ตอนที่ 441 การรับรู้ล่วงหน้า

พันธกานต์ปราณอัคคี

“ศิษย์…ศิษย์พี่ รอท่านออกจากเก็บตัวก่อนแล้วค่อยลองใหม่เถิด” มั่วชิงเฉินลนลานจนคิดอยากหนีหายไป นางไม่คิดอยาจะทรมานอีกครั้งแล้ว

 

 

ความอวบอิ่มบริเวณหน้าอกสั่นสะท้านขึ้นลงตามการกระทำ เป็นครั้งแรกที่เยี่ยเทียนหยวนไม่ทำตามความต้องการของมั่วชิงเฉิน รวบเอวนางเอาไว้เต็มกำลัง ตะโบมจูบอย่างแรง

 

 

บางทีอาจเป็นเพราะผู้ชายมีพรสวรรค์ในเรื่องทางนี้อยู่แล้ว เมื่อมีการคลำเปะปะอย่างยากลำบากในครั้งแรกแล้ว ครั้งนี้เขาตามหาทางเข้าได้อย่างราบลื่น ประคองเอวของนางค่อยๆ ส่งตัวเองเข้าไปช้าๆ

 

 

มั่วชิงเฉินสูดลมหายใจลึก ขมวดคิ้วมุ่น รับรู้ถึงรสชาติที่ร่างกายถูกเติมเต็ม

 

 

หากพูดถึงความรู้สึกสบายของร่างกายแล้วนั้นก็ตอบได้ว่าไม่มี เพียงแต่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ร่างกายโดนฉีกทึ้ง ต่อให้เขาหยุดไม่ขยับ บนร่างก็ยังมีเหงื่อเย็นเม็ดเล็กผุดออกมา

 

 

แต่ในทางจิตใจกลับมีความรู้สึกเหมือนได้หลงหลักปักฐาน นับตั้งแต่นี้ไปพวกเขาถือเป็นของกันและกัน พยายมเดินต่อไปข้างหน้าบนเส้นทางชีวิตอมตะยืนยาวด้วยกัน ครองคู่เคียงบ่าเคียงไหล่

 

 

เพลิงแก้วใจกระจ่างในร่างกายส่องประกายขึ้นมาในทันใด เหมือนไฟแรงที่พบกับน้ำมันร้อนเติมเต็มไปทั่วจุดตันเถียนในฉับพลัน จากนั้นจุดตันเถียนอันเล็กก็มิอาจรองรับเปลวเพลิงแสนดุดันได้อีกต่อไป เพลิงแก้วใจกระจ่างไหลพุ่งออกมาจากจุดชีพจรไปจนถึงหน้าทาง จากนั้นก็ไหลมาจนบริเวณที่เชื่อมทั้งสองคนเอาไว้

 

 

ในขณะเดียวกันเพลิงวาสนาตะวันในกายเยี่ยเทียนหยวนก็มาถึงบริเวณนั้นเช่นเดียวกัน เสี้ยววินาทีที่ไฟทั้งสองหลอมเข้าหากัน ทั้งสองคนก็ขนลุกขนชันขึ้นมาพร้อมกัน

 

 

กระแสไฟแปลกประหลาดกระแสหนึ่งไหลไปทั่วร่างกาย ภายในชั่วพริบตาความรู้สึกเจ็บปวดในร่างกายก็ถูกพัดพาหายไป ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่มั่วชิงเฉินผ่อนคลายหยุดขมวดคิ้วเป็นปม

 

 

   ในดวงตาประกายดุจดาวโดดเดี่ยวของเยี่ยเทียนหยวนเหมือนมีประกายไฟกลุ่มหนึ่งกำลังเผาไหม้ แลดูสว่างไสวกว่าเพลิงวาสนาตะวัน เหงื่อเม็ดใหญ่ประมาณเม็ดถั่วไหลลงไปตกอยู่บนหน้าอกของคนใต้ร่าง กระจายออกเป็นสี่แฉก

 

 

เสียงเพียงเล็กน้อยนี้ทั้งๆ ที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่กลับเหมือนปลุกเยี่ยเทียนหยวนที่แต่เดิมหยุดนิ่งไม่ขยับให้ตื่น เขาเริ่มขยับขึ้นช้าๆ

 

 

มั่วชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึก อดครางเรียกไม่ได้ “ศิษย์พี่…”

 

 

“ศิษย์น้องๆ เป็นอะไรหรือ…” เยี่ยเทียนหยวนตอบกลับเหมือนคนละเมอ รู้สึกว่าระหว่างที่ขยับเข้าออกนั้นกลีบดอกไม้แน่นขนัดกำลังส่งเขาไปให้ถึงสรวงสวรรค์

 

 

และไฟจริงที่หลอมรวมกันบริเวณจุดเชื่อมทั้งสองคนยิ่งทำให้คนทั้งสองรับรู้ได้ถึงความปรีดาขั้นสุดชนิดหนึ่ง

 

 

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่พลังวิญญาณขับเคลื่อนเอง ด้วยการนำทางจากไฟจริงก็ไหลผ่านไปที่บริเวณนั้นเช่นเดียวกัน จากนั้นก็เหมือนกับไฟจริงที่ไหลเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่าย

 

 

ทั้งสองคนส่งเสียงร้องครางออกมา รับรู้ถึงพลังวิญญาณและไฟจริงของอีกฝ่ายที่ไหลเวียนในร่างกายตนเอง หลอมรวมจนเป็นหนึ่งเดียว

 

 

แสงอาทิตย์ยามสายัณห์ตกคล้อยลับหาย ดาวดวงน้อยประดับเต็มท้องฟ้า เวลาไหลผ่านไปทีละน้อยอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ร่างกายขาวดุจหยกทั้งสองร่างยังคงตระกรองกอดอย่างแนบแน่น รักใคร่สุดซึ้งมิอาจแยกจาก

 

 

มือทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนหยวนจับประคองความอวบอิ่ม ส่งร่างเข้าไปเต็มแรง

 

 

มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวอีกต่อไป เสียงร้องครางหวานดังขึ้นมา นางทำได้เพียงยกร่างขึ้นเล็กน้อย มือทั้งสองข้างโอบรอบลำคอเขา

 

 

เสียงร้องครางหวานทำให้เลือดลมของเยี่ยเทียนหยวนเผาไหม้ร้อนแรงดุจไฟจริง ไม่อาจควบคุมไหวอีกต่อไป เดินเครื่องอย่างสุดกำลัง

 

 

ดวงตาทั้งสองข้างของมั่วชิงเฉินปิดไปครึ่งหนึ่ง เงยหน้าไปข้างหลังตามจังหวะการกระแทกกระทั้นแต่ละครั้งของเขา ผมดกดำดุจน้ำตกกระจายออกจากกัน กระทบปกคลุมอีกฝ่ายบ้างเป็นบางครา

 

 

“ศิษย์น้อง!” จู่ๆ เยี่ยเทียนหยวนกระชับกอดมั่วชิงเฉินไว้แน่น ทำให้ตัวนางนั่งอยู่บนร่างเขา ออกแรงสุดกำลังกระทุ้งความร้อนแรงของตนเองขึ้นไป

 

 

มือทั้งสองข้างของมั่วชิงเฉินปัดป่ายไหล่ทั้งสองข้างของเขา เพราะใช้แรงมากเกินไปเล็บยาวทิ้งรอยกรีดเอาไว้บนไหล่หนา

 

 

นางรู้สึกได้ถึงจู่ๆ กลีบดอกไม้สั่นกระตุก รสชาติสวยงามมหัศจรรย์ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนไหลออกมาพร้อมกับกระแสร้อนจากจุดเชื่อมของทั้งสองคน

 

 

ในชั่วขณะที่ทั้งสองคนถึงจุดสุดยอดแสงขาวสายหนึ่งปรากฏสะท้อนขึ้น ไอวิญญาณทั่วฟ้าพุ่งเข้าหาคนทั้งสองอย่างบ้าคลั่ง

 

 

ไอวิญญาณเหล่านี้ล้วนพุ่งไปหาเยี่ยเทียนหยวน แต่หลังจากนั้นเพราะมีไอวิญญาณที่ร่างกายรองรับไม่ไหวก็เริ่มไหลจากภายในร่างกายเยี่ยเทียนหยวนผ่านจุดที่เชื่อมต่อกันแน่นไปยังภายในร่างกายมั่วชิงเฉิน

 

 

พลังวิญญาณในร่างกายเพิ่มขึ้นตามความเร็วที่ตามองเห็น นี่เป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นหลังจากเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณ

 

 

และวิธีการเพิ่มพลังวิญญาณเช่นนี้ทำให้คนทั้งสองคนยินดีปรีดาจนไม่มีวิธีระบาย ร่างกายขนลุกขนชันไม่หยุด

 

 

ความรู้สึกวิงเวียนพัดเข้าหา ในเสี้ยววินาทีนั้นมั่วชิงเฉินมีความรู้สึกดวงจิตแตกหน่อ ชนกระแทกเข้ากับดวงจิตของเยี่ยเทียนหยวนเบาๆ

 

 

ทั้งสองคนตัวสั่นสะท้านพร้อมกัน ลืมตาขึ้นมองอีกฝ่าย วิญญาณคืนกลับเข้าร่าง

 

 

‘ชั้นกะเทาะเปลือก ความรู้สึกเพียงชั่วพริบตาเมื่อครู่นี้หรือว่าจะเป็นประสบการณ์ของชั้นกะเทาะเปลือก?’

 

 

มั่วชิงเฉินไม่มีกำลังมาพิจารณาครุ่นคิด ร่างกายอ่อนแรงนอนราบอยู่ในอ้อมกอดของเยี่ยเทียนหยวน

 

 

มือทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนหยวนตระกรองกอดคนในอ้อมกอดเอาไว้แน่น แต่ร่ายกายกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย ค่อยๆ เปลี่ยนท่านั่งขัดขา และในตอนนี้แท่งร้อนของเขาก็ยังคงอยู่ในร่างมั่วชิงเฉิน

 

 

เขาไม่กล้าทำท่าอื่น ปล่อยให้ไอวิญญาณเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงร่างกายอย่างบ้าคลั่ง

 

 

เขาไม่เคยคิดว่าจะใช้วิธีนี้ในการบรรลุระดับก่อแก่นปราณชั้นปลาย ขั้นตอนยังราบลื่นไม่มีที่เปรียบ

 

 

สำหรับเหตุผลที่ไม่แยกออกจากมั่วชิงเฉิน อย่างแรกเป็นเพราะทำใจไม่ลง และที่สำคัญกว่านั้นก็คือในยามที่เขาปรับเปลี่ยนร่างกาย ไอวิญญาณที่ล้นเหลือเหล่านั้นจะไหลไปหามั่วชิงเฉิน ตบะบำเพ็ญของนางก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

 

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานมากเพียงใด มั่วชิงเฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น สิ่งที่สะท้านเข้ามาในคลองสายตาคือใบหน้าคมชัดของเยี่ยเทียนหยวน เพียงแต่โฉมหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งในตอนนี้กลับถูกไอแดงระเรื่อย้อมผาด

 

 

‘ระดับก่อแก่นปราณชั้นปลาย!’

 

 

ดวงตามั่วชิงเฉินเป็นประกาย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าในตอนนี้ศิษย์พี่อยู่ขั้นประคองรักษาแล้ว

 

 

ร่างกายขยับเบาๆ มั่วชิงเฉินต้องนิ่งเกร็งไปในทันใด ความรู้สึกประหลาดเช่นนั้นทำให้นางไม่อาจละความสนใจไปได้ อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงไปช้าๆ

 

 

การเชื่อมตัวกันที่แนบแน่นเช่นนี้ทำให้นางหน้าแดงหูแดงไปจนถึงปลายเท้าในทันใก ถลึงตามองเยี่ยเทียนหยวนอย่างแรง ทั้งโมโหทั้งเขินอาย

 

 

เขากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร!

 

 

แต่ไม่นานมั่วชิงเฉินก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย ตบะบำเพ็ญของนางเพิ่มมากขึ้นกว่าเท่าตัว

 

 

นางเข้าระดับก่อแก่นปราณตอนอายุหกสิบสามปี ตอนนี้อายุเจ็ดสิบสี่ปี ตะบำเพ็ญกลับเข้าถึงขั้นเต็มปริ่มของระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นแล้ว ความเร็วเช่นนี้ช่างเร็วจนน่าตกใจ

 

 

จะต้องรู้ว่าต่อให้เป็นศิษย์พี่ลั่วหยาง การเลื่อนชั้นจากระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นไปยังชั้นกลางก็ต้องใช้เวลากว่ายี่สิบปี

 

 

จากการเลื่อนชั้นของนางในตอนนี้หากเป็นไปได้อย่างราบลื่นอย่างมากที่สุดสามถึงห้าปีก็อาจจะบรรลุขั้นก่อแก่นปราณชั้นกลาง หากเป็นเช่นนั้นจริงก็จะเร็วกว่าการพัฒนาของศิษย์พี่ลั่วหยางหลายปี

 

 

เมื่อเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณ ความถี่ในการรับประทานโอสถวิเศษของมั่วชิงเฉินน้อยลงไปมากแล้ว สิ่งที่นางต้องการคือการทำตัวสอดคล้องกับความเป็นจริงภายใต้การใช้โอสถวิเศษอย่างเหมาะสม บำเพ็ญตนให้เป็นเซียนทีละก้าวทีละข้าง ไม่ได้เหมือนกับตอนอยู่ระดับสร้างรากฐานที่จะเอาโอสถวิเศษมากินเป็นน้ำตาลถั่วจนทำให้รากฐานไม่มั่นคง

 

 

หากไม่ใช่เพราะว่าตอนที่อยู่ในระดับสร้างรากฐานนางได้พบเจอกับประสบการณ์ทรหดมากมายเมื่อเทียบกับนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานผู้อื่น ปักหลักมั่นคงให้กับรากฐานและจิตใจ คิดจะเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณก็ยากเสมือนพิชิตสวรรค์ และนางไม่คิดอยากจะเผชิญปัญหานี้ยามที่บรรลุเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดในอนาคต

 

 

ตอนนี้เดินทางช้าก็เพื่อที่จะทำให้ก้าวเดินมั่นคง และเดินไปให้ได้ไกลขึ้น

 

 

แต่นางคิดไม่ถึงว่าการรวมร่างกันครั้งนี้จะทำให้ตบะบำเพ็ญระเบิดเพิ่มขึ้น แล้วยังไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านใดๆ

 

 

ครึ่งล่างถูกความร้อนแรงของเยี่ยเทียนหยวนเติมเต็ม แต่เขากลับหลับตาแน่น ฝึกบำเพ็ญตบะใจไม่วอกแวกคิดเรื่องอื่น มั่วชิงเฉินแทบอยากจะหาช่องเล็กมุดเข้าไป ไม่ต้องเห็นหน้าใครอีกต่อไป

 

 

แต่นางเองก็ไม่กล้าขยับ กลัวจะรบกวนเยี่ยเทียนหยวน หากว่าเดินผิดเข้าสู่ทางมานขึ้นมาแย่เอา

 

 

แต่ความดึงดูดแปลกประหลาดเช่นนี้ กลับเร่งเร้านางทำให้อยากจะขยับดีดดิ้น

 

 

มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากแน่น ฝืนตนเองให้ปรับเปลี่ยนความสนใจ

 

 

ภวังค์ความคิดของนางค่อยๆ ลอยไปยังเสี้ยววินาทีที่ทั้งสองคนถึงจุดสุดยอด

 

 

ความรู้สึกดวงจิตกะเทาะเปลือกในตอนนั้นเป็นเรื่องจริง หรือภาพมายา

 

 

หากไม่ใช่ภาพมายา นี่คือความรู้สึกของนักบำเพ็ญเพียรสายเต๋าแบบคู่ทั้งหมดต้องประสบพบผ่านหรืออย่างไร หรือเป็นเพราะผลข้างเคียงของไฟจริงที่ดึงดูดต่อกันจึงมีเพียงพวกเขาสองคนที่เป็นเช่นนี้

 

 

‘ความรู้สึกนั้นจะเป็นประสบสัมผัสขั้นแตกหน่อใช่หรือไม่’

 

 

มั่วชิงเฉินใจกระตุก

 

 

สำหรับนักบำเพ็ญเพียรแล้วสิ่งที่ได้ยินมา สิ่งที่ได้พบเห็น ย่อมมิอาจสู้สิ่งที่สัมผัสได้ด้วยตนเอง

 

 

เป็นที่สืบขานกันตั้งแต่สมัยโบราณนักบำเพ็ญสู่มหายานระดับก่อแก่นปราณขึ้นไปมีอยู่เต็มไปหมด แน่นอนว่าเหตุผลหลักเป็นเพราะสภาพแวดล้อมการบำเพ็ญเพียรนั้นมีจุดเด่นที่สวรรค์สรรสร้างมาให้อย่างเต็มเปี่ยม ไม่ใช่สิ่งที่ไอวิญญาณเบาบาง ทรัพยากรขาดแคลนอย่างที่ปัจจุบันเป็นอยู่จะมาเทียบได้ และยังมีอีกเหตุผลหนึ่งนั่นก็คือนักบำเพ็ญเพียรสู่มหายานที่ระดับสูงกว่านั้นจะลอกเลียนขอบเขตหนึ่งขึ้นมา ให้ศิษย์สายตรงหรือคนในตระกูลที่คิดจะบรรลุระดับนั้นๆ ได้ทำการสัมผัสล่วงหน้า

 

 

ขอบเขตเช่นนี้แม้จะเป็นการลอกเลียน แล้วยังมีความหมายในแง่ให้คนได้เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น แม้ว่าชนรุ่นหลังที่ได้มาสัมผัสจะไม่อาจดูดซับเรียนรู้ได้ทั้งหมด แต่ข้อดีก็ไม่อาจมองข้าม

 

 

พวกเขารับรู้ระดับที่สูงกว่าหนึ่งขั้นล่วงหน้า มีความเข้าใจอันเบาบางต่อขั้นระดับนั้นแล้ว ในอนาคตเมื่อต้องบรรลุระดับชั้นก็สามารถตัดผ่านทางคดเคี้ยวไปได้เยอะ อัตราความสำเร็จเพิ่มขึ้นไปอีกเยอะ

 

 

หากพวกเขาได้รับรู้ถึงชั้นแตกหน่อยามที่บำเพ็ญเพียรคู่จริง ต่อให้เป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวนั่นก็หมายความว่าในอนาคตอัตราการเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดของพวกเขาก็สูงขึ้นใช่หรือไม่ อาจจนถึงขั้นเดินไปถึงชั้นแตกหน่อด้วยใช่หรือไม่

 

 

เยี่ยเทียนหยวนลืมตาขึ้น เห็นดวงตาทั้งสองข้างของมั่วชิงเฉินล่องลอย เห็นชัดว่ากำลังเหม่อลอยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัว

 

 

การค้นพบนี้ทำให้เขาเกิดความไม่พอใจอย่างไม่มีเหตุผล มือทั้งสองข้างประคองเอวนางยกขึ้น จากนั้นก็ปล่อยตกลงมาเต็มแรง

 

 

มั่วชิงเฉินร้องออกมาในทันใด จากนั้นหน้าแดงก่ำ พูดกล่าวโทษ “ศิษย์พี่ ท่านทำอะไรน่ะ”

 

 

ไม่ปล่อยให้พูดเยี่ยเทียนหยวนกดนางเอาไว้บนพื้น มือทั้งสองข้างประคองตนเองเอาไว้ขยับร่างอย่างรวดเร็ว

 

 

มั่วชิงเฉินถอนหายใจหลับตาลง ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ

 

 

สวรรค์ นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคนที่มีรูปโฉมเหมือนภูเขาน้ำแข็ง เห็นสตรีก็แทบจะหลบหนีออกให้ไกลอย่างศิษย์พี่ลั่วหยางหลังจากที่ได้ลิ้มรสกามารมณ์แล้วจะเกิดความพลุ่งพล่านไม่แตกต่างจากชายหนุ่มในโลกคนปกติ

 

 

ความรู้สึกงดงามกระแสหนึ่งพุ่งซัด มั่วชิงเฉินยกริมฝีปากยิ้มออกมาอย่างไม่รู่ตัว

 

 

นี่มีอะไรไม่ดีกัน แต่ไหนมาเขาเป็นคนจิตใจมั่นคงอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการบำเพ็ญเพียรหรือว่าเรื่องของต่อนาง

 

 

“ศิษย์…ศิษย์พี่ ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน…” เสียงของมั่วชิงเฉินขาดๆ หายๆ ตามจังหวะการจู่โจมของเยี่ยเทียนหยวน แตกต่างจากน้ำเสียงใสบริสุทธิ์ยามปกติ มีความงอนง้อนเอาใจแฝงอยู่

 

 

เสียงนี้เร่งเร้าเยี่ยเทียนหยวนผู้ซึ่งทดสอบรสชาติกามารมณ์เป็นครั้งแรกให้ยิ่งควบคุมตนเองไม่ได้ ยืดตัวตรงส่งร่างตนเองเข้าไปในจุดลึกสุดของกลีบดอกไม้งาม

 

 

“ศิษย์น้อง เจ้าจะพูดอะไร…”

 

 

เขายืดหลังตรง การจู่โจมยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

 

 

การจู่โจมเช่นนี้ทำให้มั่วชิงเฉินพูดไม่เป็นภาษา นางตัดสินใจกัดฟันแน่น สัมผัสความเร่าร้อนของเขาอย่างตั้งใจ

 

 

“ศิษย์น้อง รอกลับไปที่พรรคพวกเราแต่งงานกันเถิด” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เยี่ยเทียนหยวนกอดนางเอาไว้แน่น ส่งผ่านกระแสอุ่นร้อนทั้งหมดให้รินรดในกลีบดอกไม้

 

 

สองคนที่เหงื่อไหลเต็มร่างตระกรองกอดแน่น ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเลิกหอบหายใจ

 

 

ทั้งสองคนลุกขึ้น จัดการกับเนื้อตัวที่เปรอะเปื้อนสวมใส่ชุดเขียว

 

 

“ศิษย์น้อง หลังจากนี้ข้าต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีในการรักษาระดับชั้น เจ้าดูแลตัวเองให้ดี” เยี่ยเทียนหยวนลูบผมมั่วชิงเฉิน

 

 

เขาจากระดับก่อแก่นปราณชั้นกลางเลื่อนขั้นมาชั้นปลายใช้เวลาเพียงสิบเอ็ดปีเท่านั้น เรื่องนี้มีโชคชะตาหลักอยู่สองอย่าง หนึ่งคือเขาวงกตในถ้ำต้นไม้ และอีกหนึ่งคือการรวมร่างกับศิษย์น้อง

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้การที่เขาคิดจะทบทวนระดับชั้นจะต้องใช้เวลาที่มากกว่านี้ หากเป็นไปได้อย่างน้อยจะต้องบำเพ็ญเพียรอย่าสงบตั้งใจสี่ถึงห้าปี แต่เพราะหู่โถวจะกลับมาเมื่อไรก็ได้ ครึ่งปีถือเป็นเวลาที่ไม่อาจน้อยกว่านี้ได้แล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินนำบ้านหลิงหลงที่จินเป่าเจินเหรินมอบให้ออกมา ถ่ายทอดพลังวิญญาณให้กลายเป็นบ้านหลังเล็กประณีต ให้เยี่ยเทียนหยวนได้เข้าไปตั้งใจบำเพ็ญเพียรในนั้น และตนเองนอกจากเวลาบำเพ็ญเพียรแล้วกลับไปคิดเรื่องอื่น

 

 

‘เหตุใดครั้งหลังจากนั้นมาถึงไม่มีความรู้สึกดวงจิตกะเทาะเปลือกเล่า’