราธบัน ไม่รู้ทำไมเลออนกลับยิ่งมีสีหน้าหงุดหงิดกว่าเดิม

 

“ข้าเองก็อยากขอให้ท่านรักษาให้เช่นกัน…แต่คงไม่ได้สินะ”

 

เลออนกล่าวพลางถอนหายใจยาว เป็นอย่างที่เขาพูด ฉันไม่สามารถรักษาให้เลออนได้แม้จะรักษาให้ราธบัน เพราะเขาจะต้องไปพบคาร์ลพร้อมกับร่องรอยที่เกิดขึ้นจากการลงทุนชกราธบัน

 

เพื่อที่จะดึงคาร์ลลงมา ฉันได้ไหว้วานหน้าที่แต่ละอย่างให้กับชายทั้งสาม

 

แอสรันสร้างหลักฐานต่างๆ เพื่อใส่ร้ายคาร์ล ส่วนราธบันรับหน้าที่แสดงสิ่งที่แอสรันเตรียมเอาไว้ให้ทุกคนเห็น และสุดท้าย ฉันไหว้วานให้เลออนโน้มน้าวเหล่านักบวชที่ยังสับสนมาเป็นพวก ซึ่งนักบวชเหล่านั้นรวมถึงคาร์ลด้วย

 

แม้เรื่องทั้งหมดนี้จะขาดแอสรันและราธบันไปไม่ได้ แต่ทั้งสองคนก็เห็นตรงกันว่าหน้าที่ของเลออนสำคัญที่สุด และทั้งสองคนยังรู้อีกด้วยว่าหน้าที่นั้นมีเพียงเลออนที่สามารถทำได้

 

‘แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดว่าเขาจะใช้วิธีแบบนี้…’

 

เลออนกล่าวว่าตนจะแสร้งทำเป็นขัดแย้งกับราธบันจากนั้นเขาก็จะไปเข้าหาคาร์ล ตอนนั้นฉันคิดแค่ว่าเขาคงทำเป็นโต้เถียงกันต่อหน้าคนหมู่มาก แต่ใครจะคิดว่าจะมาทะเลาะตบตีกันถึงขนาดนี้ แต่นี่ก็ไม่อาจกล่าวโทษเลออน เพราะเมื่อดูใบหน้าราธบันชัดๆ แล้ว ไม่ว่าใครก็คงไม่เชื่อว่าราธบันกับเลออนอยู่ฝ่ายเดียวกันแน่

 

‘ถึงจะดูเหมือนเขาแอบฉวยโอกาสก็เถอะ’

 

เลออนมองมือตนเองพลางทำสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม ฉันมองเขาด้วยสายตาสงสัย ทันใดนั้นเลออนก็เป่ามือฟู่วๆ อย่างหน้าไม่อายราวกับมือของเขาเป็นสิ่งที่น่าสงสารที่สุดในโลก ท่าทีแบบนั้นของเขาทำให้ฉันหลุดหัวเราะอย่างเหลืออด เลออนมองฉันอยู่สักพัก ก่อนจะพูดกับราธบัน

 

“เช่นนั้นแล้วคุณผู้บัญชาการผู้ได้รับความรักความเอ็นดูจากท่านนักบุญหญิงก็ควรออกไปข้างนอกได้แล้วกระมัง? มิใช่ว่าต้องไปอวดใบหน้าที่หายดีแล้วให้ทั่ววิหารหลวงหรอกหรือ”

 

ราธบันมองหน้าฉันเมื่อได้ยินคำพูดของเลออน ฉันคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าให้เขา ทันใดนั้นเขาก็หันมองเลออนครั้งหนึ่ง แล้วออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรอีก

 

“เซอร์ราธบันนี่ยอมถอยออกไปง่ายกว่าที่คิดนะ?”

 

“ราธบันเองก็คงรู้สึกได้เช่นกัน”

 

ฉันตอบพลางจ้องเลออนอย่างตรงไปตรงมา

 

“ท่านคงมีอะไรอยากพูดกับข้าในตอนที่ราธบันไม่อยู่กระมัง?”

 

เลออนอมยิ้ม

 

“เห็นชัดขนาดนั้นเลยหรือ?”

 

“ให้พูดตรงๆ ก็… ใช่”

 

จนถึงตอนนี้ เลออนมักจะพูดอ้อมค้อมอยู่เสมอ ดังนั้นจึงยากที่จะเข้าใจได้ว่าเขาต้องการอะไรในครั้งเดียว เรื่องที่ทำให้เขาไม่อ้อมค้อมและพูดตรงๆ มีเพียงตอนที่เขาพูดความรู้สึกที่มีต่อฉันซึ่งยากจะเรียกว่าการสารภาพ

 

เขาชัดเจนเสียจนแม้แต่ราธบันที่ไม่ค่อยใส่ใจยังรู้สึกได้ในครั้งเดียว เขาตั้งใจจะพูดอะไรกับฉันในตอนที่ราธบันไม่อยู่กันแน่

 

ฉันกุมมือรอฟังคำถามของเลออนด้วยความประหม่า ทันใดนั้น เขาก็เอ่ยถามสิ่งที่ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อน

 

“…ท่านพอจะจำเรื่องเกี่ยวกับนักบวชที่ชื่ออาริคได้หรือไม่?”

 

ทันทีที่เลออนเอ่ยชื่อนั้นออกมา จู่ๆ ลำคอของฉันก็รู้สึกตีบตัน น้ำตาหยดลงมาดังแหมะ นี่เป็นการตอบสนองของอีเบลลีน่า

 

***

 

คาร์ลนั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้ เสียงเสื้อเกราะกระทบกันและเสียงฝีเท้าของเหล่าอัศวินดังอยู่อีกฟากหนึ่งของประตู และในตอนที่ได้ยินชื่อของราธบันในคำพูดของเหล่าอัศวิน คาร์ลก็กัดฟัน

 

‘มันกล้า’

 

ภาพที่ราธบันสั่งให้ลากตัวเขายังแจ่มชัดอยู่ตรงหน้า

 

ราธบันเป็นคนที่คาร์ลทุ่มเทมานานมากแล้ว ทว่าเขาจำเป็นต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่นทั่วไป เพราะวิธีการธรรมดาใช้ไม่ได้กับราธบัน

 

คาร์ลรู้ว่าราธบันต่างจากคนอื่นตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นนักบวชฝึกหัดก่อนจะเป็นอัศวิน

 

แม้จะเตรียมใจเข้ามาในวิหารหลวงอย่างไร แต่เด็กส่วนใหญ่ก็ยังยากจะยอมรับความจริงที่ตนต้องตัดสัมพันธ์กับพ่อแม่ ด้วยเหตุนั้นจึงยังมีคนที่ร้องไห้และบอกว่าจะกลับไปเพราะความคิดถึงอยู่บ้าง แต่ท่ามกลางนักบวชฝึกหัดเหล่านั้น ราธบันกลับไม่เคยมีท่าทีเช่นนั้นเลยแม้สักครั้ง เขาทำตัวราวกับว่าวิหารหลวงคือสถานที่ที่เขาควรอยู่มาตั้งแต่แรก

 

จากนั้นมา ราธบันเป็นคนซื่อตรงและไม่หวั่นไหวอยู่เสมอ มิใช่แค่การกระทำของเขาเท่านั้น เขาเคร่งครัดในกฏระเบียบของวิหารจนถึงขนาดที่หากให้เลือกคนที่มีความซื่อสัตย์มากที่สุดในวิหารหลวง คนส่วนใหญ่ก็จะเอ่ยถึงชื่อของราธบันออกมา

 

สำหรับคนเช่นนั้น อย่างไรก็คงจะใช้วิธีการของเขาไม่ได้ ดังนั้นคาร์ลจึงต้องสร้างภาพนักบวชผู้ซื่อสัตย์และจริงใจต่อหน้าราธบันเสมอ เขาเคยคิดว่ามันได้ผลไม่น้อยแล้วเชียว

 

‘คนเช่นนั้นไปเกาะติดนักบุญหญิงเสียแล้ว’

 

ระหว่างที่เขากำลังจมอยู่กับความคิดก็ได้ยินบทสนทนาของเหล่าอัศวินดังขึ้นจากด้านนอก

 

“มิได้ขอรับ ได้โปรดกลับไปเถิด ไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมทุกประการ”

 

ดูเหมือนจะมีนักบวชบางคนมาพบเขา เขาได้ยินเสียงคนพูดอะไรบางอย่างก่อนจะห่างออกไปอีกครั้ง เขาคงกลับไปเฉยๆ เมื่อได้รับคำปฏิเสธที่ชี้ขาดจากเหล่าอัศวิน คาร์ลกัดฟันอีกครั้ง เป็นเรื่องดีที่มีคนมาหา ทว่าจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาสามวันแล้วที่เขาถูกขังอยู่ในห้องของตนเอง จำนวนของนักบวชที่มาหาเขากำลังลดลงอย่างเห็นได้ชัด นั่นทำให้คาร์ลรู้สึกกระวนกระวายใจ

 

‘ข้าต้องไปพบด้วยตัวเอง’

 

ความเลื่อมใสที่ทุกคนมีต่อเขากำลังสั่นคลอนเป็นครั้งแรก ยิ่งเป็นแบบนี้ เขาก็ยิ่งต้องไปพบนักบวชแต่ละคนด้วยตัวเองเพื่อเรียกความเชื่อใจกลับมา แต่อย่าว่าแต่ทำเช่นนั้นเลย นี่เขาทำไม่ได้แม้กระทั่งจะพูดกับใครสักพยางค์ด้วยซ้ำ

 

‘พลาดแล้ว’

 

เขาเคยคิดว่าขอแค่เขาได้กลับมาก็คงไม่มีเรื่องยากใดๆ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเคลื่อนไหวช้าไปสักหน่อย เขาคิดว่าอย่างไรเสียเรื่องที่เขาจะได้เป็นผู้อาวุโสก็เหลือเพียงแค่เวลาเท่านั้น และเรื่องอื่นๆ ก็เป็นปัญหาที่สามารถจัดการได้หลังจากได้กลายเป็นผู้อาวุโสแล้ว

 

เรื่องที่เขาพลาดไม่ได้มีแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว

 

หลังจากที่เขาถูกขัง สิ่งของที่ทำให้เขาเสียเปรียบก็ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ราวกับรออยู่แล้ว หรือต่อให้ไม่ใช่เพราะของเหล่านั้น แต่เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับพลังเวทที่เกิดขึ้นหลังจากเขากลับมาก็กำลังบ่มเพาะความไม่ไว้วางใจในจิตใจของเหล่านักบวชอย่างรวดเร็ว

 

‘ข้าจำเป็นต้องมีตัวแทนสักคนในตอนที่ไม่อยู่’

 

คาร์ลนึกถึงชื่อเหล่านักบวชระดับสูงที่เชื่อฟังเขา แม้มีนักบวชหลายคนที่ให้การสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ แต่เขาจำเป็นต้องมีบุคคลที่สามารถเป็นตัวแทนเขาได้สักคน แต่ขณะที่คิดว่าจะใช้ใครมาเป็นตัวแทน คาร์ลก็พบว่าเลือกไม่ได้เลย

 

‘ให้ตาย น่าจะจับองค์ชายรัชทายาทไว้’

 

เขารู้มาว่าในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ องค์ชายรัชทายาทได้โน้มน้าวเหล่านักบวชจำนวนมากในวิหารหลวงราวกับต้องการบอกว่าความคิดเห็นของสาธารณชนที่กล่าวว่าเจ้าตัวเป็นคนเฉลียวฉลาดแม้จะดูจองหองมิใช่เรื่องโกหก อีกทั้งองค์ชายรัชทายาทยังเคยเข้าหาเขาอย่างเป็นมิตรและกล่าวว่าอยากจะสานสัมพันธ์กับผู้อาวุโสคนต่อไป

 

หากว่าได้จับมือกับอีกฝ่ายอย่างจริงจัง มันคงจะช่วยได้มากในตอนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

 

‘…รู้อย่างนี้ไม่น่าทำเรื่องไร้สาระเช่นนั้นเลย’

 

เพื่อที่จะได้ดูเรื่องสนุก เขาถึงได้จัดฉากให้องค์ชายรัชทายาทเข้าไปอยู่ในห้องเดียวกันกับนักบุญหญิงและราธบัน ทว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่สนุกเอาเสียเลย เขาเองก็เห็นแล้วว่าใบหน้าขององค์ชายรัชทายาทตอนออกจากห้องไปมันยุ่งเหยิงถึงเพียงไหน ดูจากสภาพการณ์แล้วองค์ชายรัชทายาทคงไม่เข้าหาตนอีกแล้วแน่

 

คาร์ลทึ้งผมตนเองด้วยความหงุดหงิด จากนั้นย้อนนึกถึงท่าทีของนักบุญหญิงที่ส่งสายตามาทางเขาด้วยความสมเพช

 

กรอดเสียงกัดฟันเล็ดลอดผ่านริมฝีปาก ในตอนที่เขาได้ยินข่าวว่านางเรียกตัวกลับมายังวิหารหลวงอีกครั้ง เขาก็มั่นใจ

 

‘นางทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้วแน่’

 

นักบุญหญิงต้องการกำจัดรอยอย่างถึงที่สุด แน่นอนว่าเขาไม่มีทางบอกวิธีเป็นอันขาด เหตุใดเขาต้องสละเครื่องมือที่ดีที่สุดอย่างนักบุญหญิงที่ตนนำมาไว้ในมือและบงการได้ด้วย เขาหัวเราะออกมาตอนที่ได้ยินข่าวคราวว่า หลังจากที่นักบุญหญิงขับไล่เขาออกมายังวิหารชายแดนราวกับเนรเทศ นางก็พาชายหนุ่มมาทุกคืน

 

‘นางกลัวตนเองจะเสียสติแล้วเรียกร้องถึงเพียงนั้น’

 

ก็คงเป็นเช่นนั้น การที่นักบุญหญิงผู้เลิศเลออยู่เสมอต้องมาอยู่ในสภาพที่หายใจหอบถี่ ปลดส่วนล่างของชายหนุ่มออกมาด้วยตนเองและร้องขอให้อีกฝ่ายสอดใส่คงไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับได้ง่ายๆ และยิ่งนางหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก มันจึงยิ่งยากขึ้นไปอีก

 

แม้นักบุญหญิงจะกำจัดรอยออกไปไม่ได้ แต่นางค้นพบวิธีระงับมันได้อย่างหนึ่ง นั่นคือการมีอะไรกับชายหนุ่มก่อนที่พลังของรอยจะถูกกระตุ้น แม้เขาจะสงสัยว่าแล้วมันต่างกันอย่างไร แต่ดูเหมือนนักบุญหญิงจะเกลียดที่ตนต้องอยู่ในสภาพเละเทะต่อหน้าทุกคนมากยิ่งกว่าความตายเสียอีก

 

อย่างไรก็ตาม เขาได้ยินว่านักบุญหญิงพาเหล่าชายหนุ่มมาที่ห้องเกือบทุกวันหลังจากเนรเทศเขาไป ดูท่านางจะหวาดกลัวว่าเขาจะใช้สอยรอยไม่น้อยเลย ในตอนที่คาร์ลกำลังนึกถึงเรื่องที่ผ่านมานั้นเอง ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น

 

“ข้านำอาหารมาให้”

 

นอกจากเหล่าอัศวิน คนที่สามารถเข้ามาพบคาร์ลได้ก็มีเพียงเหล่านักบวชที่นำอาหารมาให้เขาเหมือนอย่างตอนนี้เท่านั้น ประตูเปิดออก นักบวชถือถาดที่วางอาหารธรรมดาๆ เข้ามาด้านใน

 

ชั่วขณะที่ได้เห็นนักบวชผู้นั้น มุมปากคาร์ลก็ยกขึ้น นักบวชที่เข้ามาคืออาริค

 

อาริคเข้ามาแล้ว เขาไม่สบตาและก้มตัวเล็กน้อย เขานำอาหารที่ถืออยู่ในมือวางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ทำท่าจะออกไปทันที คาร์ลรีบเอ่ยเรียกอาริค

 

“อาริค ข้านึกอยู่แล้วว่าเป็นท่าน น่าดีใจยิ่งนักที่ได้มาพบกันเช่นนี้ คราวก่อนนั้นคนเยอะเหลือเกิน ข้ายังเสียดายที่ไม่ได้สนทนากับท่านนานๆ”

 

“…”

 

คาร์ลพูดราวกับตนยินดีจากใจจริง อาริคทำเพียงมองไปที่เขาด้วยสายตาเย็นชา

 

“หากไม่รบกวน อยู่ต่ออีกสักหน่อย…”

 

“ข้าแค่นำอาหารมาส่งเท่านั้น”

 

อาริคพูดตัดบทคาร์ลอย่างรวดเร็ว คาร์ลแสยะยิ้มในใจให้กับท่าทีของอาริค บางทีหากเขาไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยคงยาก แต่มันง่ายมากที่จะหลอกใช้คนที่มีความรู้สึกบางอย่างต่อเขาอย่างรุนแรงเช่นนี้

 

“อาริค ข้ารู้ว่าเรื่องเมื่อก่อนทำให้พวกเราเข้าใจผิดกัน ดูจากท่าทีของท่าน ดูเหมือนหลังจากข้าจากไปแล้ว ท่านนักบุญหญิงคงไม่ได้ชี้แจงอะไรเลย  ไม่ทราบว่าพอจะมีเวลาให้ข้าชี้แจง…”

 

“…เข้าใจผิด?”

 

อาริคกำหมัด

 

“มิใช่ว่าจะสร้างเรื่องให้เข้าใจนักบุญหญิงผิดหรอกหรือ?”

 

ดูสิ คาร์ลเดาะลิ้นในใจ นึกว่าจะเป็นนักบวชที่ไม่รู้จักสังเกตและโง่เง่าแล้วเชียว แต่ดูท่าคงจะคิดอะไรได้บ้างระหว่างที่เขาไม่อยู่ แต่แล้วอย่างไรเล่า มารู้ตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว อาริคยังคงพูดต่อไป คาร์ลมองไปที่อาริคที่กำลังตัวสั่น เขาอาจจะตระหนักได้ แต่อาริคไม่มีทางบอกใคร

 

มิแปลก เรื่องเช่นนั้นจะมาพูดอย่างส่งเดชในวิหารหลวงได้อย่างไร คงไม่มีใครเชื่อ ต่อให้นักบุญหญิงเป็นคนพูดก็ไม่มีอะไรแตกต่าง

 

เขาไม่มีทางฝืนใจนักบุญหญิงได้ ดังนั้นต่อให้เกิดอะไรขึ้น นั่นก็เป็นสิ่งที่นักบุญหญิงเลือกเอง ทุกอย่างเป็นปัญหาที่นักบุญหญิงต้องตัดสินใจและเลือกเอง หากนางมีปัญหากับมันก็จะตกอยู่ในสภาพโง่เขลา หรือหากนางแพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับใคร นางก็จะได้ยินถ้อยคำว่า ‘แต่นั่นก็มิใช่เรื่องที่ท่านต้องการเองหรอกหรือ?’

 

และคาร์ลรู้ดีว่าคำพูดเช่นนั้นมันจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง นั่นเป็นเหตุผลที่นักบุญหญิงไม่อาจบอกเรื่องนี้กับใครได้

 

อาริคจ้องมองคาร์ลอยู่สักพักก่อนจะออกจากห้องไป เขาไม่ได้หยุดเดินและไม่สนใจเสียงเรียกของคาร์ลที่ตามหลังมาโดยสิ้นเชิง

 

เหล่าอัศวินรีบปิดประตูทันทีที่เขาออกมา อาริคค้อมศีรษะลาพวกเขาก่อนจะหมุนตัวไป พร้อมกับหวังว่าเหล่าอัศวินจะไม่ปล่อยให้ปีศาจร้ายที่อยู่ในห้องออกมาเด็ดขาด

 

“นักบวชอาริค?”

 

ตอนนั้นเอง มีเสียงเรียกเขาไว้ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบกับราธบันที่ยืนอยู่ตรงหน้า