ส่วนที่ 1 ตอนที่ 8 ชาวเงือก

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

จะไปยังเขาลู่ไถซาน ต้องผ่านหมู่บ้านลู่ไถ มีภาษิตหนึ่ง พ่อค้านักเดินทางหลายคนล้วนชอบกล่าวกันติดปาก 

 

หมู่บ้านลู่ไถมีชื่อเสียงทั่วหล้า ไม่เพียงเป็นทางขึ้นเขาลู่ไถซานที่ขึ้นยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ ยิ่งกว่านั้นหมู่บ้านลู่ไถยังผลิตสุรารสดี กั่วจื่อหวง 

 

ว่ากันว่าสุรานี้ใช้ผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีเฉพาะเชิงเขาลู่ไถซานเท่านั้นในการหมัก ปิดผนึกแล้วฝังใต้ดิน ผ่านไปปีกว่าค่อยนำออกมา ตักฟองที่ลอยออก เทใส่ชามแก้วผลึก สีสุราเหลืองราวอำพัน สีเหลืองเข้มกระจ่างพร้อมทั้งกลิ่นผลไม้หอมประหลาดแตะจมูก ดังนั้นคนโบราณจึงตั้งชื่อว่า กั่วจื่อหวง แปลว่าผลไม้เหลือง ชื่อธรรมดาสามัญเข้าใจง่าย 

 

ตอนทุกคนเดินทางมาถึงหมู่บ้านลู่ไถก็เลยเที่ยงแล้ว ในหมู่บ้านมีเพียงคนผ่านไปมาไม่กี่คน ภาพไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนเมื่อก่อน คิดว่าเป็นเพราะระยะนี้มารปีศาจก่อเรื่องออกกินคน ดังนั้นจิตใจคนจึงหวาดกลัว แม้แต่ร้านค้าข้างทางก็หน้าตากลัดกลุ้ม ถอนหายใจว่าระยะนี้ขาดทุน 

 

ฉู่เหล่ยมองไปรอบๆ เห็นภาพเงียบเหงาตรงหน้า ก็อดถอนหายใจไม่ได้ “มารปีศาจออกก่อเรื่อง ทำเอาราษฎรไม่เป็นสุข” 

 

ตงฟางชิงฉีตบบ่าเขา “น้องฉู่ไยทำหน้านิ่วคิ้วขมวด พวกเราวันนี้มาถึงที่นี่ ไม่ใช่เพื่อกำจัดปีศาจหรือ” 

 

ขณะกล่าวนั้น ฉู่อิ่งหงก็ถามข่าวจากคนขายของข้างทางได้ความมาแล้ว กลับมายิ้มกล่าวว่า “ศิษย์พี่ไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อครู่ข้าถามน้องชายท่านนั้นมาแล้ว เขาว่ามารปีศาจสองตัวมักจะออกมาตอนค่ำคืน กลางวันไม่ค่อยได้ทำร้ายผู้คน พวกเราไม่สู้หาโรงเตี๊ยมพักกันก่อน คืนนี้ขึ้นเขาไปสืบดูไม่สาย” 

 

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย จงหมิ่นเหยียนเห็นทุกคนเดินไปด้านหน้า เสวียนจีกลับยืนเหม่ออยู่หน้าร้านขายอาหารกินเล่นริมทาง จึงเข้าไปผลักนางทีหนึ่ง กระซิบว่า “เหม่ออันใด! รีบเดินเร็ว!” 

 

เสวียนจีส่งเสียง “อ้อ” หากไม่รีบไม่ร้อน คว้าเอาแผ่นทองแดงออกจากแขนเสื้อ ชี้ไปที่ขนมนึ่งในหม้อ ท่าทางจริงจังกล่าวว่า “เถ้าแก่ ข้าเอาสองชิ้น” 

 

จงหมิ่นเหยียนขมวดคิ้วกล่าวว่า “มากินขนมนึ่งอันใดยามนี้! ถึงโรงเตี๊ยมยังต้องกินข้าวอีก! เจ้าเรื่องมากจริง!” 

 

เสวียนจีประคองถุงใส่ขนมนึ่งไว้ในมือ กัดไปคำหนึ่ง ร้อนเกือบพ่นออกมา ปากอู้อี้กล่าวว่า “กินข้าว…กับกินขนมมันคนละเรื่อง” 

 

จงหมิ่นเหยียนถูกนางทำเอาโมโหจนไม่พูดจา ได้แต่ค้อนใส่ 

 

เสวียนจีค่อยๆ เป่าไอร้อนจากขนมนึ่งที่ลอยกรุ่น พลันเห็นอวี่ซือเฟิ่งด้านหน้าหันกลับมามองนางอยู่ตลอด มีหน้ากากปิดกั้นไว้ชั้นหนึ่งทำให้รู้สึกว่าสายตาเขาไม่เป็นมิตรมาก นางยกขนมนึ่งขึ้นสูง คิดว่าเขาอยากกิน เขากลับตวัดสายตารังเกียจใส่นาง จากนั้นก็ถอยกลับมาข้างเสวียนจีอย่างเงียบๆ กระซิบข้างหูนางเบาๆ ว่า “หญิงชั่วร้าย กินเก่งจริง ราวสุกร” 

 

นางอยู่ดีๆ ถูกด่าไร้สาเหตุ เสียดายที่ในปากอัดแน่นไปด้วยขนมนึ่ง กล่าวไม่ออก ตากลมโตได้แต่จ้องมองกลับไปอย่างงุนงง 

 

เขาถึงกับอารมณ์ดีขึ้นมาทันที ยิ้มเล็กน้อย เร่งฝีเท้าเดินตามฉู่เหล่ยไป ประสานมือกล่าวว่า “เจ้าสำนักฉู่ ข้าน้อยไร้สามารถ เคยอยู่ หมู่บ้านลู่ไถ มาระยะหนึ่ง หลายวันอยู่ หากไม่รังเกียจ ข้าน้อย ขอนำ อาวุโสทุกท่าน โปรดชี้แนะ” 

 

ฉู่เหล่ยยังไม่ทันตอบ ฉู่อิ่งหงข้างๆ ก็ยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นรบกวนเจ้าแล้ว เจ้าชื่อ…” 

 

“ผู้น้อย อวี่ซือเฟิ่ง” 

 

“เช่นนั้นก็ดี ซือเฟิ่ง” นางกล่าวว่า “พาพวกเราไปร้านสุราในหมู่บ้านที่ดีที่สุด พวกเราจะลองกั่วจื่อหวงที่มีชื่อเสียงทั่วหล้าเสียหน่อย” 

 

“ขอรับ อาวุโส โปรดตามข้ามา” 

 

เอ๋? ไม่ไปโรงเตี๊ยมแล้ว? เสวียนจีกว่าจะยัดขนมนึ่งเข้าปากหมดก็ไม่ง่าย ก่อนจะพบว่าพวกเขาเข้าไปยังร้านสุราที่แขวนธงสีเหลืองหน้าประตู จงหมิ่นเหยียนเห็นนางท่าทางเหม่อมองงุนงง อดถอนหายใจไม่ได้ คิดถึงตนเองรับปากอาจารย์ไว้ ตลอดทางนี้ให้ดูแลศิษย์น้องเล็กมากๆ ได้แต่กล่าวว่า “เจ้านี่ หากฉลาดได้ครึ่งหนึ่งของหลิงหลง ข้าเองก็คงไม่ต้องลำบากมาคอยดูแลเจ้า” 

 

เสวียนจียิ้มเล็กน้อย ไม่กล่าวอันใด 

 

กล่าวถึงทุกคนเดินเข้าร้านสุรา เดิมคิดว่าเงียบเหงาเหมือนด้านนอก ผู้ใดจะรู้ว่าถึงกับมีคนนั่งกันเต็ม คนไปคนมา ครึกครื้นยิ่ง 

 

อวี่ซือเฟิ่งสนทนากับเสี่ยวเอ้อร์สองสามคำ ก็นำพวกเขาไปนั่งในห้องรับรองชั้นสอง เขาเองลงไปชั้นล่างอีก ไม่นานก็นำชายวัยกลางคนหนึ่งขึ้นมา เป็นนายพรานในหมู่บ้าน ได้ยินว่าพวกเขามากำจัดปีศาจ ก็รับปากรับค่าจ้างจากอวี่ซือเฟิ่ง นำทางพวกเขาไปยามดึก 

 

“ท่านนี้คือ อาหวัง อยู่ใน หมู่บ้าน เป็นนายพราน สิบกว่าปี เขาเคย เห็นกับตา มารปีศาจ สองตัวนั่น ยังเคยร่วม เข้ารังสังหาร หลายครั้งก่อน ควรจะ มีประโยชน์ กับพวกเรา” 

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวจบ หันไปพยักหน้า นายพรานหวังคนผู้นั้นจึงกล่าวว่า “พูดไปแล้ว หลายวันนี้ไม่มีคนพูดถึงเรื่องกำจัดปีศาจ เมื่อก่อนเกิดเรื่องใหญ่หลายครั้ง ตายกันไปมากมาย ทุกคนล้วนหวาดกลัวแล้ว พวกเรานายพรานก็แล้วไป กลางวันยังร่วมกันขึ้นเขาได้ พ่อค้าที่ต้องผ่านทางมาพวกนั้นก็แย่หน่อย ไม่มีทางรอด หากคาราวานใหญ่หลายสิบหลายร้อยคนยังดี ไหนเลยจะส่งตนเองเข้าปากมารปีศาจเปล่าๆ! หลายคนในหมู่บ้านไม่อาจกลับบ้านเกิดได้ เงินทองติดตัวใกล้ใช้หมดแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าบีบคนให้ตายหรือ!” 

 

ฉู่อิ่งหงกล่าวอ่อนโยนว่า “พี่ชายท่านนี้อย่าได้กังวล พวกเรามาครั้งนี้ก็เพื่อกำจัดปีศาจ คืนความสงบให้แก่หมู่บ้านลู่ไถ เพื่อส่วนรวม ขอพี่ชายชี้แนะพวกเรา” 

 

นายพรานหวังจับหมวกหนังเสือ ยิ้มซื่อๆ “น้องสาวท่านนี้กล่าวได้น่าฟัง ข้าเป็นคนหยาบกระด้าง ฟังไม่ค่อยเข้าใจ สรุปพวกท่านมาเพื่อกำจัดปีศาจ ช่วยชาวหมู่บ้าน มีอันใดให้ข้าทำได้ ขอเพียงสั่งการมาก็พอ อย่าได้เกรงใจ!” 

 

ฉู่เหล่ยถามกล่าวว่า “เช่นนั้นรบกวนพี่ชายท่านนี้ ช่วยนำทางให้พวกเราคืนนี้หน่อย ไม่ทราบมารปีศาจสองตัวนั่นมักปรากฏตัวที่ใด รังมันอยู่ที่ใด” 

 

“ส่วนใหญ่พวกมันปรากฏตัวในยามไฮ่ ยามจื่อยามจื่อผ่านไปก็กลับรัง มักจะปรากฏตัวหลายที่ แต่ล้วนเป็นที่มีน้ำ เจ้านกเฒ่านั่นร้ายกาจอยู่! เอาแต่หลบในน้ำลากคน! รังสุนัขฟ้าอยู่ด้านหลังเขาแถบนั้น นกเฒ่าฉลาดมาก ทุกวันจะเปลี่ยนที่ ไม่แน่ไม่นอน!” 

 

ฉู่เหล่ยได้ยินก็เงียบเป็นนานฉู่อิ่งหงกล่าวว่า “เจ้าสำนัก เกรงว่าหาไม่พบในทันที?” 

 

เขาพยักหน้า “คิดไม่ถึงว่าอินทรีกู่เตียวเจ้าเล่ห์เช่นนี้ เช่นนี้แม้ใช้เกลือสาดใส่ดวงตามัน ก็ไม่รู้จะไปหารังเพื่อกำจัดให้สิ้นซากได้ที่ใด” 

 

ฉู่อิ่งหงยิ้มกล่าวว่า “ข้าพอมีวิธี ในเมื่อมันหลบซ่อนตัว พวกเราจะหาก็ต้องเปลืองแรง ไม่สู้ล่อพวกมันออกมาเอง” 

 

นางตบมือเรียกเด็กสามคนเข้ามา สั่งการทีละคน “เสวียนจี เจ้าไปซื้อหม้อมาสามใบ แล้วซื้อน้ำผึ้งหนึ่งไหกับคบไฟยางสนยี่สิบแท่ง หมิ่นเหยียนกับซือเฟิ่งไปด้วยกัน ไปตลาดซื้อเกลือกับซอสเปรี้ยว มีเท่าไรซื้อมาให้หมด แล้วจ้างคนหนุ่มใจกล้าหลายคนหน่อย คืนนี้ช่วยพวกเราแบกขึ้นเขา” 

 

กล่าวจบนางก็ควักตั๋วเงินออกจากกระเป๋าแพร แบ่งให้แต่ละคน กำชับอีกว่า “เมื่อครู่ตอนมาเห็นทางเลี้ยวนั่นมีร้านแลกเงิน เอาตั๋วเงินไปแลกก่อนค่อยไปซื้อของ จดบัญชีละเอียดหน่อย ห้ามแอบอมเงิน!” 

 

กล่าวไปก็หัวเราะไป 

 

ตงฟางชิงฉีเห็นนางแบ่งงานละเอียด ท่าทางมั่นใจมาก อดไม่ได้กล่าวอย่างแปลกใจว่า “เจ้าหอฉู่มีวิธีการยอดเยี่ยมอันใด” 

 

ฉู่อิ่งหงยิ้มกล่าวว่า “วิธีการยอดเยี่ยมไม่กล้ากล่าว ข้าเพียงแค่คิดว่าสุนัขฟ้าเป็นปีศาจอดอยากที่มีชื่อที่สุด พวกเราไปหามัน ไม่สู้ไปย่างเนื้อริมน้ำ ใช้กลิ่นหอมล่อมันออกมา ไม่ว่าอินทรีกู่เตียวมาด้วยหรือไม่ อย่างไรพวกเราก็กำจัดไปได้ตัวหนึ่งก่อน” 

 

นางควักกระดาษและหมึกออกจากห่อผ้า ทำตามที่นายพรานหวังว่า วาดแผนที่ง่ายๆ ลงไป สามคนดื่มสุรากั่วจื่อหวงไปพลางหารือการปฏิบัติการคืนนี้ไปพลาง 

 

เด็กสามคนทางนี้ลงไปชั้นล่าง ตรงไปร้านแลกเงินแลกตั๋วเป็นเงินก่อนจะแยกกันไปจัดการ เสวียนจีซื้อของที่ฉู่อิ่งหงกำชับไว้เสร็จก่อน อุ้มทั้งหมดไว้ในอ้อมแขน เดินกลับไปอย่างยากลำบาก 

 

เดินไปได้ครึ่งทาง พลันได้ยินเสียงเคาะไม้ดังขึ้นที่มุมหนึ่ง มีคนร้องตะโกนดังว่า “มาดูกัน! ปีศาจเป็นๆ! มากันมากัน! ปีศาจเป็นๆ!” 

 

เสวียนจีแม้อยู่ในสำนักบำเพ็ญเซียน แต่เล็กต้องท่องรายชื่อปีศาจนับหมื่นให้คล่อง แต่ปีศาจตัวเป็นๆ นางเองก็ไม่เคยได้เห็นสักครั้งจริงๆ เห็นบนท้องถนนมีคนเดินไปมาไม่น้อยล้วนถูกดึงดูดให้ไปทางนั้น นางเองก็อดอุ้มของวิ่งตามไปไม่ได้ พยายามชะเง้อคอมองไปทางฝูงชน 

 

นางร่างเล็ก ได้แต่มองเห็นเพียงแค่เหนือหัวผู้คนมีขอบอ่างแก้วผลึก เป็นอ่างปลาที่ความสูงเท่ากับคน สี่มุมมีแผ่นทองแดงกันไว้ ด้านในบรรจุน้ำ ในน้ำไม่รู้เลี้ยงอะไรไว้ ในนั้นเคลื่อนไหวราวบ้าคลั่ง น้ำกระเซ็นรอบทิศ คนรอบๆ ส่งเสียงตกใจพักหนึ่ง พักหนึ่งก็มีเสียงถอนหายใจ กลับไม่มีคนเข้าใกล้ 

 

“อา…มีหางจริงด้วย…หางปลา…อา เป็นชาย!” 

 

“เขามองมาแล้ว! มองมาทางนี้!” 

 

ฝูงชนอลหม่าน พากันถอยหลัง เสวียนจีถูกชนหมุนไปมา ของในมือเกือบร่วงหมด คนรอบๆ เหมือนกำลังเบียดมาทางนาง นางได้แต่หลบและหลีก ได้แต่รู้สึกว่าด้านหลังถูกคนผลัก ขวดน้ำผึ้งที่คล้องแขนนางไว้ร่วงหล่นลงพื้น แตกกระจาย เพล้ง 

 

“อา” นางตกตะลึงมองน้ำผึ้งสาดเต็มพื้น ไม่รู้ควรทำเช่นไรดี 

 

กำลังลังเลนั่นเอง ก็ได้ยินเสียงน้ำดังขึ้นเหนือศีรษะ นางยังไม่ทันได้เงยหน้า ก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว ถูกน้ำกระเซ็นออกมาจากในอ่างแก้วผลึกราดเปียกชุ่ม 

 

วันนี้นางมีดาวโชคร้ายลอยผ่านหัวหรือ 

 

เสวียนจีเช็ดน้ำบนในหน้าเงียบๆ มุมตาหรี่มองไปยังที่ข้างๆ อ่างแก้วผลึกว่าเป็นสิ่งใดกำลังกระโดดไปมา ราวกับว่าเป็นปลาสีขาวตัวใหญ่มากตัวหนึ่ง 

 

พอหันกลับไปก็สบเข้ากับใบหน้าซีดขาว ในใจเสวียนจีพลันตกใจนิ่งงัน ของในมือร่วงหล่นตุบลงบนน้ำผึ้งหมด 

 

ในอ่างแก้วมีบางสิ่งกระโดดดิ้นไปมาอย่างบ้าคลั่ง ถึงกับเป็นคน…ไม่ ก็ไม่ใช่คน ครึ่งท่อนบนเขาเป็นชายธรรมดา ไหล่กว้างเอวคอด ผมยาวดำสลวยไปมาในน้ำ ราวกับสาหร่ายในน้ำ ใบหน้าซีดขาวเห็นชัดเจนท่ามกลางผมยาว คิ้วมองชัด ราวกับรู้สึกว่าดวงตาเขามีประกายไฟ กระจ่างราวดาวส่องประกาย 

 

ช่วงเอวลงไป เป็นหางปลายาวติดกับเอว เกล็ดบนหางสีเงิน ครีบหางราวกับแพรไหม พลิ้วไปมาในน้ำ และยังตีให้น้ำเป็นฟองมากมาย  

 

เขาเห็นนางแล้ว ค่อยๆ ว่ายเข้ามา สองมือยันผนังโอ่งแก้วผลึก ผมยาวในน้ำราวสาหร่าย สองดวงตามองนางอย่างเงียบๆ 

 

มองนางเช่นนี้ เอาแต่มองมา 

 

ราวกับว่านานนานมาแล้ว เขาคุ้นเคยกับนาง เข้าใจนาง ใช้ดวงตานิ่งสงบมองมายังนาง ในแววตาซ่อนความลับนับไม่ถ้วนและวาจานับหมื่นพัน 

 

เสวียนจีอึ้งอยู่กับที่ ในใจทั้งคุ้นเคยและงุนงงสับสน ได้แต่จ้องมองสบตากับ พลันลืมสิ่งรอบกายไปสิ้น