น้ำตาไหลรินออกมาเป็นสายในตอนที่เลออนถามถึงนักบวชชื่ออาริค การตอบสนองอย่างฉับพลันทำให้เลออนตกใจยิ่งกว่าฉันเสียอีก

“ลีน่า เป็นไรหรือไม่?”

เลออนทำตัวไม่ถูกและหาอะไรมาเช็ดน้ำตาให้ แต่เมื่อไม่เห็นอะไรที่พอจะใช้ได้ เขาก็ใช้แขนเสื้อช่วยซับขอบตาอย่างไม่รู้ต้องทำอย่างไร ทว่าน้ำตาก็ยังไม่ยอมหยุดไหล

“ข้าจำอะไรไม่ได้เลย…แต่ไม่รู้ทำไม…”

ร่างกายเคยมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้มาก่อน นั่นคือตอนที่ได้เห็นชื่อของคาร์ลครั้งแรก ตอนนั้นทั่วร่างสั่นราวกับหวาดผวาอย่างสุดขีด แต่ในคราวนี้น้ำตากลับไหลไม่หยุด ฉันมั่นใจว่าคนที่ชื่ออาริคจะต้องเป็นคนที่มีอิทธิพลต่ออีเบลลีน่ามากไม่แพ้คาร์ลเลย

‘แต่ว่า…ไม่มีความทรงจำอะไรเลย’

ฉันรีบตรวจค้นว่ามีความทรงจำเกี่ยวกับคนชื่ออาริคหรือไม่ แต่ก็พบว่ามันถูกลบออกไปจากความทรงจำของอีเบลลีน่าอย่างสมบูรณ์ไม่ต่างจากคาร์ล อีเบลลีน่าไม่ต้องการให้ฉันรู้เรื่องเกี่ยวกับเขา

“ดูท่าคงจะจำอะไรไม่ได้จริงๆ”

เลออนพึมพำพลางพยักหน้าเมื่อเห็นท่าทีที่ไม่รู้อะไรเลยของฉัน ในสายตาของเขา ฉันดูไม่เหมือนว่ากำลังโกหก

“แต่…ข้าคิดว่านักบวชผู้นั้นคงเป็นคนที่สำคัญมากสำหรับท่าน”

เลออนกล่าวเช่นนั้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ ผ่านไปสักพักหลังจากน้ำตาหยุดไหล ฉันก็เอ่ยถามเลออน

“ว่าแต่…ทำไมถึงได้พูดถึงคนที่ชื่ออาริคขึ้นมาหรือ? หรือเขาเป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับคาร์ล?”

ในวิหารหลวงที่มีนักบวชมากมาย เลออนไม่มีทางถามถึงใครเป็นพิเศษโดยบังเอิญ ทั้งยังเป็นคนที่อีเบลลีน่ามีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้อีก หรือว่าคนที่ชื่ออาริคเองก็เกี่ยวข้องกับคาร์ลเช่นกัน? หากเป็นอย่างนั้น แล้วทำไมถึงได้มีการตอบสนองที่ต่างจากตอนได้ยินชื่อคาร์ล?

เลออนจับฉันนั่งบนโซฟา ก่อนจะเริ่มอธิบาย

“ท่านคงจำได้ที่คราวก่อนข้าบอกว่าคาร์ลส่งจดหมายกลับมาเยอะมากตอนที่อยู่ชายแดน ข้าได้ขอให้เซอร์ราธบันช่วยสืบว่าเขาส่งจดหมายให้กับใครในวิหารหลวง และส่งมามากเพียงใด”

คราวก่อนเลออนเคยพูดถึงเรื่องนี้ตอนที่วางแผนให้คาร์ลตกอยู่ในสภาวะคับขัน เขาบอกว่าจะตามหาจดหมายที่คาร์ลเคยส่งมาให้เหล่านักบวช  เขาบอกว่าต้องมีมันจึงจะปั่นหัวคาร์ลและโน้มน้าวเหล่านักบวชคนอื่นได้ง่ายขึ้น

“ระหว่างนั้น ข้าก็พบจุดที่แปลกประหลาด ท่ามกลางนักบวชจำนวนมาก นักบวชทั่วไปที่ชื่อว่าอาริคกลับกล่าวว่าคาร์ลส่งจดหมายมาผิดและไม่เคยรับมันเลย”

“ไม่รับเลย…”

“พอข้าไปตรวจสอบบันทึกแล้ว ดูเหมือนเขาไม่แม้แต่จะเปิดจดหมายด้วยซ้ำ อีกทั้งนักบวชคนอื่นมักจะส่งจดหมายตอบกลับหาคาร์ลเสมอ แต่อาริคกลับไม่เคยส่งไปเลยสักครั้ง ทั้งที่หากคาร์ลส่งจดหมายมาผิดจริง เขาก็ควรจะส่งกลับไปบอกสักครั้งมิใช่หรือ ดังนั้นข้าจึงสืบค้นมากขึ้น แล้วก็พบว่าเขาเคยเป็นผู้ติดตามของคาร์ล แต่ก็ล้มเลิกไปเพราะปัญหาสุขภาพ”

“…ท่านจำได้หรือไม่ว่านั่นคือเมื่อไร”

“แน่นอน”

เลออนบอกช่วงเวลาที่อาริคเคยทำงานร่วมกับคาร์ล หลังจากจำได้ว่าคือตอนไหน ฉันจึงได้รู้ว่านั่นคือช่วงเดียวกับที่อีเบลลีน่าเริ่มมีพฤติกรรมแปลกประหลาด

‘เห็นได้ชัดว่า…คนที่ชื่ออาริคต้องมีอะไรบางอย่างแน่’

เลออนมองฉันที่จมอยู่กับความคิด ก่อนจะลุกขึ้น

“เอาเป็นว่า…เราควรสืบค้นเพราะเขาดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับคาร์ล หากว่าท่านจำอะไรได้ก็บอกข้าด้วย”

ท่าทีแบบนั้นของเลออนทำให้ฉันประหลาดใจเล็กน้อย

“ทำไมมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น ทำเอาข้าไม่อยากไป”

“…ก็ท่านลุกไปเร็วกว่าที่คิด คิดว่าจะอยู่ต่ออีกหน่อยเสียอีก”

เลออนหัวเราะเมื่อได้คำตอบที่ตรงไปตรงมาของฉัน

“แน่นอน ข้าก็อยากอยู่ หลังจากปล่อยแอสรันกับราธบันไปแล้ว โอกาสที่จะได้อยู่กับท่านตามลำพังเช่นนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ ทว่าข้าลุกขึ้นเพราะไม่คิดจะแพ้”

“ไม่คิดจะแพ้…?”

“ถูกต้อง ตอนนี้ข้า เซอร์ราธบันและแอสรันกำลังแข่งกันอยู่”

เลออนพูดเช่นนั้นก่อนจะจับมือฉัน ฉันก้มหน้าลง มือของเขายังคงบวมแดง ฉันกดลงไปบนมือของเขาอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นเลออนก็ครางเสียงต่ำ ไม่ใช่เสียงที่ร้องเพราะเจ็บปวด ที่ฉันคิดอย่างนั้นเพราะใบหน้าของเลออนดูอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง

“พวกเราทั้งสามคนกำลังพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือท่านแม้เพียงเล็กน้อย อย่างนั้นแล้วจะได้ถูกท่านเลือก”

“…”

ฉันไม่สามารถโต้แย้งคำพูดที่ว่าให้เลือกได้ การเลือกใครสักคนเป็นเรื่องของอนาคตที่ฉันไม่เคยคิดมาก่อน ถึงแม้ความจริงจะเป็นเพราะฉันไม่คิดว่าการเลือกของฉันมันมีความหมายอะไร เลยไม่ได้คิดมาก่อนก็ตาม

“และไม่รู้ว่าหากข้าพูดเช่นนี้ออกไปแล้วท่านจะคิดอย่างไร แต่จนถึงตอนนี้ ข้าไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อนไม่ว่าจะในการต่อสู้แบบใดก็ตาม สิ่งที่ข้าต้องการ ข้าจะต้องนำมาให้ได้”

แววตาของเลออนจริงจัง ตัวเขาที่เป็นดั่งเพื่อนกลับเข้าสู่ภาพลักษณ์ขององค์ชายรัชทายาทแห่งจักรวรรดิอีกครั้งในชั่วพริบตา

“ข้าจะพูดอีกครั้งลีน่า ข้าต้องการท่าน หรือกล่าวให้ชัดเจนมากขึ้น ข้ากำลังหวังว่าท่านจะต้องการข้า”

“…”

“แต่ข้ารู้ว่าการจะได้รับหัวใจของท่านมามันยากกว่าเรื่องใดๆ ที่ข้าเคยผ่านมา อีกทั้งข้ายังเริ่มต้นไม่ดี จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพยายามมากขึ้นเท่านั้น อันที่จริง พอย้อนนึกถึงมันอีกครั้งข้าก็ยังสะเทือนใจ เพราะท่านเป็นคนแรกเลยที่มีอะไรกันเสร็จแล้วจากไปอย่างนั้น ข้าเคยแอบคิดว่าท่านอาจจะมีใจอยู่บ้างถึงได้ลากข้าไปเช่นนั้น แต่นั่นกลับเป็นการเลือกที่ท่านเลี่ยงไม่ได้เสียนี่”

“นั่น….”

ทันทีที่ตระหนักได้ว่าเริ่มต้นที่เขาพูดถึงคืออะไร ใบหน้าก็พลันร้อนผ่าว เขาหมายถึงคืนที่ฉันมีสัมพันธ์กับเขาครั้งแรก เลออนยิ้มขมขื่น

“อันที่จริง ข้าจะไม่สนใจจุดเริ่มต้นอีกต่อไปแล้ว เพราะอย่างไรสิ่งที่สำคัญก็คือผลลัพธ์”

พูดจบ เลออนก็ก้มหน้าลงและมองฉัน

“สุดท้ายแล้วคนที่ได้ท่านมาจะต้องเป็นข้า ข้ามั่นใจ”

***

ดึกแล้ว ฉันนอนอยู่บนเตียงแต่กลับไม่ง่วง คำพูดของเลออนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว

‘นักบวชที่อีเบลลีน่าร้องไห้ให้และต่อต้านคาร์ลอย่างนั้นเหรอ’

แน่นอนว่าฉันสงสัยว่าคนที่ชื่ออาริคเป็นคนแบบไหน เขาอยู่ฝั่งเดียวกับคาร์ลไหม? หรืออยู่ฝั่งเดียวกับนักบุญหญิง? ดูจากท่าทีที่มีต่อคาร์ลแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เป็นมิตรกับคาร์ล แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อาจคิดได้ว่าเขาอยู่ฝั่งเดียวกับอีเบลลีน่า

‘คงต้องไปพบดูสักครั้ง…’

เช่นนั้นจึงจะได้รู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร ขณะที่คิดเกี่ยวกับอาริค ฉันก็นึกถึงจิตสำนึกของอีเบลลีน่าขึ้นมาได้ กลับไปที่นั่นอีกครั้งได้ไหมนะ? หากกลับไปดูความทรงจำอื่นๆ ที่นั่นได้อีกก็คงดี

ชั่วขณะที่กำลังหวนนึกถึงเรื่องคราวก่อนนั้นเอง

“เฮือก!”

จู่ๆ ก็หายใจไม่ออก ฉันสัมผัสได้ว่าร่างกายกำลังสั่นราวกับถูกฟ้าผ่า ทั่วทั้งร่างแข็งเกร็ง

“ทำ ทำไม…”

ฉันพยายามประคองสติที่เลือนรางและเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก หากไม่ทำเช่นนี้คงได้หมดสติแน่ ฉันตะเกียกตะกายอยู่บนเตียง และในขณะที่ยกหัวขึ้นก็พลันไม่อยากเชื่อสายตา

“พะ พลังศักดิ์สิทธิ์…”

พลังศักดิ์สิทธิ์กำลังหมุนวนอยู่ทั่วร่าง ฉันรู้สึกเมื่อยล้าจนน่ากลัว เหมือนกับว่าพลังชีวิตทั้งหมดในร่างกำลังหายไป มันไม่ใช่พลังที่ใช้ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนอย่างที่รักษาให้ราธบันในตอนกลางวัน มีใครบางคนกำลังดึงเอาพลังศักดิ์สิทธิ์ไป

พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ปกคลุมอยู่ทั่วร่างไหวกระเพื่อมขึ้นมาฉับพลัน มันเริ่มหมุนรอบตัวฉันอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นพลังศักดิ์สิทธิ์ก็หายไปในชั่วพริบตา

“…!”

ในเวลาเดียวกับที่ความรู้สึกเมื่อยล้าที่กดทับร่างกายก็หายไป

“แฮ่ก…แฮ่ก…”

หลังจากหายใจได้ ฉันก็ขยับตัวอย่างยากลำบาก ร่างกายยังไม่หยุดสั่น ฉันไม่รู้เลยว่าตอนนี้กำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

“ทำไมจู่ๆ พลังศักดิ์สิทธิ์ก็…”

ชั่วขณะนั้นลางสังหรณ์ไม่ดีก็แวบผ่านเข้ามาในหัว พร้อมกับที่รู้สึกได้ว่ารอยบนต้นขาร้อนขึ้น

“หรือว่า…”

ฉันยกมือที่สั่นระริกขึ้น และลองรวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์เหมือนอย่างตอนกลางวัน ทว่าปลายนิ้วกลับไม่รู้สึกถึงอะไรทั้งสิ้น แม้จะลองอีกหลายสิบครั้งแต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังเหมือนเดิม ฉันนึกถึงฉากหนึ่งที่เคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว

“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง…”

นั่นคือวันที่อีเบลลีน่าสูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ไปอย่างสมบูรณ์

ไม่ว่าจะอ่านอีกกี่ครั้ง ส่วนที่ตัวร้ายเริ่มพังพินาศก็มักจะทำให้พึงพอใจเสมอ

ฉันก็ไม่ต่างกัน ในตอนที่ได้อ่านส่วนที่อีเบลลีน่าผู้ใช้ตำแหน่งนักบุญหญิงเป็นดั่งอาวุธในการทำตามอำเภอใจและข่มเหงทุกคน สูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์และกรีดร้องคร่ำครวญ ฉันคิดว่ามันสนุกและอยากให้นางโดนมากกว่านี้อีก

ฉันหวังให้อีเบลลีน่าไม่หลงเหลืออะไรทั้งสิ้น สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง จมดิ่งสู่ก้นบึ้งและทุกข์ทรมาน ฉันคิดว่านั่นคืออนาคตที่เหมาะสมกับอีเบลลีน่า และเป็นอนาคตที่ฉันวาดหวัง

โศกนาฏกรรมในอนาคตที่ฉันคิดว่ายังเหลือเวลาอีกสักพักได้กลายเป็นความจริงและกำลังโถมเข้าใส่ฉันอยู่ตอนนี้

“ทำไม…”

ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้? นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีสติต่อหน้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ในหัวของฉันโล่งไปหมด ฉันไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากมองมือในขณะที่ตัวสั่นเทา

“…ไม่ใช่”

ถึงแม้ฉันจะไม่รู้ว่าไม่ใช่อะไร แต่คำพูดนั้นก็พูดออกมาโดยไม่รู้ตัว ฉันหายใจออกช้าๆ ขณะที่นึกถึงส่วนที่เคยอ่านไปหลายครั้ง ในหนังสือมีเขียนถึงสาเหตุที่ทำให้พลังศักดิ์สิทธิ์ของอีเบลลีน่าหายไปในคราวเดียวอยู่

‘เกิดปัญหาขึ้นกับอีริส’

ในหนังสือ วันที่พลังศักดิ์สิทธิ์ของอีเบลลีน่าหายไปโดยสมบูรณ์ อีริสถูกโจมตีจากปีศาจ วันนั้นอีริสผู้เคยหวาดกลัวที่จะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมาอย่างกะทันหันได้ใช้พลังทั้งหมดและปกป้องผู้คนเอาไว้ได้ อีเบลลีน่าก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความพินาศจากวันนั้น แต่ใครจะคิดว่าวันนั้นก็คือวันนี้

แม้ฉันจะเข้าใจเรื่องราวความเป็นมาขณะย้อนนึกถึงเนื้อหาในหนังสือ แต่ก็ยังคงหายใจได้ลำบาก

แล้วอย่างไร? ต่อให้รู้เรื่องทั้งหมด แต่ก็ใช่ว่าจะยอมรับได้ง่ายๆ

ฉันใช้แรงทั้งหมดตั้งสติ และลองรวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง ปลายนิ้วไม่มีแม้แต่ลมหวนราวกับความพยายามของฉันเป็นเรื่องน่าขบขัน ฉันเกิดความหวังว่าหากฉันพยายามใช้พลังศักดิ์สิทธิ์แล้วพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไปอยู่กับอีริสจะกลับมา ทว่านั่นก็เป็นความหวังลมๆ แล้งๆ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ถ่ายโอนไปหาอีริสไม่มีวันกลับมาหาฉันอีกครั้งเหมือนดั่งสายน้ำที่ไหลลงด้านล่างไม่มีวันไหลย้อนขึ้นด้านบน

‘ตอนนี้ฉันควรทำยังไง’

ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยคิดถึงอนาคตหลังจากพลังศักดิ์สิทธิ์หายไป ทว่าในจินตนาการของฉัน หลังจากที่ฉันได้มอบตำแหน่งนักบุญหญิงให้แก่อีริสอย่างเป็นมิตร ฉันจะออกจากวิหารหลวงไปไกล และท่องเที่ยวไปทั่วโลกคนเดียว

ไม่มีเรื่องราวของคาร์ล ไม่มีราธบัน เลออน และแอสรันด้วยเช่นกัน

เมื่อนึกถึงชายทั้งสาม ฉันก็รู้สึกถึงความมืดมนที่ต่างจากที่ผ่านมา

หากทั้งสามรู้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของฉันหายไปแล้ว พวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกัน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้แวบผ่านในหัว

ราธบันผู้สารภาพความในใจไปพลางร้องไห้พลางราวกับสารภาพผิด เลออนผู้ยิ้มขณะที่กล่าวว่าเขาหวังว่าฉันจะเลือกเขา รวมไปถึงแอสรันผู้กอดฉันไว้และบอกว่าทุกอย่างของตนก็คือของฉัน

สีหน้าของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความจริงใจราวกับสัญญาว่าจะอยู่ด้วยตลอดไป

‘แต่ว่า…’

ฉันย้อนนึกถึงเนื้อหาในหนังสือ การเปลี่ยนแปลงที่ฉันเห็นตั้งแต่มาที่นี่ และเหตุการณ์ต่างๆ ที่ฉันเคยประสบในอดีต

แม้จะพยายามเปลี่ยนอนาคตที่ถูกกำหนดไว้แล้ว แต่นอกจากทั้งสามคน สถานการณ์ที่เหลือก็แทบไม่เปลี่ยนไปเลย ชื่อเสียงของฉันยังคงตกต่ำ พลังศักดิ์สิทธิ์ยังคงลดลง และอีริสก็ยังปรากฏตัวขึ้น

อันที่จริง ฉันก็เป็นได้แค่ปลามีกูราจี[1] โง่ๆ ที่ตะเกียกตะกายและก่อความวุ่นวายในลำธารที่ไหลอย่างเงียบๆ และเมื่อน้ำโคลนกระเด็นมาบดบังสายตาก็ชอบใจเพราะคิดว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป แต่เมื่อเวลาผ่านไป น้ำโคลนนั่นก็ย่อมหายไปไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยเพราะถูกน้ำที่ไหลไม่หยุดชะล้างจนสะอาด แม้จะทำแบบนั้นอีกกี่ครั้งผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม เพราะไม่มีทางเอาชนะสายน้ำที่ไหลอยู่ตลอดได้ บางทีฉันอาจจะแค่ดิ้นรนอยู่บนทิศทางของโลกใบนี้ที่ไหลไปตามที่ที่สมควรจะไป ฉันกลับมามองความจริงอีกครั้ง

ไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว ฉันไม่ใช่นักบุญหญิงอีกต่อไป

หากเรื่องนี้เป็นที่รับรู้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรกัน วิหารหลวงจะต้องอลหม่านอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันขยับตัวและเดินเข้าไปใกล้หน้าต่าง

จัตุรัสกว้างของที่วิหารหลวงอยู่ไกลๆ ตรงนั้น ในหนังสือ อีเบลลีน่าถูกเผาที่นั่น นางถูกราดน้ำมันและมัดแขนขาอยู่บนกองฟืนที่สูงเฉียดฟ้า เหล่านักบวชยืนห่างออกไปเพื่อหลบไฟที่กำลังจะลุกไหม้ ชาวบ้านมารวมตัวกันเพื่อดูภาพที่นางกำลังจะตาย อีเบลลีน่าร้องตะโกนว่านางเป็นนักบุญหญิงตัวจริงใส่พวกเขา จวบจนหมดลมหายใจสุดท้ายท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกโชน

ในหนังสือ ชายหนุ่มทั้งสามทำเพียงมองไปยังภาพเหตุการณ์นั้นด้วยสายตาเย็นชา

ความรู้สึกที่ท่วมท้นขึ้นมาจากด้านล่างทำให้ลำคอตีบตัน ฉันบีบขยำชายเสื้ออย่างแรงโดยไม่รู้ตัว

ในปัจจุบัน มันคือจัตุรัสโล่งๆ ที่ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ฉันยังไม่ได้ถูกเผา แต่ถึงอย่างนั้น ฉันกลับรู้สึกเหมือนถูกทรยศจากทั้งสามและรันทดใจจนไม่อาจทนได้ราวกับเคยผ่านประสบการณ์มาแล้ว

นักบุญหญิงที่ไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์จะมีความหมายอะไร

ในหนังสือเอง เมื่อราธบันผู้อดทนครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ข้างอีเบลลีน่าจนถึงช่วงเวลาสุดท้ายรู้ว่านางไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป เขาก็หมุนตัวจากไปอย่างไร้เยื่อใยทันที

แน่นอนว่าฉันไม่คิดว่าราธบันในตอนนี้จะทำแบบนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าความหวาดกลัวจะจางหายไปง่ายๆ เขาคือคนที่มอบทั้งชีวิตของตนเองให้กับการนับถือพระเจ้า

เขาอาจจะเตรียมใจในการถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการอัศวิน แต่คงไม่มีทางคิดที่จะพ้นสภาพจากการเป็นศาสนิกชนซึ่งต้องถูกลบรายชื่อออกจากวิหาร คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความรู้สึกดีที่เขามีต่อฉัน มีหลายส่วนที่เป็นความรู้สึกศรัทธาต่อฉันที่เขาต้องรับใช้และเชื่อฟังไปตลอดชีวิต

แล้วแอสรันล่ะจะเป็นอย่างไร

สิ่งที่เขาต้องการคือลูกของตน ดังนั้นเขาจึงต้องการภาชนะที่มีพลังแข็งแกร่งซึ่งสามารถอุ้มท้องลูกของเขาได้ ฉันที่สูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วไม่มีทางทำได้สำเร็จ หากฉันมีสัมพันธ์กับเขาอีกครั้ง และตั้งท้องลูกของเขาขึ้นมา…

สันหลังเย็นวาบ บางทีฉันอาจจะตายก่อนจะถูกประหารด้วยการเผาด้วยซ้ำ

‘แต่ว่า…จะพูดออกไปได้ไหมนะ?’

ในตอนที่ฉันบอกว่าไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์แล้วแอสรันจะมีการตอบสนองอย่างไร แอสรันได้กระจายเวทมนตร์ของตนออกไปทั่วทั้งแผ่นดิน หากเป็นตามที่เขาพูด มันจะเสร็จสมบูรณ์หลังจากนั้นไม่นาน และในชั่วขณะที่มันเสร็จสมบูรณ์ เขาก็จะได้รู้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่หายไปอยู่ที่ไหน

เขาคงคิดว่าจะได้พบร่องรอยของพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่หารู้ไม่ว่าเขาจะได้พบกับนักบุญหญิงคนใหม่ที่นั่น

ถึงตอนนั้นเขาจะยังพาฉันไปดูท้องฟ้าอีกไหม?

ตอนนี้ความคิดวนมาถึงเลออน การที่เขาผู้เป็นองค์ชายรัชทายาทมายังวิหารแห่งนี้และมีความสนใจในตัวนักบุญหญิง ก็เพื่อทำให้วิหารหลวงลงไปอยู่ใต้จักรวรรดิ

ฉันย้อนนึกถึงนิสัยของเลออนที่เคยอ่านเจอในหนังสือ รวมถึงเลออนที่ฉันรู้จัก เพียงแค่นั้นก็ทำให้ฉันคิดว่าเลออนคงไม่ปล่อยฉันไปง่ายๆ หรือพูดให้ชัดคือเขาคงไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องปล่อย

‘กลายเป็นว่าหากฉันเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาไม่ใช่นักบุญหญิง เขาคงจัดการอะไรได้ง่ายขึ้น’

หากเป็นเลออนที่ฉันรู้จัก…บางทีเขาคงพาฉันไปซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่ง ให้ฉันเป็นเพียงหญิงสาวไร้ชื่อในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก ในอีกแง่หนึ่ง ผลลัพธ์อาจจะออกมาดีกว่าราธบันหรือแอสรันก็เป็นได้ แต่เมื่อลองคิดให้มากขึ้นอีกนิดก็อาจจะเป็นจุดจบที่อันตรายที่สุดได้เช่นกัน

ถ้าหากเขาไม่ได้รักฉันอีกต่อไปแล้วจะเป็นอย่างไร มันก็แค่หญิงสาวไร้ชื่อในที่ที่ไม่มีใครรู้จักหายตัวไปเท่านั้น

แน่นอน ฉันรู้ว่าตอนนี้ทั้งสามสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป แต่ฉันก็ไม่อาจเชื่อใจได้ง่ายๆ ฉันนึกถึงคำโกหกต่างๆ ที่เคยได้ยินมาในชีวิตก่อนหน้านี้ ฉันจะไม่ทอดทิ้งเธอ ฉันจะจดจำเธอไปตลอดชีวิต ฉันจะพยายามรักษาเธอจนถึงที่สุด

คำสัญญาที่พ่อแม่ เพื่อนและหมอเคยให้ไว้ ไม่หลงเหลือแม้แต่ร่องรอย

ฉันแนบหน้าผากกับกระจก ความเย็นทำให้ได้สติ

‘ยังบอกไปตอนนี้ไม่ได้’

หากยังปิดปากเงียบ ฉันยังพอมีเวลาอยู่ อย่างสั้นที่สุดก็สองสามวัน อย่างยาวก็อีกหลายสัปดาห์

‘เอาเป็นว่า ต้องจัดการเรื่องของคาร์ลก่อน’

ความผิดของคาร์ลถูกเปิดโปงและเริ่มตัดสินแล้ว จะต้องทำมันให้แล้วเสร็จ นี่ไม่ใช่เพื่อฉันเท่านั้น

‘เพราะต้องคิดเผื่อหลังจากที่อีริสมายังวิหารหลวงด้วย’

หากว่าเรื่องที่คลุมเครือนี่จบลง แล้วคาร์ลยังได้อยู่ในวิหารหลวงและได้รับอำนาจกลับมา ฉันคิดว่าหลังจากอีริสได้กลายเป็นนักบุญหญิง เขาคงไม่ปล่อยฉันเอาไว้แน่ เมื่อลองนึกถึงความทรงจำต่างๆ ที่เคยได้เห็นสั้นๆ คาร์ลไม่มีวันปล่อยอีเบลลีน่าไปเด็ดขาด

‘ฉันต้องจัดการให้ได้’

ชั่วขณะที่ตัดสินใจได้ ฉันก็ย้อนนึกถึงตอนที่แลกเปลี่ยนความคิดกับทั้งสามคนว่าจะสู้กับคาร์ลอย่างไรเมื่อไม่นานมานี้ ตอนนั้นฉันยังมั่นใจมาก แถมยังรู้สึกสนุกเล็กน้อยด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้กลับทำได้เพียงเก็บมันไว้คนเดียว ไม่อาจเปิดเผยกับใครได้

ฉันนึกถึงอีเบลลีน่าขึ้นมาฉับพลัน อีเบลลีน่าเองก็เป็นแบบนี้ไหม? นางเองก็ไม่สามารถบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองให้ใครฟังได้ ต้องกังวลแบบนี้เพื่อแก้ไขปัญหาอยู่คนเดียวหรือเปล่า?

เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกเหมือนนางหลังจากมาที่โลกใบนี้และได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้

***

เสื้อเกราะส่งเสียงดังกระทบ เหล่าอัศวินที่ยืนเวรเฝ้าระวังตอนกลางคืนตามแนวกำแพงของวิหารหลวงกำลังก้าวเดิน ขณะที่กำลังเดินสนทนาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกเขาก็สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนยืนอยู่บนกำแพง โชคดีที่พวกเขารู้ตัวตนของคนผู้นั้นก่อนที่จะได้เตรียมป้องกัน

ผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือราธบัน ทว่าเขาดูแปลกไป ปกติแล้วหากได้ยินเสียงใคร ราธบันจะเอ่ยทักทายก่อนที่พวกเขาจะรู้สึกตัวเสียอีก แต่ตอนนี้เขากลับทำเพียงยืนเหม่อมองไปที่ใดสักแห่ง

ควรเรียกไหมนะ?

ในตอนที่เหล่าอัศวินกำลังลังเลเมื่อเห็นราธบันที่ดูเหมือนกำลังจมอยู่ในความคิด ตรงที่ไกลๆ ก็มีก้อนแสงสีฟ้าครามเข้ามาใกล้วิหารหลวงอย่างรวดเร็ว

“หัวหน้า!”

เหล่าอัศวินเรียกราธบันด้วยความตกใจเมื่อเห็นก้อนแสงนั้น

แม้ว่าตอนนี้จะไม่อาจเรียกเขาว่าหัวหน้าได้ เพราะอยู่ในระหว่างพิจารณาการปลดออกจากตำแหน่ง แต่นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะมาสนใจเรื่องนั้น

เหล่าอัศวินเองก็รู้จักก้อนแสงนั่นเช่นกัน แม้จะกล่าวว่าพลังศักดิ์สิทธิ์จะถูกจำกัดการใช้ต่างจากพลังเวท แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา วิหารหลวงก็ได้พยายามเพื่อให้พลังศักดิ์สิทธิ์สามารถใช้สอยได้หลากหลายขึ้น และสิ่งนั้นก็คือหนึ่งในผลลัพธ์ของความพยายาม

ราธบันกระโดดลงมาจากกำแพงวิหารทันทีที่ได้เห็นก้อนแสง เขากระโดดจากกำแพงสูงลงมาด้านล่างอย่างนุ่มนวลโดยไร้ซึ่งบาดแผล จากนั้นก็วิ่งไปทางจัตุรัสกลางของวิหารหลวงทันที ระหว่างนั้นเอง ก้อนแสงสีฟ้าครามก็แล่นผ่านบนหัวเขาไปอย่างรวดเร็ว

ชั่วพริบตา ก้อนแสงสีฟ้าครามก็ตกลงกลางจัตุรัส ใบหน้าของคนที่ได้เห็นต่างก็เคร่งขรึมขึ้น พวกเขาย้อนนึกว่าเคยได้เห็นมันเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อไร

ครั้งสุดท้ายคือเมื่อหนึ่งปีก่อน ในตอนที่ปีศาจขนาดใหญ่ปรากฏตัวขึ้นที่ชายแดน นักบวชระดับสูงคนหนึ่งที่อยู่ที่นั่นได้บีบอัดพลังศักดิ์สิทธิ์ของตนเองและส่งกลับมายังวิหารหลวง เช่นนั้นแล้ว แสดงว่านี่…

หลังจากวิ่งมาถึง ราธบันแตะมือลงที่ก้อนแสง ทันใดนั้นก็มีเสียงดังออกมาจากด้านใน

“เฮกซ่าปีศาจขนาดใหญ่ ปรากฏตัวขึ้นที่ทรีออน”

มีใครบางคนทำสำคัญมหากางเขน[2]เมื่อได้ยินชื่อเฮกซ่า ปีศาจที่ใหญ่โตและโหดร้ายที่สุดในปีศาจจำนวนมากที่ถูกบันทึกไว้ในวิหารหลวงปรากฏตัวขึ้นในเขตที่ชื่อว่าทรีออน

แสงสีฟ้าครามเปล่งเสียงขึ้นมาอีกครั้งต่อจากนั้นทันที

“นักบุญหญิงอีกผู้หนึ่ง อีริส”

[1] ปลามีกูราจี (미꾸라지) ปลาน้ำจืด มีลักษณะตัวยาวเรียวเล็ก สีดำและลื่นมาก เป็นปลาที่ชอบทำให้น้ำขุ่น ชอบอาศัยอยู่ในน้ำสกปรกและน้ำโคลน

[2] ทำสำคัญมหากางเขน คือ การทำเครื่องหมายกางเขน โดยจะนำนิ้วมือของมือขวามาประจบกัน แล้วจะแนบนิ้วนาง และนิ้วก้อยให้ชิดกับฝ่ามือ ทำจากขวาไปซ้าย เริ่มจากหน้าผาก, ท้อง และไหล่ข้างขวา และซ้าย ตามลำดับ พร้อมกล่าวว่า “ในพระนามพระบิดา และพระบุตร และพระจิตเจ้าผู้ทรงศักดิ์สิทธิ์ อาเมน”