ตอนที่ 439 ความในใจสว่างโชติช่วง

พันธกานต์ปราณอัคคี

“ศิษย์น้อง เจ้ายื่นมือมาให้ข้า” เสียงของเยี่ยเทียนหยวนเบาอย่างมาก แต่กลับมุ่งมั่น

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าดีใจ คิดถึงเรื่องไฟจริงดึงดูดซึ่งกันของทั้งสองคนขึ้นมาได้ มือขวาขยับไปมาอย่างห้ามไม่ได้ แต่ภายในเสี้ยวเวลาสั้นๆ ความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหัวและหายไป นางแทบจะไม่มีเวลาสนใจว่าความคิดนั้นคืออะไร เพียงแต่ตามสัญชาตญาณของนางถึงได้ปล่อยมือนั้นลง รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่ทันจะได้เก็บไป

 

 

และมั่วชิงเฉินอีกคนกลับมีทีท่าเหมือนกับมั่วชิงเฉินไม่ผิดแผก สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันก็คือนางกำลังยื่นมือเรียวยาวดุจหยกให้เยี่ยเทียนหยวน

 

 

ในเสี้ยววินาทีนั้นเองเยี่ยเทียนหยวนยื่นมือออกมาจับมือเปลือยนั้นไว้ เวลารวดเร็วเกินไป เร็วจนมั่วชิงเฉินไม่ทันเอ่ยเตือน

 

 

แต่หลังจากนั้นความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น เห็นว่ามืออีกข้างของเยี่ยเทียนหยวนจู่ๆ ก็มีดาบยาวที่ถูกไฟม่วงล้อมรอบด้ามหนึ่งปรากฏขึ้นมา แทงเข้าไปบนหน้าอกของมั่วชิงเฉินผู้นั้นด้วยความรวดเร็วอย่างฉับพลันดุจสายฟ้าแลบ

 

 

การกระทำของเยี่ยเทียนหยวนรวดเร็วเกินไป ไม่ว่าจะเป็นมั่วชิงเฉินคนไหนก็ตะลึงไปทั้งนั้น

 

 

เสียงของคมดาบแทงผ่านเลือดเนื้อดังมา จากนั้นตัวดาบถูกชักออก ของเหลวเหนียงหนืดสีม่วงอมเขียวพ่นออกมา

 

 

วิชาลับเคลื่อนย้ายในฉับพลันถูกนำออกมาใช้ เยี่ยเทียนหยวนหลบหลีกอย่างใจเย็น มั่วชิงเฉินที่ถูกแทงจู่ๆ ก็เหมือนกับลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม กลายเป็นหนังบางๆ แผ่นหนึ่งอย่างรวดเร็ว และผิวหนังบริเวณใบหน้านั้นยังคงพอเห็นว่าเป็นโฉมหน้าของมั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินที่ยืนอยู่นิ่งๆ แต่ในใจกลับเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด เหตุใดมองภูติปีศาจตนนี้จู่ๆ นางถึงได้นึกถึงวาดใบหน้าขึ้นมา

 

 

ในช่วงเวลาที่ผ่อนคลายจู่ๆ ตัวนางก็โดนรวบเข้าไปในอ้อมกอดอบอุ่น น้ำเสียงของเยี่ยเทียนหยวนเย็นชาแต่ก็ยังมีความไม่สบายใจแฝงอยู่บางส่วน “ศิษย์น้อง เจ้าโทษข้าหรือไม่”

 

 

มั่วชิงเฉินได้สติกลับมา หลุดหัวเราะ “จะเป็นไปได้อย่างไร”

 

 

นางไม่ใช่หญิงสาวทั่วไปที่จะตกอยู่ในภวังค์แห่งความรักแล้วจะสูญเสียสติสัมปชัญญะ ศิษย์พี่ลงมือกำจัดฆ่าภูติปีศาจอย่างเด็ดเดี่ยวไม่เพียงนึกโกรธเคืองแล้วยังโทษว่าเขาเ**้ยมโหดใจร้าย ลงมือกับคนที่เหมือนกับตนเองไม่มีผิดเพี้ยน

 

 

แต่ก็ยังอดถามไม่ได้ว่า “ศิษย์พี่ หากท่านจำผิดไปจะเป็นอย่างไร”

 

 

มือของเยี่ยเทียนหยวนจับแน่น ลมหายใจสะอาดเยือกเย็นเอ้อระเหยอยู่ตรงปลายจมูกมั่วชิงเฉิน “ข้าไม่มีทางจำผิดเป็นเด็ดขาด”

 

 

มุมปากมั่วชิงเฉินยกขึ้น กระพริบตาปริบ “ศิษย์พี่ ท่านจำข้าได้อย่างไร”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนมองดวงตาที่เป็นประกายของมั่วชิงเฉิน “เพราะนางยื่นมือออกมา แต่เจ้าไม่ อีกอย่างพวกเจ้ายิ้มไม่เหมือนกัน”

 

 

มั่วชิงเฉินเขินอาย นางเองก็เพิ่งจะคิดออกอย่างชัดเจนเมื่อครู่นี้ ในตอนนั้นเหตุใดถึงได้ชักมือกลับตามสัญชาตญาณ เพราะความรู้สึกของนางกลัวว่าในยามที่เยี่ยเทียนหยวนจับมือของทั้งสองคน ภูติปีศาจตัวนั้นจะลงมือทำร้ายเขาในทันใด

 

 

สำหรับรอบยิ้ม พูดตามจริงแล้วแม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไม่ออกว่าแตกต่างกันตรงไหน

 

 

ไม่รู้ว่าเหตุใดอารมณ์ความเป็นหญิงสาวถึงได้แผลงฤทธิ์เอาตอนนี้ มั่วชิงเฉินยิ้มเขินอายถามว่า “แล้วหากว่าเล่า หากว่าแยกผิดจะทำเช่นไร”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถึงได้ก้มหน้าลง ใช้คางกดเส้นผมของมั่วชิงเฉินเอาไว้ พูดเสียงเบาว่า “หากว่าผิด ข้าจะไปอยู่กับเจ้า”

 

 

ร่างมั่วชิงเฉินสั่นสะท้าน

 

 

จู่ๆ เยี่ยเทียนหยวนก็ช้อนคางของนางขึ้น ก้มหน้าจุมพิตริมฝีปากอ่อนนุ่มดุจดอกท้อ

 

 

ครั้งนี้มั่วชิงเฉินไม่ได้ต่อต้านอย่างลนลานจนทำตัวไม่ถูก มือทั้งสองข้างโอบรอบเอวของเขาเอาไว้

 

 

เขาพูดว่า สวรรค์ชั้นฟ้านรกอเวจี เขาจะไปอยู่กับนาง

 

 

วิถีการเป็นอมตะ เวลาหมื่นพันปีผันแปร หากว่ามีสักคนหนึ่งที่ให้คำสัญญาเช่นนี้ เช่นนั้นก็ลองดูเถิด ถือว่าให้โอกาสกับทั้งสองฝ่าย

 

 

‘ชุดเทาไม่มีอะไรโดดเด่น ชายหนุ่มที่มีรูปร่างผ่ายผอมสง่างามยืนตรงเอามือไขว้หลังเหมือนกำลังทอดสายตามองอะไรบางอย่าง’

 

 

ท่าทางของกู้หลีจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในหัว มั่วชิงเฉินรู้สึกเจ็บใจแปลบ แต่กลับยิ้มออกมาอย่างปล่อยวาง

 

 

‘ท่านพี่ใหญ่กู้ ข้าไม่กลัวเจ็บ แต่กลับกลัวต้องกลายเป็นมือที่สามแสนน่าขายหน้า วนเวียนอยู่ระหว่างท่านและจิ้งจอกขาว ที่กลัวกว่านั้นก็คือความเอาแต่ใจของตนเอง ทำให้ท่านไม่รู้ต้องทำเช่นไร

 

 

ฉะนั้นท่านอาจารย์ นับตั้งแต่วันนี้ไป ชิงเฉินจะเป็นศิษย์ของท่านไปตลอดกาล’

 

 

ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็อ้าปากออก ปล่อยให้ลิ้นเรียวที่ยิ่งแคล่วคล่องเข้ามาสืบสำรวจเริงระบำไปพร้อมกัน

 

 

เมฆฝนพลุ่งพล่าน แสงสว่างก้าวล่วงขอบฟ้า บริเวณที่ทั้งสองคนอยู่นั้นจู่ๆ ก็มีหมอกปริศนาลอยมา ภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปในทันใด

 

 

มีเสียงสวดมนต์ลอยมา

 

 

ทั้งสองคนทอดสายตามอง ต้องพบอย่างแปลกใจว่าที่แห่งนี้ยังเป็นที่แรกที่ได้ยินเสียงหญิงสาวร้องไห้ และหู่โถวกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาท่องบทสวดมนต์ที่มีทำนองแปลกประหลาด

 

 

เหมือนว่าใจสื่อถึงกัน หู่โถวลืมตาขึ้น อมยิ้มมองพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองคนแล้วลุกขึ้นมา “ชิงเฉิน พวกเจ้ายังสบายดีอยู่ใช่หรือไม่”

 

 

สายตาเหลือบมองริมฝีปากที่แดงระเรื่อของมั่วชิงเฉินอย่างไม่ตั้งใจ รอยยิ้มยิ่งชัดมากกว่าเดิม

 

 

สีหน้ามั่วชิงเฉินแดงก่ำในทันใด แสร้งทำเป็นสงบนิ่งพูดว่า “หู่โถว เจ้าสวดมนต์อยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือ”

 

 

หู่โถวพยักหน้ารับ “อืม ทั้งหมดทั้งมวลเมื่อครู่นี้เป็นภาพมายาที่มังกรน้ำสร้างขึ้น แต่มังกรน้ำตัวนี้มีตบะบำเพ็ญแก่กล้า ข้าไม่มีทางที่จะเตือนพวกเจ้าได้”

 

 

“มังกรน้ำ?” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว นางไม่เคยได้ยินภูติปีศาจชนิดนี้มาก่อน

 

 

หู่โถวอธิบาย “เล่าขานต่อกันว่าสถานที่ที่ปราณแห่งลมหายใจมังกรแน่นหนาที่สุดจะก่อกำเนิดภูติปีศาจประเภทมังกรน้ำนี้ พวกมันดูแล้วจับตัวเป็นก้อน แต่ที่จริงกลับไม่มีร่างที่แท้จริง การโจมตีของมังกรน้ำไม่ถือว่ารุนแรง แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดกลับเป็นความสามารถที่แปลงโฉมเป็นใครก็ได้ แม้แต่เสียงก็ยังเลียนแบบได้เหมือนจริง ทำให้คนยากจะจำแนกจริงปลอม ความสามารถเช่นนี้จะแข็งแกร่งมากขึ้นตามขั้นตบะบำเพ็ญ ที่พวกเราเพิ่งเจอไปเป็นตัวที่ร้ายกาจอย่างมาก คนที่มันแปลงกายไม่เพียงแต่รูปโฉมภายนอกยากจำแนก แล้วยังสามารถใช้คลื่นผลการกระตุ้นที่ออกจากสมาธิรับรู้ความคิดของคนผู้นั้นได้ และแสดงการกระทำที่เหมือนกับคนผู้นั้น ชิงเฉิน พวกเจ้าจำแนกออกได้อย่างไร”

 

 

“เป็นศิษย์พี่ที่จำแนกออกได้” มั่วชิงเฉินสีหน้าแดงระเรื่อ ตอบออกมาอย่างกระชับเข้าใจง่าย

 

 

หู่โถวยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ลากหางเสียงยาว “อ่อ เช่นนี้นี่เอง”

 

 

มั่วชิงเฉินกำหมัด คิดจะอัดหู่โถวสักตั้งหนึ่ง เจ้าเด็กบ้านี้ กล้าหัวเราะเยาะพี่สาวเจ้าหรือ!

 

 

หางตาแอบเหลือบมองเยี่ยเทียนหยวนทีหนึ่ง หว่างคิ้วและหางตาของเขามีรอยยิ้มขำขันประดับอยู่ ไม่หวาดหวั่นและเปิดเผย

 

 

มั่วชิงเฉินปล่อยวางในทันใด นางตัดสินใจแล้ว แล้วเหตุใดต้องมากระมิดกระเมี้ยนอีก

 

 

ยื่นนิ้วมือออกมาเขกหัวโล้นของหู่โถว “ช่างเถิด พวกเราเดินต่อไปเถิด”

 

 

ไม่รู้ว่าเหตุใด เมื่อเดินต่อไปปราณแห่งลมหายใจมังกรกลับเบาบางลง ร่มไร้กังวลควบคุมง่ายมากขึ้น พลังวิญญาณที่สูญเสียไปก็น้อยลง

 

 

ประหยัดเวลาฟื้นฟูพลังวิญญาณ ทั้งสามคนยิ่งเดินเข้าไปลึกมาหยิ่งขึ้น

 

 

ไออากาศสีม่วงอมเขียวแปรเปลี่ยนเป็นสีดำม่วงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

 

 

แต่หมอกควันไม่ได้รวมตัวกลายเป็นทะเล แต่กลับล่องลอยอยู่กลางอากาศเป็นเส้นสายกลุ่มก้อน

 

 

“พวกเจ้ามองทางนั้น” มั่วชิงเฉินตาเป็นประกาย ชี้ไปทิศทางหนึ่งที่ห่างอยู่ไกล

 

 

ทั้งสามคนยิ่งเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็มาถึงป่าแน่นขนัดแห่งหนึ่ง

 

 

ป่าแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่นัก แต่มองดูแล้วกลับน่าเกรงขาม

 

 

บนต้นไม้ทุกต้น กิ่งก้านพันสลับ ลำต้นแปลกประหลาด ไม่มีใบไม้แม้แต่ใบเดียว มีเพียงลำต้นสีดำม่วงที่สะท้อนแสงแวววาว สะอาดสูงส่ง เพียงแต่เปลี่ยนสีเท่านั้น

 

 

“ไม้สะกดวิญญาณ” มั่วชิงเฉินพึมพำพูดขึ้น

 

 

ลูบกำไลเก็บวัตถุที่มองไม่เห็นเบาๆ พูดในใจว่า “ท่านปู่ ในที่สุดชิงเฉินก็พาไม้สะกดวิญญาณเจอแล้ว”

 

 

ไม้สะกดวิญญาณจะต้องใช้วิธีการพิเศษในการเด็ดดม แล้วค่อยถ่ายทอดเคล็ดวิญญาณที่เหมาะสมเข้าไปถึงจะกลายเป็นสถานที่หลับไหลของวิญญาณ

 

 

สำหรับสิ่งนี้มั่วชิงเฉินเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว

 

 

มือทั้งสองข้างของนางเริ่มขยับ ร่างตราประทับที่ซับซ้อนอย่างมากออกมา

 

 

นิ้วมือไม่รู้ว่าพลิกขยับไปมานานเท่าไร จนถึงสุดท้ายก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในชั้นอากาศเหลือเศษเงาสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนหลงเหลืออยู่

 

 

จู่ๆ นางก็ประกบมือทั้งสองเข้าหากัน แล้วดึงออกไปข้างนอก ระหว่างมือทั้งสองข้างกลับมีแหหลิงหลงที่เกิดจาเส้นวิญญาณหลายสายเชื่อมต่อกัน

 

 

“ไป!” เสียงใสตะโกนออกมา มั่วชิงเฉินโยนแหหลิงหลงออกไป

 

 

แหหลิงหลงลอยสะบัดอยู่กลางอากาศ ไปถึงไม้สะกดวิญญาณต้นหนึ่งคิดจะเข้าไปใกล้ แต่ก็เหมือนถูกอะไรขวางกั้นเอาไว้ กระเด็นออกมาข้างนอกอีกครั้งและลอยต่อไป

 

 

มั่วชิงเฉินไม่รีบร้อนใจ มือยิงเคล็ดวิญญาณต่อไปไม่หยุดเพิ่มพลังวิญญาณให้แหหลิงหลง

 

 

ในที่สุดหลังจากที่ล้มเหลวกว่าหลายสิบครั้ง แหหลิงหลงเหวี่ยงไปโดนกิ่งไม้เล็กของไม้สะกดวิญญาณต้นหนึ่ง ดึงมาข้างหลังอย่างแรง

 

 

เสียงหักดังก้องกังวาล กิ่งไม้ถูกดึงจนหักออก แหหลิงหลงเหมือนกับมีชีวิตอ้าปากกว้างอย่างคล่องแคล่ว คลุมกิ่งไม้เอาไว้ จากนั้นก็บินกลับมาตกอยู่บนมือมั่วชิงเฉิน”

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ลังเลแม้แต่น้อย แล้วยังยิงเคล็ดวิญญาณที่ซับซ้อนกว่าพันสายออกมาอีกครั้ง ซึมหายเข้าไปในไม้สะกดวิญญาณ

 

 

เห็นเพียงแต่กิ่งไม้ในแหหลิงหลงสั่นคลอน สีค่อยๆ แปรเป็นเข้มมากขึ้น ไม่ขยับอีกต่อไป

 

 

มั่วชิงเฉินถอนหายใจ แสดงรอยยิ้มแห่งความจริงใจ “ศิษย์พี่ หู่โถว สำเร็จแล้ว!”

 

 

หู่โถวรู้สึกประทับใจอย่างมาก “ท่านปู่ห้าเล่า?”

 

 

มั่วชิงเฉินพลิกฝ่ามือ นำมุกอินออกมา “อยู่ในนี้”

 

 

พูดจบก็นำพลังวิญญาณขับเคลื่อนมุกอิน นำเอาไม้สะกดวิญญาณเก็บเข้าไป

 

 

หู่โถวยื่นมือออกมา “ชิงเฉิน ให้ข้าดูได้หรือไม่”

 

 

มั่วชิงเฉินส่งมุกอินไปให้

 

 

หู่โถวใช้ปลายนิ้วลูบมุกอินเบาๆ จากนั้นก็นั่งยกขาขัดสมาธิในทันใด สวดมนต์ให้กับมุกอินขึ้นมา

 

 

เขาหลับตาพริ้ม มองดูแล้วเคร่งขรึมจริงจัง ยันต์เสียงที่เกิดจากบทสวดกลายเป็นสิ่งจำต้องได้ ไหลรินออกมาจากปากของเขา จากนั้นก็หายเข้าไปในมุกอินอย่างเงียบไร้ซึ่งเสียง

 

 

มุกอินประกายแสงรำไรสีทองออกมา ตราบจนหู่โถวลืมตาขึ้น ท่องบทสวดเสร็จถึงได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม

 

 

“ชิงเฉิน เจ้าเก็บไว้ให้ดีเถิด” หู่โถวแสยะปากยิ้ม มองดูแล้วอารมณ์ดียิ่งนัก

 

 

มั่วชิงเฉินเก็บมุกอินเข้าไปอย่างเชื่อฟัง อดถามไม่ได้ว่า “หู่โถว เมื่อครู่นี้เจ้าทำอะไรหรือ”

 

 

หู่โถวพูดว่า “ท่องบทสวดลับสงบวิญญาณท่อนหนึ่ง ทำให้วิญญาณของท่านปู่ห้ายิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น”

 

 

จากนั้นก็ยื่นนิ้วชี้ไปยังทิศทางป่า “ผ่านป่าไม้สะกดวิญญาณตรงนี้ไปก็จะเป็นพื้นที่ฝังกระดูกมังกรแท้แล้ว มังกรชอบสะสมสมบัติ ได้ยินมาว่าตรงนั้นยังมีสมบัติลับที่มังกรแท้เหลือทิ้งไว้ก่อนตาย นักบำเพ็ญเพียรระดับสูงหลายคนในเสวียนโจวเคยมีนักบำเพ็ญเพียรหลายคนที่เคยมาตามหา แต่ว่าผู้ที่ไม่ใช่ระดับก่อกำเนิดไม่อาจเข้ามาได้ แล้วยังอันตรายอย่างมาก ชิงเฉิน ลั่วหยางเจินเหริน พวกเจ้ามีร่มไร้กังวล มีความตั้งใจจะไปต่อหรือไม่”

 

 

แววตาของหู่โถวสงบนิ่งอย่างมาก มองทั้งสองคนอย่างอบอุ่น

 

 

พูดกันตามจริงแล้ว เขาไม่หวังให้พวกเขาไป เพียงแต่เขารู้ความหวังที่นักบำเพ็ญเพียรมีต่อสมบัติล้ำค่าดี ย่อมไม่หวังให้วันเวลาในอนาคตของพวกเขาต้องมานั่งเสียใจ

 

 

มั่วชิงเฉินมองไปทางเยี่ยเทียนหยวน

 

 

ริมฝีปากบางของเยี่ยเทียนหยวนเม้มเข้าหากัน มองป่าไม้สะกดวิญญาณทีหนึ่ง พูดว่า “ศิษย์น้อง ข้ารู้สึกว่าจากระดับตบะบำเพ็ญของพวกเรายังไม่เหมาะที่จะเข้าไปตรงนั้น” พูดถึงตรงนี้ก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดต่อว่า “แต่หากเจ้าอยากเข้าไปดู พวกเราก็จะไปพร้อมกัน”

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะ “ศิษย์พี่ ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ได้รับไม้สะกดวิญญาณมาก็ถือว่าดีมากแล้ว พวกเราออกไปเถิด”

 

 

หู่โถวผ่อนลมหายใจ

 

 

ตลอดการเดินทางกลับของทั้งสามคนราบลื่นอย่างมาก มาถึงบริเวณรอบนอกของพื้นที่หุบเขามังกร จู่ๆ เยี่ยเทียนหยวนก็หยุดลง

 

 

“ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้นหรือ”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนพูดว่า “ศิษย์น้อง ข้าอยากจะบรรลุระดับก่อแก่นปราณชั้นปลาย ณ ที่แห่งนี้”