ตอนที่ 440 ยามที่ความรู้สึกยากหยุดยั้ง

พันธกานต์ปราณอัคคี

ฝึกบำเพ็ญเพียรในพื้นที่มังกรเดิม แต่เดิมถือเป็นเรื่องเปลืองแรงน้อยแต่ได้ผลสำเร็จมาก เยี่ยเทียนหยวนคิดจะบรรลุระดับก่อแก่นปราณชั้นปลาย ณ ที่แห่งนี้ มั่วชิงเฉินย่อมไม่ต่อต้าน ต่อให้เป็นตัวนางเอง อ้อมค้อมวนเวียนมานานหลายปีนี้ ร่อนเร่พเนจรมานาน แต่ในด้านบำเพ็ญเพียรกลับไม่ได้ทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ลงไป ในเมื่อมีร่มไร้กังวลและไม้เท้ากลืนมังกร ก็พูดได้ว่าเป็นโอกาสที่สวรรค์บันดาลให้พวกเขาได้บำเพ็ญเพียร ณ ที่แห่งนี้

 

 

ฉะนั้นจึงหันไปถามหู่โถว “หู่โถว ข้าและศิษย์พี่คิดจะบำเพ็ญเพียรที่นี่สักช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วเจ้าเล่า”

 

 

หู่โถวมองเยี่ยเทียนหยวนทีหนึ่ง ยิ้มตาปิดพูดว่า “ข้าจะจากไปก่อนสักช่วงหนึ่ง”

 

 

มั่วชิงเฉินนึกแปลกใจอยู่บ้าง ถามอย่างตกใจว่า “จากไป? ทำไมเล่า หู่โถว เจ้าไม่คิดจะกลับไปดินแดนเทียนหยวนพร้อมข้าหรือ ยามที่ผ่านทะเลขนาบใจ พวกเรายังสามารถไปหาพี่สิบสี่ได้อีก”

 

 

หู่โถวหัวเราะพลางพูดว่า “ชิงเฉิน ข้าจะต้องไปอิ๋งโจวเพื่อจัดการเรื่องราวบางอย่างก่อน จากนั้นค่อยมาหาเจ้า”

 

 

“จะต้องใช้เวลาประมาณเท่าไรเล่า”

 

 

หู่โถวครุ่นคิดพลางพูดว่า “อย่างน้อยก็สักช่วงระยะเวลาหนึ่ง อย่างมากประมาณสามถึงห้าปีกระมัง เป็นธุระของนิกาย เพราะเรื่องผนึกสีหมื่นอัญมณีมีศิษย์พี่ศิษย์น้องหลายคนที่ต้องดับสูญ จะต้องกลับไปถ่ายทอดเรื่องนี้เสียหน่อย รวมถึงทำตามคำไหว้วานของท่านอาจารย์บางเรื่องด้วย”

 

 

เมื่อได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับนิกาย มั่วชิงเฉินก็ไม่ได้พูดอะไรมาอีก พยักหน้าพูดว่า “เช่นนั้นก็ได้ หู่โถว พวกข้ารอเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้ามาเมื่อไรพวกเราก็จะออกเดินทางเมื่อนั้น แต่ถึงเวลาจะต้องไปหลิวโจวสักครั้งหนึ่งก่อน ข้าเองก็มีเรื่องบางอย่างที่ต้องทำให้สำเร็จ”

 

 

ก่อนที่หู่โถวจากไป มั่วชิงเฉินนำโอสถและผึ้งวิญญาณจำนวนหนึ่งให้ แล้วยังกำชับอีกคราถึงได้ปล่อยให้เขาจากไป

 

 

เยี่ยเทียนหยวนมองตามไปยังทิศทางที่หู่โถวจากไปด้วยท่าทีเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

 

 

“ศิษย์พี่ ท่านกำลังคิดอะไรหรือ” มั่วชิงเฉินยื่นมือออกไป สะบัดอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนหยวน

 

 

แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่ใช่คนที่แสร้งเรียบร้อย เมื่อเข้าใจความรู้สึกของตน ต่อหน้าเยี่ยเทียนหยวนถึงได้หลุดแสดงนิสัยเดิมของตนเองออกมาอย่างไม่รู้ตัว

 

 

มือถูกเยี่ยเทียนหยวนคว้าไปจับ เหมือนมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านฝ่ามือเข้าไปถึงหัวใจ มั่วชิงเฉินแอบหงุดหงิดเรื่องที่ไฟจริงแตกต่างดึงดูดกันช่างทำให้คนยากที่จะเป็นตัวเองเหลือเกิน

 

 

เสียงทุ้มกังวาลของเยี่ยเทียนหยวนลอยมาให้ได้ยิน “ศิษย์น้อง ครั้งก่อนที่ข้าจากไป เจ้าไม่เห็นกำชับข้าเช่นนี้บ้างเลย”

 

 

มั่วชิงเฉินตื่นตะลึง เขา…กำลังหึงอยู่เช่นนั้นหรือ

 

 

มุมปากยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว หัวเราะพลางพูดว่า “ศิษย์พี่ หู่โถวเป็นน้องชายของข้า หรือว่าท่านก็คิดจะเป็นน้องชายของข้าเหมือนกันหรือ”

 

 

ร่างกายถูกโดนรวบเข้าไปในอ้อมกอดในทันใด เยี่ยเทียนหยวนรัดเอวคอดของนางเอาไว้แน่น น้ำเสียงที่ทั้งๆ เย็นชาแต่กลับแฝงความสั่นไหวเอาไว้ “ข้าไม่อยาก” จากนั้นก็ยิ่งโอบคนในอ้อมกอดให้แน่นขึ้น พูดเสียงทุ้ม “ศิษย์น้อง ข้าจะเก็บตัวแล้ว”

 

 

“อืม ศิษย์พี่ไปเถิด ชิงเฉินเองก็จะเตรียมฝึกบำเพ็ญเพียรเช่นกัน” มั่วชิงเฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

 

เยี่ยเทียนหยวนถอนหายใจ

 

 

อีกาไฟที่แอบอยู่ในถุงเก็บสัตว์วิญญาณกำลังดูอย่างสนุกสนานใช้ปีกตีหัวตัวเอง หันไปพูดกับเจ้าเขาน้อยว่า “เจ้าเขาน้อย เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่านายท่านช่างโง่เขลาเหลือเกิน”

 

 

เจ้าเขาน้อยส่ายหน้าอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว “ไม่นะ นายท่านไม่ได้โง่เสียหน่อย”

 

 

อีกาไฟเองก็ถอนหายใจเหมือนกัน ผายปีกออก “ช่างเถิด ข้ายอมแพ้พวกเจ้าสองคนแล้ว”

 

 

เจ้าเขาน้อยพูดอย่างจริงจัง “พี่อู๋เย่ว์ ท่านแอบดูนายท่านและลั่วหยางเจินเหรินเช่นนี้ ไม่ดีกระมัง”

 

 

อีกาไฟกระแอมไอ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เด็กน้อยหลบไปอีกข้างเลย ข้าทำเพราะเป็นห่วง เป็นห่วงเข้าใจหรือไม่ พวกเขายังไม่ได้ครองคู่กันวันใด ข้าก็กลัวว่าจะเกิดเหตุเปลี่ยนแปลง”

 

 

“ไม่ได้ว่าครองคู่กันแล้วหรือ” เจ้าเขาน้อยเอียงหัว ดวงตากลมโตเป็นประกายบริสุทธิ์อย่างไม่มีที่เปรียบ

 

 

อีกาไฟสูดลมหายใจลึก ปีกสะบัดตีหัวเจ้าเขาน้อยอย่างแรง “เด็กน้อย เจ้าไม่เข้าใจ หลบไปเลย!”

 

 

มั่วชิงเฉินสังเกตเห็นเยี่ยเทียนหยวนเงียบไป อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง หน้าผากกับชนเข้ากับปลายจมูกของเขาอย่างไม่ตั้งใจ

 

 

นางยิ้มเป็นเชิงลุแก่โทษ “ศิษย์พี่ เป็นอะไรไปหรือ หรือว่ายังไม่ได้เตรียมพร้อมให้ดี โอสถพอหรือไม่ ที่ข้ายังพอมีโอสถที่เหมาะสำหรับบรรลุคอขวดอยู่บ้าง”

 

 

ริมฝีปากบางของเยี่ยเทียนหยวนเม้มเข้าหากัน จู่ๆ จุมพิตดุจแมลงปอเดินบนน้ำเข้าที่หน้าผากมั่วชิงเฉิน อุณหภูมิที่ร้อนแรงทำให้นางใจเต้น

 

 

เสียงที่ฟังดูอดกลั้นของเยี่ยเทียนหยวนลอยมา “ศิษย์น้อง เจ้า ตอบตกลงเป็นภรรยาข้าแล้วใช่หรือไม่”

 

 

แม้ว่าเขาจะไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องความสัมพันธ์หญิงชายมาก่อน แต่จิตใจบริสุทธิ์ จุมพิตยามที่มังกรน้ำตายเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าศิษย์น้องไม่ค่อยเหมือนเดิม

 

 

ดูจากความสัมพันธ์ใกล้ชิดบางอย่างของทั้งสองคน แม้ศิษย์น้องจะไม่ปฏิเสธ แต่เขากลับไม่มีความมั่นใจใดๆ เขาคิดเสมอว่าบางทีนางอาจจะทำใจปฏิเสธไม่ลง บางทีอาจเพราะไฟจริงดึงดูดกัน นี่ก็เป็นเหตุผลว่าเขายอมทำร้ายตนเองยามที่เขาโดนพิษหลงเสน่ห์ อย่างไรก็ไม่ยอมที่จะกระทำการเป็นสามีภรรยากับนาง

 

 

แต่กลางหมอกปริศนากลุ่มนั้นเขากลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าศิษย์น้องแตกต่างไป ความรู้สึกที่เก็บกดมานาน ในที่สุดก็หลุดถามออกมาอย่างอดไม่ได้

 

 

รู้สึกได้ถึงเยี่ยเทียนหยวนที่แข็งเกร็งไปทั้งร่าง มั่วชิงเฉินรับรู้ถึงความตื่นเต้นของเขา ยื่นมือออกไปรวบเอวเขาไว้ เอ่ยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “อืม”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนรู้สึกเหมือนหัวใจหลุดลอย รวบคนที่อยู่ในอ้อมกอดให้แน่นมากขึ้น ลมหายใจร้อนรุ่ม “ศิษย์น้อง ข้าเก็บตัวอย่างน้อยหนึ่งปี ข้าอยาก…”

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าแดงก่ำ อ้าปากค้างตะลึงงันมองเยี่ยเทียนหยวน ความกล้าของเขากลายเป็นใหญ่โตเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร ถึงกับกล้าพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้

 

 

“ศิษย์พี่ ท่านไม่รู้สึกว่า…เร็วเกินไปหรือ…” คำพูดที่เหลือถูกอุดเอาไว้ในลำคอ

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเหมือนจู่ๆ ถูกจุดประกาย ลิ้นร้อนแทรกเร้นเข้าไปปากของคนงามในอ้อมกอด รวบลิ้นเรียวเอาไว้ เชยชมความหวานของนาง

 

 

มั่วชิงเฉินนิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้เขาได้สืบเสาะต่อไป แต่ในใจกลับเกิดความตื่นเต้น เขาคงไม่ได้คิดจะ…ตรงนี้

 

 

ในช่วงเวลาสั้นๆ นางไม่รู้ว่าควรจะต้องปฏิเสธหรือไม่ หรือปล่อยให้เขาทำต่อไป

 

 

ไม่นานบริเวณหน้าท้องก็ถูกของแข็งร้อนบางอย่างกระทุ้งโดน มั่วชิงเฉินขยับร่างหนีด้วยความตื่นเต้น แต่ของสิ่งนั้นกลับกระโจนเข้าหาอย่างจัง

 

 

เยี่ยเทียนหยวนส่งเสียงครางทุ้ม จากนั้นใบหน้าดุจหยกขาวก็กลายเป็นแดงก่ำ

 

 

‘เขาดูเหมือนจะเขินอายเหมือนกันหรือ?’

 

 

ไม่รู้ว่าเหตุใดพอความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา มั่วชิงเฉินกลับไม่ตื่นเต้นเป็นกังวลอีกต่อไป นางค่อยๆ หลับตาลง

 

 

‘ช่างเถิด ในเมื่อชัดแจ้งต่อความในใจของตนเองแล้ว จะมาง้องอนคิดปฏิเสธแต่ก็ยอมรับ ไม่ใช่นิสัยการกระทำของนาง ปล่อยตามใจเขาไปเถิด’

 

 

รู้สึกถึงร่างที่อยู่ในอ้อมกอดอ่อนแรงลง ใจเยี่ยเทียนหยวนลิงละโลด รวบเข้ามากอดแน่นอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นก็ผละออกจากริมฝีปากที่ทำให้เขาเพ้อฝัน เริ่มจูบไล่ต่ำลงไปเรื่อยๆ ทิ้งร่องรอยดอกท้อเอาไว้บริเวณไหปลาร้าที่น่าหลงใหลของนาง

 

 

“ศิษย์พี่…” มั่วชิงเฉินเอ่ยพึมพำ เหมือนความคิดทั้งหมดช้าลงไป

 

 

เสียงเรียกนี้เหมือนการให้กำลังใจ นิ้วมือเรียวดุจไผ่ของเยี่ยเทียนหยวนสะกิด ปลดเสื้อผ้าของนางแต่ละตัวออก ร่อนตกลงบนพื้น

 

 

ร่างกายขาวสะอาดดุจทั้งสองร่างเปลือยเปล่ากลางอากาศโดยเร็ว หนึ่งคนเอวเรียวหลังบาง กล้ามเนื้อขึ้นเป็นรูปไม่มีส่วนเกินแม้แต่น้อย อีกคนรูปร่างสะโอดสะอง แล้วยังมีทรวดทรงที่ทำให้คนใจเต้น ร่างทั้งสองกอดเคล้าคลอกันอยู่นาน เหมือนเป็นกิ่งทองใบหยกที่สวรรค์ประทานให้

 

 

เยี่ยเทียนหยวนประคองร่างนาง ค่อยๆ ล้มตัวลงบนพื้น

 

 

เขาทับอยู่บนร่างสวยงามของร่าง รวบดอกท้อที่น่าหลงใหลตรงหน้าอกดึงดูดอย่างนึกละโมบ

 

 

ความรู้สึกจักจี้เกิดขึ้น ปลายเท้ามั่วชิงเฉินเหยียดตรง ร่างกายบิดขึ้นเล็กน้อย

 

 

สิ่งที่ร้อนแรงทำให้นางหน้าแดงใจเต้นแรงนั้นกำลังประชิดอยู่ตรงกลางระหว่างขาทั้งสองข้างของนาง เหมือนเด็กกำลังหลงทาง พุ่งชนไปมาไม่รู้ทิศทาง

 

 

คิ้วของมั่วชิงเฉินขมวดมุ่น เขา…แท้จริงแล้วทำเป็นหรือไม่

 

 

บางครั้งอาจเป็นเพราะปฏิกิริยาตามธรรมชาติของผู้ชาย แท่งร้อนของเขาเสาะหาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็หยุดอยู่ที่ทางเข้ากลีบดอกไม้ แต่เพราะความพรหมจารีไม่เคยลิ้มรสความรู้สึกนั้นมาก่อน ตรงนั้นไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงซึมผ่าน แห้งแล้งแต่อบอุ่น

 

 

“ศิษย์น้อง ข้า…ข้าขอได้หรือไม่” ริมฝีปากเยี่ยเทียนหยวนแนบชิดอยู่ข้างหูมั่วชิงเฉิน ลมหายใจหนักขุ่นมัวแทรกซึมลงเข้าไปในหูเล็กของนาง

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากแน่น ลอบนึกไม่พอใจ

 

 

‘เจ้าคนโง่นี่ หรือจะต้องให้นางพูดเชิญเขาเช่นนั้นหรือ!’

 

 

ไม่รอให้มีปฏิกิริยาตอบรับ เยี่ยเทียนหยวนหยุดลง เพราะกดดันตนเองมากเกินไป ร่างกายจึงสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่ได้

 

 

คนที่อยู่ใต้ร่างหลับตาสนิท ขนตายาวงอนเหมือนพัดสะบัดไปมา ใบหน้าแดงก่ำ คิ้วเรียวผ่อนคลาย ไม่ได้มีท่าทีไม่ยินดี

 

 

เยี่ยเทียนหยวนทนไม่ไหวอีกต่อไป แยกขาทั้งสองข้างของนางออกไว้บนเอวของตนเอง แท่งร้อนของเขาลูบไล้แผ่วเบาไปมาอยู่ปากทางกลีบดอกไม้ของนาง

 

 

ความรู้สึกจักจี้และใจหวิวทำให้มั่วชิงเฉินอดขยับร่างหนีอย่างไม่รู้ตัว

 

 

มือทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนหยวนประคองเอวคอดของนางเอาไว้ กีดขวางการขยับมั่วซั่วของนาง จากนั้นก็กดทับท่อนร่างของตนเองลงไป

 

 

เสียงร้องครางต่ำดังมาให้ได้ยิน มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้นในทันใด

 

 

“ศิษย์น้อง ทำเจ้าเจ็บตัวหรือ” เยี่ยเทียนหยวนหยุดการกระทำ แท่งร้อนกลับเร่งเร้าอย่างไม่สงบ มันเพียงจะเข้าไปหน้าประตูเพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง

 

 

“ไม่…ไม่เป็นไร” มั่วชิงเฉินไม่กล้ามองเขา แล้วรีบหลับตาลงไปอีกครั้งในทันใด

 

 

ความเจ็บปวดจากการโดนแส้เทพโบยตียังสามารถผ่านมาได้ ความเจ็บเช่นนี้ที่จริงแล้วไม่ได้ถือว่ามีอะไร ที่สำคัญกว่านั้นก็คือความตื่นเต้นในหัวใจ

 

 

เยี่ยเทียนหยวนไม่ได้ลงมือต่อไป แต่กลับพรมจุมพิตดวงตาของมั่วชิงเฉินเบาๆ พูดเสียงเบาว่า “ศิษย์น้อง ข้า…ข้าจะระวัง…”

 

 

พูดถึงตอนท้ายใบหน้าก็แดงก่ำเช่นเดียวกัน แท่งร้อนนั้นกลับแข็งขึงขึ้นเส้นเลือดให้เห็น ขยับไปมาอย่างอดรนทนไม่ไหว

 

 

สูดลมหายใจลึก แท่งร้อนแทรกลึกเบียดเสียดเข้าไปในกลีบดอกไม้ต่อไป เขารู้สึกได้ว่าคนที่อยู่ใต้ร่างกลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง ถึงได้เกิดความกล้าขึ้นมา ค่อยๆ แทรกลึกเข้าไปเรื่อยๆ

 

 

ขั้นตอนนี้ยากลำบากกว่าที่เยี่ยเทียนหยวนคิดเอาไว้มาก ทั้งสองคนล้วนไม่เคยมีประสบการณ์ใดๆ มาก่อน กลีบดอกไม้หนึ่งตึงขัดไม่มีที่เปรียบ ส่วนอีกคนหนึ่งก็กลัวว่าจะบุกผิดที่ เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงมาจากหน้าผากของเขา ไหลตกลงมาตามลวดลายกล้ามเนื้อดุจหินอ่อนของเขาไปจนถึงแท่งร้อนใต้ร่าง

 

 

สำหรับมั่วชิงเฉินแล้ว การที่ชักช้าไม่เทียบท่าสักทีก็ถือเป็นเรื่องทรมานเช่นเดียวกัน ช่วงเวลาที่ตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ถูกยืดออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนถึงสุดท้ายนางถึงขั้นเกิดความรู้สึกเริ่มให้เร็วจะได้เป็นไทเร็วๆ ขึ้นมา

 

 

“ศิษย์พี่…” อดไม่ได้ที่จะตะโกนเรียกเขา

 

 

เสียงนี้ เป็นเหมือนการเร่ง แต่ก็เหมือนจนปัญญา เยี่ยเทียนหยวนฟังแล้วยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก ไม่อาจควบคุมตนเองได้อีกต่อไป เอวหนาออกแรงเต็มกำลัง ทั่วทั้งแท่งร้อนหายลับเข้าไปในความอบอุ่นและตึงคัดจนทำให้นางรู้สึกขนลุก

 

 

มั่วชิงเฉินกัดริมฝีผากแน่น แต่ยังก็ยังไม่อาจทนส่งเสียงครางออกมา เอวบางบิดหนีตามสัญชาตญาณ คิดอยากหนีให้พ้น

 

 

การกระทำเช่นนี้กลับทำกระตุ้นเยี่ยเทียนหยวนให้ละทิ้งเกราะป้องกันภายในเสี้ยวพริบตา เขาส่งเสียงคำรามทุ้ม ความอุ่นร้อนกระแสหนึ่งไหลพุ่งออกมา

 

 

‘จบแล้วหรือ?’

 

 

มั่วชิงเฉินลืมตาอย่างตื่นตกใจ แต่กลับมองเห็นสีหน้ามึนงงของเยี่ยเทียนหยวนเช่นเดียวกัน

 

 

ไม่รู้ว่าเหตุใด นางอดไม่ได้ที่จะลอบหัวเราะเสียงเบาออกมา

 

 

สีหน้าเยี่ยเทียนหยวนแดงก่ำในทันใด เม้มริมฝีปากมองนาง

 

 

“ศิษย์พี่ ไม่เป็นไร…” มั่วชิงเฉินฝืนพยายามไม่ขำแล้วลุกขึ้นนั่ง ยื่นมือออกไปเกาะแขนเยี่ยเทียนหยวนเอาไว้

 

 

แท่งร้อนที่แต่เดิมสงบลงแล้วขยายใหญ่ขึ้นในทันใด เยี่ยเทียนหยวนโน้มตัวลงมาทับไว้ พูดอย่างมุ่งมั่นว่า “ศิษย์น้อง ลองอีกสักครั้งหนึ่ง”