บทที่ 1290 – จดจำความเป็นเจ้าของ ก้าวเข้าสู่ประตูอันยิ่งใหญ่ไปสู่เส้นทางแห่งสวรรค์

 

“ข้าเคยหยดโลหิตแก่นแท้ของข้าลงไปแล้วแต่มันก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ” หญิงสาวอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวัง

 

“ท่านต้องหยดโลหิตแก่นแท้ของท่านต่อไปจนกว่ามันจะสำเร็จ” ชิงสุ่ยอธิบายต่อไป

 

“ข้าเองก็เคยคิดเช่นนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดข้าจึงทำมันไม่สำเร็จ เฮ้ เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? มันจริงนั้นหรือ? เจ้าไม่ได้หลอกให้ข้ามีความสุขใช่หรือไม่?” นางมองมายังชิงสุ่ยด้วยสายตาแปลกๆ

 

ชิงสุ่ยยิ้ม เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาเพียงใช้เคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์อีกหนึ่งครั้งเพื่อตรวจสอบธงสวรรค์ปัญจธาตุที่อยู่ในมือของเขา

 

ธงสวรรค์ปัญจธาตุ (ตัวส่ง)!

 

มันไม่มีระดับ สำหรับตอนนี้ยังไม่มีแท่นหินเคลื่อนย้ายที่ได้วางลงบนแผนที่ จำนวนของแท่นหินเคลื่อนย้ายนั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้เมื่อมันยกระดับขึ้น ผู้ใช้สามารถเดินทางไปมาระหว่างตำแหน่งที่วางเอาไว้ได้ จำนวนครั้งในการเดินทางนั้นยังมีข้อจำกัดบางอย่าง

 

สถานะ: ยังไม่ได้แสดงความเป็นเจ้าของ

 

วิธีแสดงความเป็นเจ้าของ: สละโลหิตแก่นแท้ของผู้ที่ต้องการแสดงความเป็นเจ้าของจนกว่ากระบวนการในการแสดงความเป็นเจ้าของจะเสร็จสิ้น

 

ต้องการโลหิตแก่นแท้ในการยกระดับขึ้น

 

มันสามารถใช้เคลื่อนย้ายผู้คนที่มีธงสวรรค์ปัญจธาตุ (ตัวรับ) ไปอีกที่หนึ่งได้ ไม่มีข้อจำกัดในการใช้งานเพียงแต่ว่าผู้ใช้ทั้งคู่จะต้องมีธงนี้จึงจะสามารถใช้งานได้

 

……

 

ชิงสุ่ยใช้เข็มทองคำแทงไปบนร่างกายของตนเอง หลังจากนั้นเขาก็นำโลหิตแก่นแท้ออกมาจากสระโลหิตแก่นแท้และหยดลงไปบนธงสวรรค์ปัญจธาตุ  1 หยด  2 หยด……

 

โลหิตแก่นแท้ภายในร่างกายของมนุษย์นั้นสำคัญอย่างยิ่ง ทุกๆหยาดโลหิตแก่นแท้ที่เขาได้หยุดลงไปในธงนี้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง มันยังดีที่โลหิตแก่นแท้ของเขานั้นสามารถฟื้นฟูได้โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน หากจำเป็นเขาอาจจะต้องใช้ยาบางอย่างเพื่อช่วยในการฟื้นฟูนี้

 

เขาได้หยดโลหิตแก่นแท้ของตนเองลงไปอย่างรวดเร็วถึง 10 หยด แม้แต่ใบหน้าของชิงสุ่ยก็ดูซีดลงอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวที่อยู่ข้างๆเขาเริ่มขมวดคิ้วขึ้นมา

 

100 หยด!

 

เมื่อมีหยดโลหิตแก่นแท้หยดลงไปครบ 100 หยด ธงสวรรค์ปัญจธาตุก็สว่างขึ้นในทันที พลังวิญญาณอันทรงพลังแผ่กระจายออกมาโดยรอบ ธงสวรรค์ปัญจธาตุดูเปล่งประกายอย่างน่าเหลือเชื่อ

 

ชิงสุ่ยตรวจสอบธงสวรรค์ปัญจธาตุนี้อีกครั้งหลังจากแสงของมันได้หายไป

 

ธงสวรรค์ปัญจธาตุ (ตัวส่ง)!

 

มันยังไม่มีระดับแต่ก็สามารถใช้ได้ด้วยโลหิตแก่นแท้วันละครั้ง ในตอนนี้ยังไม่มีแท่นหินเคลื่อนย้ายที่ได้วางลงบนแผนที่ จำนวนของแท่นหินเคลื่อนย้ายนั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้เมื่อมันยกระดับขึ้น ผู้ใช้สามารถเดินทางไปมาระหว่างตำแหน่งที่วางเอาไว้ได้ จำนวนครั้งในการเดินทางนั้นยังมีข้อจำกัดบางอย่าง

 

สถานะ: จดจำความเป็นเจ้าของแล้ว

 

สามารถเคลื่อนย้ายผู้ที่มีธงสวรรค์ปัญจธาตุ (ตัวรับ) ไปยังอีกที่หนึ่งโดยไม่มีข้อจำกัด แต่ว่าผู้ใช้ทั้งคู่จะต้องมีธงสวรรค์ปัญจธาตุนี้จึงจะสามารถใช้งานได้

 

ชิงสุ่ยหยดโลหิตแก่นแท้ของเขาลงไปอีก หลังจากนั้นเขาก็ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาและแผ่กระจายมันออกไปรอบๆธงสวรรค์ปัญจธาตุ เขาปลุกมันสำเร็จแล้วครั้งหนึ่ง บางทีอาจจะเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกหรืออาจจะมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับโลหิตแก่นแท้ของเขาแต่เขารู้สึกว่ากระบวนการนี้มีอะไรบางอย่างแปลกประหลาดไป มันอาจจะใช้เวลาอีกหลายวันเพื่อให้มันยกระดับไปยังระดับขั้นแรก

 

“ท่านปรมจารย์ป้า เหตุใดท่านจึงไม่แสดงความเป็นเจ้าของแก่มัน? ข้าได้บอกวิธีการแก่ท่านแล้ว” ชิงสุ่ยถามด้วยรอยยิ้มหลังจากคิดครู่หนึ่ง

 

หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้า หลังจากนั้นนางก็เริ่มใช้โลหิตแก่นแท้ของตนเองหยดลงไปบนธงสวรรค์ปัญจธาตุทีละหยด แต่ชิงสุ่ยเริ่มรู้สึกสับสนเพราะว่านางทำสำเร็จตั้งแต่หยดที่ 80

 

หลังจากที่นางทำสำเร็จชิงสุ่ยก็มองนางด้วยสายตาแปลกๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้มีปฏิสัมพันธ์กันบ้างแล้ว มันช่างรู้สึกแปลกประหลาดจริงๆ ราวกับว่าเลือดของพวกเขานั้นเป็นตัวเชื่อมต่อของกันและกัน พวกเขาเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้นโดยไม่รู้ตัวแต่.. มันก็ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย

 

ดูเหมือนว่าหญิงสาวผู้นี้ก็อาจรู้สึกได้เช่นกัน แต่นางยังคงมีท่าทีที่เป็นปกติ สำหรับกระบวนการในการแสดงความเป็นเจ้าของนี้ชิงสุ่ยรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้แก่นางต่อเพราะว่านางคงรับรู้ได้ถึงวิธีการใช้งานของมันแล้ว

 

ในตอนแรกนางรู้สึกว่าธงนี้นั้นเป็นคู่กันจากคำพูดของชิงสุ่ย นางคิดว่าชิงสุ่ยปฏิเสธที่จะรับสิ่งของชิ้นนี้เพราะว่ามันมีค่ามากเกินไป ตอนนี้นางได้รู้แล้วว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริง นอกจากนี้ดูเหมือนว่าในตอนนี้พวกเขานั้นจะมีอะไรบางอย่างที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น พวกเขาสามารถรู้สึกได้ถึงจิตใจของอีกฝ่ายและสามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายนั้นตกอยู่ในอันตรายหรือไม่

 

หลังจากที่นางได้เป็นเจ้าของมันนางก็รู้ได้ทันทีว่าของชิ้นนี้นั้นล้ำค่ามากเพียงใด หากวันนี้นางไม่ได้พบกับชิงสุ่ยนางก็ยังคงคิดว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่มีข้อบกพร่อง เพราะสมบัติชิ้นนี้นั้นต้องการโลหิตแก่นแท้มากมายที่จะแสดงความเป็นเจ้าของ นอกจากนี้แม้จะมีใครหยดโลหิตแก่นแท้ลงไปก็คงไม่มีใครที่จะรู้ได้ว่ามันจะต้องใช้โลหิตแก่นแท้มากมายถึงเพียงนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเขาจะต้องหยดมันต่อไปเรื่อยๆจนกว่ากระบวนการนี้จะสำเร็จ ปกติแล้วเพียงหนึ่งหยดนั้นก็สำเร็จแล้ว ดังนั้นเมื่อมันไม่สำเร็จผู้คนจึงยอมแพ้เรื่องนี้ไปในทันที

 

หลังจากที่ธงสวรรค์ปัญจธาตุได้จดจำว่าเขาเป็นเจ้าของแล้ว มันก็สามารถเข้าไปอยู่ในจุดตันเถียนของเขาได้ ในตอนนี้มันลอยอยู่เหนือก้อนทองคำภายในร่างกายของเขา

 

ด้านหนึ่งของก้อนทองคำภายในร่างกายของเขานั้นเป็นกระบี่ดารายุพฆาต  ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นเป็นหุบเขา 9 เทวา ……

 

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้รับรู้ได้อย่างชัดเจนด้วยการรับรู้ทางจิตวิญญาณของชิงสุ่ย จุดตันเถียนของชิงสุ่ยได้เปลี่ยนแปลงไป ก้อนทองคำภายในร่างกายของเขาได้หายไปแล้ว มันถูกแทนที่ด้วยคนตัวเล็กๆที่สวมชุดเกราะสีทอง ด้านบนของชุดเกราะนั้นมีภาพของหมีทะลายโลกา มันถือกระบี่ดารายุพฆาตในมือซ้ายและมีหุบเขา 9 เทวาคอยช่วยเหลืออยู่  ทางด้านขวาที่หัวไหล่ของมันนั้นมีธงสวรรค์ปัญจธาตุปักอยู่ คนตัวเล็กๆนี้มีกลิ่นอายที่สามารถสั่นสะเทือนไปทั้งโลกาได้ นี่ช่างน่าประหลาดใจอย่างยิ่งสำหรับชิงสุ่ย คนตัวเล็กๆนี้มีหน้าตาที่เหมือนกับเขาเลย

 

ฉากตรงหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง ชิงสุ่ยพบว่าตัวเขานั้นกำลังรออยู่กลางอากาศ รอบๆตัวเขานั้นเป็นยอดฝีมือและเหล่าสัตว์อสูรมากมาย เขากวัดแกว่งดาบในมือและส่งหุบเขา 9 เทวาไปปะทะกับศัตรูทันที จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไป เขาสะบัดมืออีกครั้งและสิ่งที่เหมือนกับมังกรสีเทาก็ปรากฏขึ้น ในตอนที่เขาได้กวัดแกว่งมันท้องฟ้านั้นก็เริ่มเปลี่ยนสี แส้เปลวเพลิงมังกรขั้นแรกเริ่ม นี่คือแส้เปลวเพลิงมังกรขั้นแรกเริ่มที่แท้จริง …

 

สิ่งที่เขาได้เห็นนั้นเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง มันย้อนกลับไปในอดีตเมื่อตอนที่ชิงสุ่ยถูกเยาะเย้ยโดยทุกๆคน เขายังเด็กยิ่งนักและมีเพียงท่านแม่ที่รักและห่วงใยเขา นั่นคือเหตุการณ์จนกระทั่งเขาเริ่มฝึกหนัก หลังจากนั้นเขาก็ได้รับประสบการณ์และสิ่งต่างๆมากมาย ชีวิตของเขาต้องแขวนอยู่บนความตายมากี่ครั้งแล้วนะ? ในสิ่งที่เขาได้เห็นนั้นปรากฏภรรยาและสหายของเขาออกมาด้วยเช่นกัน

 

……

 

นี่เป็นเรื่องราวที่สรุปสิ่งที่เขาได้พบมาตลอดชีวิต อย่างไรก็ตามฉากที่แสดงออกมานี้ได้ปรากฏผู้คนมากมาย

 

ชิงสุ่ยรู้สึกตกตะลึงไปในทันที นี่คือภาพลวงตานั้นหรือ? หรือว่ามันพยายามจะบอกอะไรบางอย่างแต่เขา? เขาไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ในตอนนี้เขาจ้องมองไปยังจุดตันเถียนของตนเองอีกครั้ง เขาเห็นว่าคนตัวเล็กๆที่อยู่ในชุดเกราะสีทองนั้นได้เปลี่ยนกลับไปเป็นก้อนทองคำภายในร่างกายของเขา ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เขาได้เห็นฉากต่างๆในชีวิตของตนเอง

 

เมื่อเขาได้สติกลับมาท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว ตอนนี้เกือบจะเป็นเวลากลางคืนแล้ว เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าก่อนหน้านี้มันยังไม่ถึงตอนบ่ายด้วยซ้ำ แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่ามันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆแต่เวลาก็ได้เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ชิงสุ่ยเห็นหญิงสาวนั้นยังคงยืนอยู่ข้างๆเขา ความจริงแล้วนางยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมเลย ในตอนนี้นางมองมายังชิงสุ่ยด้วยความประหลาดใจ เขาคงไม่รู้ว่าจริงๆแล้วนางรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างยิ่งภายในจิตใจตอนนี้

 

“เวลาได้ผ่านไปเร็วนัก ข้าเพียงเหม่อลอยไปครู่เดียวท้องฟ้าก็มืดลงเสียแล้ว” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความรู้สึกอายเล็กน้อย

 

ในตอนนี้หญิงสาวกลอกตาของตนเองไปมาด้วยความพูดว่า “หากนั่นคือการเหม่อลอยจริงๆ เจ้าก็คงไปถึงเส้นทางแห่งสวรรค์แล้ว ผู้คนมากเพียงใดกันที่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองจนกลายเป็นยอดฝีมือ? เจ้านั้นคือหมาป่า เหตุใดจึงแกล้งทำตัวเป็นลูกแกะตัวหนึ่ง?”

 

ชิงสุ่ยรู้สึกตกตะลึงในตอนนี้ หากจะกล่าวตามแบบของเขาก็คือนางกำลังบอกว่าเขากำลังเล่นละครตบตานางอยู่

 

หลังจากที่ได้ยินดังกล่าวเช่นนี้ชิงสุ่ยก็ตกตะลึงไปในทันที เรื่องที่ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงนั่นก็คือสิ่งที่นางพูดเกี่ยวกับประตูอันยิ่งใหญ่แห่งเส้นทางแห่งสวรรค์ หนทางที่เปลี่ยนไปของจุดตันเถียนของเขาเองที่เขาได้เห็นด้วยตาตัวเอง บางทีนี่อาจจะเป็นพลังที่แข็งแกร่งในอนาคต?

 

“ข้าได้ก้าวเข้าสู่ประตูอันยิ่งใหญ่แห่งเส้นทางแห่งสวรรค์แล้วนั้นหรือ?” ชิงสุ่ยมองไปยังหญิงสาวผู้นี้ด้วยความมึนงง

 

“สิ่งที่เจ้าได้เห็นในตอนนี้นั้นแสดงให้เห็นว่าเจ้าได้เข้าสู่เส้นทางแห่งสวรรค์แล้ว” หญิงสาวมองมายังชิงสุ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ

 

“ท่านก็เห็นสิ่งที่ข้าได้เห็นนั้นหรือ?” ชิงสุ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

 

“ข้าได้ประโยชน์มากมายจากเจ้าในวันนี้เรื่องธงสวรรค์ปัญจธาตุ ก่อนหน้านี้เช้าก็ได้เห็นในสิ่งที่เจ้าเห็นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ข้ายังรู้ว่าเจ้าได้ข้ามผ่านประตูอันยิ่งใหญ่แห่งเส้นทางแห่งสวรรค์ไปแล้ว สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนในสิ่งที่เจ้ารู้สึกในตอนนี้โดยเฉพาะอารมณ์ของเจ้า แต่อย่ากังวลไปเลยข้าไม่ได้รับรู้อะไรไปมากกว่านั้น หากเจ้าไม่เชื่อในเรื่องนี้เจ้าก็ลองสัมผัสความรู้สึกของข้าดูได้เช่นกัน ไม่ว่ายังไงข้าก็อยากจะขอบคุณเจ้า.. เจ้าเป็นคนที่พากเพียรพยายามอย่างแท้จริง” ในตอนนี้ใบหน้าที่เปี่ยมสุขของนางยากที่จะอธิบายด้วยคำพูดได้ นี่เป็นครั้งแรกที่ชิงสุ่ยได้เห็นสีหน้าเช่นนี้จากนาง

 

ชิงสุ่ยตกตะลึงไปอีกครั้ง เขาไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเป็นเช่นนี้ แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด โดยเฉพาะในตอนท้ายนั้นนางกล่าวชมเขานั้น? เขายิ้มและตอบกลับไปว่า “ท่านปรมจารย์ป้าแล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไรกันจากการก้าวเข้าสู่ประตูอันยิ่งใหญ่แห่งเส้นทางแห่งสวรรค์นี้?”

 

“เจ้าต้องหาคำตอบด้วยตัวของเจ้าเอง” หญิงสาวยิ้มขึ้น ในตอนที่นางกล่าวจบ ฝ่ามือของนางก็พุ่งตรงมาหาเขา

 

ชิงสุ่ยขวามือของนางไว้ด้วยสัญชาตญาณของเขา ทันทีที่มือของเขาพุ่งออกไปชิงสุ่ยก็สามารถรับรู้ได้ถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน หญิงสาวผู้นี้ไม่ได้พยายามจะหลบเลี่ยงเขา แต่กลับกันนางปล่อยให้เขาจับมือของนางได้ตามใจชอบ

 

ชิงสุ่ยเข้าใจในทันที ในตอนนี้การเคลื่อนไหวทุกๆครั้งของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกอันยิ่งใหญ่แห่งการเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ นี่เป็นความรู้สึกที่ลึกลับยิ่งนัก เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่คนธรรมดารู้สึกว่าพวกเขาสามารถระเบิดภูเขาได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว

 

เมื่อเขาได้ก้าวผ่านประตูขนาดใหญ่ไปสู่เส้นทางแห่งสวรรค์ เขาย่อมสามารถต่อกรกับผู้ที่มีพลังมากกว่าเขาถึง 2 เท่าแต่ยังไม่ได้เข้าสู่เส้นทางแห่งสวรรค์ได้ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีมีพลัง 10,000 สุริยาน้ำสามารถต่อกรกับผู้ที่มีพลัง 20,000 สุริยาแต่ยังไม่ได้เข้าสู่เส้นทางแห่งสวรรค์ได้

 

นี่คือความมหัศจรรย์ของเส้นทางแห่งสวรรค์ มันเป็นพลังที่ลึกลับอย่างยิ่ง ตั้งแต่สมัยโบราณมีเพียงผู้ที่มีพรสวรรค์ขั้นสูงสุดเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าสู่เส้นทางแห่งสวรรค์ได้

 

“นอกจากนี้หากเจ้าคิดจะเข้าสู่ระดับพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจ เจ้าจะต้องข้ามผ่านไปยังเส้นทางแห่งสวรรค์ให้ได้เสียก่อน” หญิงสาวอธิบายด้วยรอยยิ้ม

 

เมื่อได้ยินคำพูดของนางชิงสุ่ยก็ตระหนักว่าเขากำลังจับมือของนางอยู่ เขาจึงปล่อยมันไปด้วยความรู้สึกที่เกิดตาย ในทางกลับกันนางกลับดูปกติอย่างยิ่ง แต่แล้วก็กล่าวขึ้นมาว่า “เจ้ารู้สึกว่าข้าแก่เกินไปนั้นหรือ?”

 

“แน่นอนว่าไม่!” ชิงสุ่ยรีบบอกกล่าวแก่นางทันที

 

“ข้ายังถือว่าอายุน้อยยิ่งนักในหมู่ผู้ฝึกยุทธทั้งหลาย ข้ายังเด็กอยู่” หญิงสาวกลับไปยังห้องของนางทันทีหลังจากที่นางได้กล่าวจบ

 

ชิงสุ่ยเกาศีรษะของเขา เหตุใดนางจึงกล่าวออกมาเช่นนี้?

 

เขาเองก็มีท่านปรมจารย์ป้าคนอื่นๆ ความจริงแล้วเขาก็ต้องเรียกจรู้ชิงว่าท่านปรมจารย์ป้าที่ 3 ในอดีต แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ได้เปลี่ยนไปและจรู้ชิงก็ไม่ให้ชิงสุ่ยเรียกนางแบบนั้น แต่ชิงสุ่ยยังคงเรียกนางว่าท่านปรมจารย์ป้าเพื่อเย้าหยอกในเวลาที่พวกเขาได้อยู่ด้วย มันจะทำให้นางไปถึงจุดสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว

 

และในตอนนี้เขาก็ได้มีท่านปรมจารย์ป้าเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง แต่นางนั้นลึกลับยิ่งนัก ชิงสุ่ยไม่เคยเข้าใจความคิดของนางเลยสักครั้ง ดังนั้นเก็บงำเรื่องของตนเองได้อย่างดีเยี่ยมเช่นกัน

 

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญอีกต่อไป เรื่องที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือเขาได้ข้ามผ่านประตูอันยิ่งใหญ่ไปสู่เส้นทางแห่งสวรรค์ นี่จะทำให้เขาสามารถซึมซับพลังของมังกรไอยราเกล็ดทองคำได้

 

เมื่อคิดเช่นนี้ชิงสุ่ยก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาได้พบเจอกับประตูอันยิ่งใหญ่ที่นำไปสู่เส้นทางแห่งสวรรค์เพราะธงสวรรค์ปัญจธาตุ แม้ว่าเขาจะได้รับประโยชน์มากมายจากหญิงสาวผู้นี้แต่เขาก็รู้สึกว่านางก็ได้รับประโยชน์จากเขาไปมากมายเช่นกัน

 

เส้นทางแห่งสวรรค์ เส้นทางศักดิ์สิทธิ์ที่ทะยานไปสู่ท้องฟ้า แม้ว่าเขาจะสามารถสัมผัสมันได้เพียงเล็กน้อยแต่มันก็สร้างประโยชน์ให้แก่เขามากยิ่งนัก ผู้คนที่สามารถสัมผัสมันได้มีเพียงอัจฉริยะที่แท้จริงเท่านั้น ไม่เพียงเท่านั้นพวกเขาทั้งหมดปากทรงพลังอย่างยิ่ง. ดังนั้นจึงมีคนจำนวนน้อยอย่างยิ่งที่อยู่ในวัยเดียวกันกับชิงสุ่ยจะสามารถก้าวเข้าสู่เส้นทางนี้ได้ นี่คือหนทางอันยิ่งใหญ่ การได้ก้าวข้ามผ่านประตูของเส้นทางแห่งสวรรค์นั้นเป็นเหมือนสิ่งที่สำคัญในชีวิตของผู้ฝึกยุทธทั้งหลาย มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าสู่เส้นทางนี้ได้

 

สำหรับการได้เข้าสู่ประตูอันยิ่งใหญ่ของเส้นทางแห่งสวรรค์นั้น การฝึกยุทธในอนาคตของเขาย่อมรวดเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในที่สุดเขาก็จะสามารถมุ่งหน้าไปสู่ระดับพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจได้

 

ก่อนหน้านี้เมื่อชิงสุ่ยนึกถึงคลื่นสวรรค์ขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล มันก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับคนที่มองภูเขาจากเบื้องล่างขึ้นไป ยอดเขาที่สูงเสียดฟ้านั้นเป็นเหมือนสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้ เราสามารถทำได้เพียงปีนป่ายขึ้นไปทีละขั้นอย่างช้าๆเท่านั้น ความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังอย่างแท้จริง เหตุผลนั่นก็เพราะเวลาที่เขาจะต้องใช้ในการปีนให้ถึงยอดเขานั้นไม่อาจประมาณค่าได้เลย

 

เมื่อเขาได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งสวรรค์ มันก็เหมือนกับว่ามีราวบันไดปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาและสามารถนำเขาไปสู่คลื่นสวรรค์ขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลได้ แม้ว่าปลายทางของบันไดนั้นยังไม่อาจมองเห็นได้ในตอนนี้แต่เขาก็จะก้าวเขึ้นไป ทีละก้าว ทีละก้าว เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ความแตกต่างของมันนั้นเหมือนกับสวรรค์และโลกเลยทีเดียว

 

ในที่สุดก็มีความหวังสำหรับคลื่นสวรรค์ขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล! ชิงสุ่ยนั้นเพียรพยายามอยู่เสมอ เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ตอนนี้มันง่ายดายขึ้นกว่าเดิมมากยิ่งนัก ในตอนนี้เขาเพียงแต่ต้องกัดฟันและก้าวเดินต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้