ส่วนที่ 1 ตอนที่ 7-2 ลงเขา

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เป็นนานกว่านางจะเดินไปข้างเตียง ผลักเขากล่าวว่า “นี่ กินข้าวเถอะ” 

 

จงหมิ่นเหยียนแกล้งหลับ ไม่สนใจนาง 

 

นางผลักอีก “กินข้าว พรุ่งนี้ยังต้องเร่งเดินทางอีก” 

 

เขาถูกผลักจนโมโหมาก ผุดลุกนั่งกล่าวไม่พอใจว่า “ไม่กิน!” 

 

พอหันกลับไป ก็เห็นมือเสวียนจียกชามใหญ่ชามหนึ่งไว้ ในนั้นมีข้าวราดน้ำแกง ด้านบนยังมีผักอยู่หน่อย นางนั่งข้างเตียง ใช้ช้อนบี้ข้าวให้ละเอียด กล่าวว่า “ข้าป้อนเจ้าแล้วกัน อ้าปาก” นางตักข้าวพร้อมน้ำแกงช้อนหนึ่ง ส่งไปที่ริมปากเขา 

 

จงหมิ่นเหยียนมองช้อนนั้นอย่างตกตะลึงราวกับว่าเป็นมารปีศาจอันใด เขาจ้องมองตาโต ฉายรังสีอำมหิต 

 

“อ้าปาก” เสวียนจีราวกับกำลังหลอกเด็กน้อย 

 

พลันสีหน้าจงหมิ่นเหยียนแดงก่ำ ทั้งอับอายทั้งโมโห ทั้งโมโหทั้งละอาย ตนเองถึงกับตกต่ำจนต้องให้เด็กผู้หญิงมาป้อนข้าวแล้ว ยิ่งน่าเศร้าก็คือเขาถึงกับถูกกลิ่นหอมของอาหารนั่นล่อลวง ไม่อาจห้ามปากไม่ให้อ้าได้ก่อนจะกลืนลงไป 

 

อืม อร่อย 

 

แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนี้! 

 

เขาระบายอารมณ์ใส่เสวียนจี จ้องมองนางอย่างโกรธแค้น กลืนข้าวอย่างโกรธแค้น ราวกับมีความแค้นกับพวกมัน 

 

“อร่อยไหม” เสวียนจีรู้สึกช้ามาก ไม่เห็นแววตาราวจะสังหารคนได้ของเขาแม้แต่น้อย ยังถามเขาอย่างใจดี 

 

จงหมิ่นเหยียนไม่สนใจนาง เขายัดข้าวเต็มปาก กินด้วยท่าทางดุร้าย เสน่ห์แห่งอาหารช่างยิ่งใหญ่เสียจริง ตอนนี้เขาถึงกับรู้สึกว่านางก็มีความอ่อนโยนน่ารัก เพราะกินอิ่มแล้ว จึงรู้สึกพึงพอใจ 

 

เขาเห็นขนตายาวของนางราวกับพัดน้อยสองแพ ทั้งหนาทั้งเป็นแพ ใบหน้ากระจ่างใสของนาง เผยเงามืดโค้งสองสาย คิ้วนางโค้งราวกับจันทร์เสี้ยว ว่ากันว่าคนใจกว้างจึงจะมีคิ้วลักษณะเช่นนี้ได้ ก็จริง เหมือนว่าวันๆ นางไม่มีเรื่องทุกข์ใจ มีแต่จิตใจเหม่อลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดเวลา 

 

นางกับหลิงหลงเป็นพี่น้องฝาแฝด สองคนหน้าตาเหมือนกันมาก แต่หลิงหลงสะดุดตาและเป็นที่เอ็นดูกว่านางมาก ส่วนเสวียนจี เมื่อก่อนเขาเกือบไม่มีนางในความทรงจำ หากไม่ใช่วันหนึ่งแอบได้ยินบรรดาศิษย์พี่วิจารณ์บรรดาศิษย์น้องหญิง ตอนนี้เขาอาจจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนาง รู้เพียงราวกระดาษขาวใบหนึ่งก็เป็นได้ 

 

ศิษย์พี่พวกนั้นบอกว่าหลิงหลงราวดอกกุหลาบ สดสวยต้องตรึง โตไปต้องเป็นสาวงามแน่ และเป็นสาวงามเผ็ดจี๊ด มีหนาม จำพวกนั้น 

 

ต่อมาก็พูดถึงศิษย์หญิงอีกสองสามคน ล้วนเป็นสาวงามมีชื่อในสำนัก สุดท้ายไม่รู้ผู้ใดกล่าวถึงเสวียนจีขึ้นมา ว่านางสิจึงเป็นสาวงาม ท่าทางมีสง่าและสูงส่งเช่นนั้น อีกสองปีต้องเป็นคนที่ผู้ใดเห็นก็นึกทะนุถนอม ที่พวกเจ้าพูดมาเหล่านั้น ไม่มีสักคนที่เรียกได้ว่าละมุนละไม ต้องรู้ว่าสาวงามแท้จริงคือสาวที่สูงส่งมีสง่าราศี ศิษย์น้องหลิงหลงเป็นดังดอกกุหลาบ เช่นนั้นศิษย์น้องเสวียนจีก็เป็นสาวงามแก้วผลึก ต้องพิเคราะห์ละเอียดลออจึงจะรับรู้ถึงท่วงทำนองได้ 

 

สาวงามแก้วผลึก 

 

เขาเห็นสองแก้มนางกระจ่างราวผลึกแก้วใส ครั้งแรกที่รู้สึกใช้คำนี้เรียกนางนาง ช่างเหมาะสมยิ่ง แน่นอน หากความเกียจคร้านเอาแต่ใจของนางแก้ไขสักไหน่อย ก็ยิ่งดี 

 

เสวียนจีส่งข้าวคำสุดท้ายเข้าปากเขา พลันพบกว่าใบหน้าเขาแดงก่ำราวสีโลหิต อดถามไม่ได้ว่า “เจ้าไม่สบายหรือ หรือว่าเป็นไข้ ข้าตามท่านพ่อมาดูเจ้าดีกว่า!” 

 

นางวางชามลง จะลงไปด้านล่างตามคนขึ้นมา กลับถูกเขาคว้าข้อมือไว้ รีบกล่าวว่า “ไม่ต้อง!” 

 

มือร้อนผ่าวของเขาราวกับเหล็กร้อน เสวียนจีตกใจ ได้แต่จ้องมองเขาอย่างงุนงง 

 

จงหมิ่นเหยียนรีบชักมือกลับ ก้มหน้าก็นอน กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าดีขึ้นแล้ว อยากนอนพักสักครู่ เจ้าออกไปได้ บอกอาจารย์ว่าไม่ต้องห่วงข้า” 

 

เสวียนจีรู้ แต่ไรเขาก็เป็นคนอารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย จึงไม่กล่าวอันใด ช่วยเขาดับเทียนก่อนลงไปด้านล่าง 

 

ตามคาด วันรุ่งขึ้นจงหมิ่นเหยียนก็เหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น กับนางก็ยังเย็นชายิ่งกว่าเมื่อก่อน หากมิใช่ฉู่เหล่ยลงมา เกรงว่าแม้แต่ทักทายเขาก็ไม่อยากทัก 

 

เสวียนจีได้แต่คิดเสียว่าเขากลัวเจ้าเกาะตงฟางใช้เริงราวห่านป่าอะไรนั่นมาทดลองกับเขาอีกจึงไม่ได้เอามาใส่ใจ พอดีกับฉู่อิ่งหงกำลังพูดเรื่องมารปีศาจเขาลู่ไถซาน นางจึงทุ่มเทความสนใจไปกับเรื่องนั้นหมด 

 

“สองวันนี้ เขาลู่ไถซานมีคนถูกกินไปอีกห้าคน ข้าไม่เชื่อว่ามารปีศาจสองตัวนั่นจะร้ายกายเช่นนี้!” ฉู่อิ่งหงนำข่าวที่ได้รับรายงานมากล่าวบนโต๊ะ ผู้ใหญ่สามคนมองหน้ากันนิ่ง 

 

เป็นนาน ตงฟางชิงฉีจึงได้กล่าวว่า “ต้องรีบเร่งเดินทางไป ไม่เช่นนั้นคนที่ถูกกินจะยิ่งมาก” 

 

ฉู่เหล่ยอืมรับคำ กล่าวว่า “เช่นนั้นเขาจางไถซานก็ไม่ต้องไปแล้ว มุ่งตะวันตกไปเขาลู่ไถซานเลย อิ่งหง…คงต้องครั้งหน้าจึงได้ไปเยี่ยมเยียนพี่สะใภ้เจ้าแล้ว” 

 

ฉู่อิ่งหงพยักหน้ากล่าวว่า “เห็นควรเช่นนั้น กำจัดปีศาจเป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง” 

 

ตอนนั้นทุกคนจึงร่วมหารือเรื่องการแบ่งสรรหน้าที่ หลังอาหารเช้าก็จะเดินทาง พลันเห็นประตูโรงเตี๊ยมมีพวกชุดครามเข้ามา ทุกคนล้วนสวมหน้ากากอสุรา เป็นคนตำหนักหลีเจ๋อ 

 

เสวียนจีเห็นการแต่งกายนี้ก็ตกตะลึง รู้สึกราวกับมีอันใดสักอย่าง 

 

ทุกคนคิดไม่ถึงว่าจะได้พบคนตำหนักหลีเจ๋อที่นี่ อดตกใจอยู่บ้างไม่ได้ กลับเห็นชายชุดครามเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมก่อนจะไปนั่งที่โต๊ะมุมหนึ่งใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดจนสะอาด ก่อนจะคว้าเอาชุดน้ำชากระเบื้องเคลือบขาวพร้อมจอกสุราสีเขียวไผ่ออกมาชุดหนึ่ง ชามสีขาวหยกสองใบ ตะเกียบเงินคู่หนึ่งวางบนโต๊ะ การกระทำที่มีความอลังการไม่เหมือนใครนี้ทำเอาคนทั้งโรงเตี๊ยมเอาแต่จ้องมองพวกเขา พวกเขาราวกับไม่สนใจ 

 

ครู่หนึ่งก็มีคนเรียกขึ้น “รองเจ้าตำหนักมา” 

 

ก็เห็นชายชุดครามที่นอกประตูสี่คนยกเก้าอี้หวายหนึ่งเดินเข้ามา มีคนนั่งอยู่บนนั้น ผมยาวสลวย ร่างผอมบางอ้อนแอ้น ก็คือรองเจ้าตำหนักหลีเจ๋อที่ชี้แนะแนวทางจับมารปีศาจตอนอยู่เส้าหยางให้พวกเขา 

 

พวกฉู่เหล่ยเห็นเช่นนี้ จะทำเป็นไม่เห็นเร่งออกเดินทางก็คงไม่ได้แล้ว กำลังคิดเข้าไปคารวะ ก็พลันเห็นเด็กในชุดเขียวสองคนเดินเข้ามา กล่าวพร้อมกันว่า “เจ้าสำนักฉู่เจ้าเกาะตงฟาง เจ้าหอฉู่ จอมยุทธ์จง คุณหนูรองฉู่ เจ้าตำหนักเรียนเชิญ” กล่าวถึงทั้งห้าคนอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม 

 

ทุกคนได้แต่เดินตามเด็กไป รองเจ้าตำหนักผู้นั้นนั่งรออยู่ที่โต๊ะก่อนแล้ว พอเห็นพวกเขามากัน ก็ประสานมือยิ้มกล่าวว่า “เสียมารยาทแล้ว คิดไม่ถึงจะได้พบทุกท่านที่นี่ เดิมทีข้าคิดจะแอบกลับไปเงียบๆ” 

 

ฉู่เหล่ยคารวะกลับ กล่าวว่า “รองเจ้าตำหนักมีงานเร่งด่วนกลับตำหนักหลีเจ๋อ?” 

 

รองเจ้าตำหนักถอนหายใจกล่าวว่า “ตามหลักข้าควรอยู่ช่วยเส้าหยางจัดงานชุมนุมปักบุปผา เพียงแต่เมื่อวานได้รับจดหมายด่วนจากตำหนัก มีเรื่องส่วนตัวไม่อาจไม่เร่งเดินทางกลับไปจัดการ ข้าได้ขอตัวอำลากับฮูหยินท่านแล้ว ขอเจ้าสำนักฉู่อย่าได้ถือสา ทันทีที่จัดการงานที่ตำหนักเสร็จ ก็จะรีบกลับไปยังเส้าหยาง ไม่ทำให้ต้องเสียเวลาอย่างแน่อน” 

 

ทุกคนพากันกล่าวว่า “ไม่เป็นไร งานเจ้าตำหนักย่อมสำคัญ” 

 

ทักทายกันสักครู่ รองเจ้าตำหนักก็รั้งให้พวกเขาร่วมดื่มสุราด้วยกัน ฉู่อิ่งหงดูท้องฟ้า ใกล้จะยามซื่อแล้ว ก็ลุกขึ้นยิ้มกล่าวว่า “พวกเราต้องเร่งเดินทางไปขจัดปีศาจยังเขาลู่ไถซาน เกรงแต่ว่าไม่อาจร่วมดื่มกับรองเจ้าตำหนักได้แล้ว วันหน้างานชุมนุมปักบุปผา ต้องเป็นเพื่อนท่านดื่มให้หนำใจสักสามจอก!” 

 

รองเจ้าตำหนักได้ยินก็ไม่อาจดึงดันรั้งไว้ เพียงยิ้มกล่าวว่า “ได้! ข้าก็มีงานสำคัญรออยู่ ไม่เช่นนั้นคงได้ร่วมเดินทางไปกับทุกท่าน เช่นนี้แล้วกัน ศิษย์ตำหนักเรา ซือเฟิ่ง พอมีความสามารถอยู่บ้าง รู้เรื่องการกำราบปีศาจยิ่ง ทุกท่านพาเขาไปด้วย เด็ดบุปผาก็ย่อมช่วยได้บ้าง ไม่คอยถ่วงทุกคนเป็นแน่” 

 

ฉู่เหล่ยเดิมคิดปฏิเสธ แต่คิดถึงรองเจ้าตำหนักที่แต่ไรมีนิสัยประหลาด หากปฏิเสธน้ำใจเขา ถึงตอนนั้นเกิดมีเรื่องกันย่อมไม่ดี เช่นนั้นจึงรับปาก 

 

รองเจ้าตำหนักโบกมือ กล่าวว่า “ซือเฟิ่ง เจ้าไปกับพวกเจ้าสำนักฉู่จับปีศาจ เสร็จงานให้กลับเส้าหยางไป ไม่ต้องเร่งกลับตำหนักหลีเจ๋อ” 

 

กล่าวจบ ทุกคนก็รู้สึกครู่หนึ่ง พลันเห็นเด็กหนุ่มร่างผอมบางไม่รู้ออกมาจากทางไหน คุกเข่าลงตรงหน้า รองเจ้าตำหนัก ก้มหน้ากล่าวว่า “ศิษย์รับคำสั่ง” 

 

เสวียนจีรู้สึกเพียงว่าชื่อนี้คุ้นมาก ซือเฟิ่ง…ซือเฟิ่ง…แท้จริงเคยได้ยินที่ไหนมา นางพยายามนึกย้อนกลับไป พลันเห็นชายหนุ่มหันกลับมา คารวะท่านพ่อนาง บนใบหน้าเขาสวมหน้ากากอสุรา ที่เอวยังเหน็บถุงหนังปักลายดอกสีทอง ท่าทางเช่นนี้ทำเอานางพลันนึกออก อดชี้เขาไม่ได้ “อา” ดังขึ้น กล่าวว่า “เป็นเจ้าเอง!” 

 

รองเจ้าตำหนักยิ้มกล่าวว่า “คุณหนูฉู่รู้จักศิษย์ข้า? คิดว่าคงเป็นเขาเคยล่วงเกินท่าน ศิษย์ข้านิสัยประหลาด คุณหนูอย่าได้นำไปใส่ใจ” 

 

เสวียนจีส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ ก็ไม่ใช่…” 

 

ซือเฟิ่งคำนับนางเล็กน้อย พยักหน้าไม่กล่าวอันใด ท่าทางมีมารยาทหากเย็นชา ต่างกับครั้งก่อนสักหน่อย ทำให้เสวียนจีรู้สึกตนเองอาจจะจำคนผิด  

 

รองเจ้าตำหนักกล่าววาจาตามมารยาทอีกสองสามวาจา ทุกคนจึงได้อำลาออกไป เหินกระบี่บินไปทางเขาลู่ไถซาน