ตอนที่ 442 ช่วยคนผู้หนึ่งกลับมา

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินเปลี่ยนท่านั่งจากการบำเพ็ญเพียร เหลือบมองบ้านหลิงหลงทีหนึ่ง แววตาแฝงประกายอบอุ่นเอาไว้

 

 

สี่ปีมาแล้ว นางเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นด้วยความสำเร็จเต็มตัวไม่ผิดจากที่คิดเอาไว้ รอศิษย์พี่ออกมาจากการกักตัวครั้งนี้ก็ถึงคราตัวเองที่จะเข้าไปบรรลุด่านขั้นแล้ว

 

 

สี่ปีมานี้แม้ทั้งสองคนจะอยู่ใกล้เพียงคืบ แต่เวลาส่วนใหญ่กลับแยกจากกันมากว่า

 

 

แม้ทั้งสองคนจะมีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาในเชิงพฤตินัยแล้ว แต่อย่างแรกเพราะไม่ได้มีวิชาบำเพ็ญเพียรคู่ อย่างที่สองคือการทบทวนระดับชั้นและการบำเพ็ญเพียรในชีวิตประจำวันหลังจากที่เลื่อนชั้นไม่เหมือนกัน สิ่งที่ต้องการคือจิตใจสงบความคิดสะอาด ฉะนั้นเวลาส่วนใหญ่จึงเป็นภาพที่คนหนึ่งอยู่ภายในบ้านหลิงหลง ส่วนอีกคนหนึ่งอยู่ภายนอกบ้านหลิงหลง ต่างฝ่ายต่างบำเพ็ญเพียร

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาเยี่ยเทียนหยวนเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรมุ่งมั่นในการบำเพ็ญเพียร หากเป็นตัวเขาเอง ไม่ต้องพูดถึงสองสามปี ต่อให้เป็นแปดปีหรือสิบปีก็ยังหวั่นไหว แต่น่าเสียดายที่มั่วชิงเฉินคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ ทุกครั้งที่เวลาผ่านไปสองสามเดือนสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อาจทนรับความคิดถึงที่ฝังลึกลงไปในกระดูก ต้องออกมาจากบ้านหลิงหลงพบหน้านางสักสองสามวัน

 

 

อาจเป็นเพราะผลข้างเคียงของไฟอัศจรรย์ ยามที่ทั้งสองปฏิบัติภารกิจสามีภรรยาทางพฤตินัยแม้จะไม่ได้ขับเคลื่อนพลังวิชาบำเพ็ญเพียรคู่ แต่ทุกครั้งหลังจากที่สำเร็จกิจแล้วมั่วชิงเฉินยังคงรู้สึกได้ถึงตบะบำเพ็ญที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับการที่นางฝึกบำเพ็ญโดยลำพังโดยชัดเจน

 

 

‘หรือว่าจะลองค้นหาวิธีการฝึกบำเพ็ญแบบคู่ดู?’

 

 

มั่วชิงเฉินนั่งเท้าคาง ในหัวเกิดความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา แต่หลังจากนั้นก็ต้องนิ่งประหม่าไป การกระทำอันหาญกล้าเช่นนี้คงจะไม่ทำให้ศิษย์พี่ตกใจกระมัง ช่างเถิด รอให้เขาคิดได้เองก็แล้วกัน

 

 

มั่วชิงเฉินลุกขึ้น บิดขี้เกียจให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย แล้วจึงเดินออกไปรอบนอกตามอัธยาศัย

 

 

หน้าผาข้างหน้าเป็นพื้นที่บริเวณที่พวกเขากระโดดลงมาตอนแรก ตอนนั้นนางคิดไม่ถึงว่าจะต้องอยู่อาศัยที่นี่หลายปี

 

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น ตอนแรกหู่โถวพูดว่าอย่างมากห้าปีก็จะกลับมาที่แห่งนี้ ตอนนี้เวลาสี่ปีผ่านไปอย่างรวดเร็วเหตุใดเขาถึงยังไร้ซึ่งข่าวคราว ไม่ใช่ว่ามีเรื่องอะไรกีดขวางเขาเอาไว้กระมัง

 

 

ท่ามกลางกลุ่มผู้โชคดีที่มีชีวิตรอดในตระกูลมั่วหู่โถวเป็นคนเดียวที่อายุน้อยกว่านาง ฉะนั้นมั่วชิงเฉินจึงเกิดความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยดั่งคนเป็นมารดาอย่างที่ตนเองก็ไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนต่อหู่โถว พอนางคิดถึงความปลอดภัยของหู่โถวในใจก็เกิดความไม่สบายใจขึ้นมา ค่อยๆ เดินไปทางหน้าผาตรงนั้นช้าๆ อย่างไม่รู้ตัว

 

 

“เอ๋ นั่นมัน…”

 

 

ท่ามกลางหมอกควันที่พุ่งผ่าน ชายเสื้อสีฟ้าอ่อนคลับคล้ายเหมือนจะปรากฏและหายไป เลือนลางไม่ชัดเจน

 

 

มั่วชิงเฉินรีบเดินเข้าไปดูถึงพบว่าตรงนั้นมีคนผู้หนึ่งนอนนิ่งอยู่

 

 

เดินอ้อมไปข้างหน้า พิจารณาคนผู้นั้นอย่างละเอียด

 

 

ใต้คิ้วเรียวงามที่เหมือนจะขมวดมุ่น เป็นดวงตาคู่หนึ่งที่หลับสนิท ขนตากระพือสั่นดุจปีกผีเสื้อ ก่อให้เกิดเงาดำใต้ตา จมูกน้อยโด่งตรง ปากกระจับดุจดอกท้ออ้าออกอยู่หน่อยๆ ริมฝีปากซีดขาว ทำให้คนเกิดความรู้สึกสวยงามบอบบาง

 

 

ส่วนสูงของนางค่อนข้างสูง มั่วชิงเฉินใช้สายตาประเมินว่าอย่างน้อยจะต้องสูงกว่านางเกือบครึ่งศีรษะ เรียวขายาวทั้งสองข้างเรียวยาวยืดตรงเป็นพิเศษ ต่อให้นางเป็นสตรีเหมือนกันก็อดไม่ได้ที่จะมองสักครา

 

 

ต่อให้เป็นโลกนักบำเพ็ญเพียรก็ถือได้ว่าเป็นคนสวยที่งามที่สุดในปฐพี

 

 

มั่วชิงเฉินลอบถอนหายใจ ย่อตัวลงไปนั่งเอามืออังจมูกคนตรงหน้าดู

 

 

ยังมีลมหายใจ!

 

 

แม้จะไม่รู้ว่านิสัยของสตรีผู้นี้เป็นเช่นไร แต่เมื่อบังเอิญพบเรื่องเช่นนี้มั่วชิงเฉินก็ไม่อาจนิ่งเฉยดูดาย นางอุ้มหญิงสาวขึ้นมาเบาๆ สืบเท้าเดินไปยังบริเวณที่พัก

 

 

เมื่อมาถึงที่นางสะบัดมือปรากฏเตียงหนึ่งหลังขึ้นมา วางหญิงสาวลงบนเตียง จากนั้นก็เปิดปากของนางออก ใช้พลังวิญญาณนำทางป้อนโอสถวิเศษให้นางเม็ดหนึ่ง

 

 

นางได้สำรวจก่อนแล้ว หญิงสาวผู้นี้ไม่ได้เดินเข้าสู่ทางมาร แต่เพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป พลังวิญญาณในร่างกายอ่อนแรงไม่มีที่เปรียบ ป้อนโอสถหิมะไหลให้นางกิน ที่เหลือก็ต้องพึ่งพาตัวนางเองแล้ว

 

 

  ไม่ว่าจะเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับใดหลังจากที่ได้โอสถในการช่วยฟื้นฟูหลังได้รับบาดเจ็บ พลังวิญญาณในร่างกายจะขับเคลื่อนออกมารักษาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บด้วยตนเอง

 

 

เวลาสามวันผ่านไปชั่วพริบตา หญิงสาวยังคงไม่ได้สติ แต่สีหน้าเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ

 

 

มั่วชิงเฉินนั่งอยู่บนตั่ง หยิบม้วนกระดาษปกหนังวัวเล่มหนึ่งออกมาอ่านอย่างละเอียด

 

 

ม้วนหนังวัวเล่มนี้เป็นตำราเหล้าที่คุณชายหกมอบให้นางเมื่อนานมาแล้ว นับตั้งแต่ที่เริ่มหมักน้ำค้างลั่วเหมยและคิดถึงยากหักห้ามแล้วนั้นก็มีเรื่องราวเยอะมากเกินไป นางไม่มีจิตใจที่จะมาหมักเหล้าอีก

 

 

และในตอนนี้นางมาถึงปากคอขวดของระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นอย่างสมบูรณ์แล้ว ฝึกบำเพ็ญเพียรต่อไปก็ไม่ได้มีตบะบำเพ็ญเพิ่มขึ้น หากว่าศิษย์พี่ยังไม่ออกจากการกักตัว ไม่แน่ว่าก็ใช้การหมักเหล้าใหม่สักชนิดหนึ่งเป็นการฆ่าเวลา

 

 

หนังสือในมือถูกคนฉวยหยิบไปกะทันหัน มั่วชิงเฉินช้อนตามองตาม ก็สบเข้ากับดวงตาเป็นประกายดาราของเยี่ยเทียนหยวน

 

 

“ศิษย์พี่ ท่านออกจากเก็บตัวแล้วหรือ”

 

 

มั่วชิงเฉินผุดลุกขึ้นยืนจากตั่งในทันใด ใบหน้าปรากฏไอสีแดงระเรื่ออย่างไม่รู้ตัว

 

 

เยี่ยเทียนหยวนยื่นนิ้วมือออกมา ปลายนิ้วลากไล้ผ่านใบหน้ามั่วชิงเฉิน หัวเราะเสียงทุ้ม “ศิษย์น้อง เจ้าหน้าแดงแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินถลึงตามองเขาอย่างแรง

 

 

‘ยังจะมีหน้ามาพูด ใครใช้ให้เขาเกี่ยวพันผูกมัดกับตนเองทุกครั้งที่ออกจากการเก็บตัว ที่นางเป็นเรียกว่าปฏิกิริยาตอบรับต่างหาก!’

 

 

เยี่ยเทียนยหวนรวบตัวนางเข้ามาในอ้อมกอดอย่างเป็นธรรมชาติ กอดนางเอาไว้เงียบๆ สักพักถึงพูดว่า “ศิษย์น้อง ข้าไม่ต้องรักษาเสถียรภาพให้ระดับชั้นอีกแล้ว”

 

 

   หางคิ้วหางตาล้วนมีรอยยิ้มบางประดับ บวกกับใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็สลักของเขาทำให้เกิดความรู้สึกสูงส่งบริสุทธิ์อย่างมิอาจพรรณนาได้

 

 

มั่วชิงเฉินเข้าใจความหมายในคำพูดของเขา กรอกตามองเขาทีหนึ่ง ยิ้มร้ายพลางพูดว่า “ยินดีกับศิษย์พี่ที่ออกจากเก็บตัว บ้านหลิงหลงในที่สุดก็ให้ศิษย์น้องเข้าไปเก็บตัวได้แล้ว”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนตะลึงงัน ถึงได้พบว่ามั่วชิงเฉินอยู่ในขั้นเต็มปริ่มของระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นแล้ว ดวงตาเป็นประกายพราวระยับด้วยความยินดี “ศิษย์น้อง ยินดีด้วยที่เจ้าจะได้บรรลุระดับก่อแก่นปราณชั้นกลางเร็วเช่นนี้”

 

 

‘เขาไม่เกิดความหงุดหงิดหรอกหรือ?’

 

 

มั่วชิงเฉินกระพริบตา

 

 

ความคิดนี้กลับถูกเยี่ยเทียนหยวนมองทะลุ รวบเอวนางแน่นขึ้น “เจ้าเด็กซื่อ อะไรก็ไม่สำคัญไปกว่าพัฒนาการของเจ้า วันเวลาของพวกเรายังอีกยาวไกล”

 

 

จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าหัวใจละลายกลายเป็นสายน้ำ อบอุ่นและสั่นไหว พิงหน้าอกแกร่งถอนหายใจด้วยความรู้สึกเต็มปริ่มออกมา

 

 

แต่หลังจากนั้นจุมพิตแสนร้อนแรงถูกพรมลงมา ร่างกายถูกกอดแน่นขึ้น เหมือนว่าจะฝังเข้าไปในแผ่นอกแกร่ง

 

 

“ศิษย์พี่!” มั่วชิงเฉินลนลานผลักเยี่ยเทียนหยวนออก พูมพึมพำ “ท่านไม่เห็นว่ามีคนหรือ”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนตะลึง มองพิจารณารอบด้าน

 

 

มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก เห็นเขามีท่าทีเช่นนี้ก็รู้ว่าเขาไม่สังเกตเห็น!

 

 

“ศิษย์พี่ เตียงหลังใหญ่เช่นนี้ท่านยังไม่เห็นอีกหรือ” มั่วชิงเฉินชี้ไปยังเตียงหลังใหญ่สีงาช้างพลางพูดขึ้น

 

 

เยี่ยเทียนหยวนตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ “ข้าเห็นแล้ว แต่ไม่ได้ใส่ใจว่ามีคนนอนอยู่”

 

 

เขาคิดว่าเป็นเตียงที่ศิษย์น้องเตรียมเอาไว้ให้พวกเขาสองคน ในใจกำลังเกิดความยินดีปรีดาอย่างมาก สายตาทอดมองอยู่ที่ร่างของศิษย์น้องตลอดเวลา ไฉนเลยจะได้ใส่ใจว่าบนเตียงมีอะไร

 

 

   มั่วชิงเฉินถอนหายใจ ชี้ไปยังหญิงสาวผู้นั้นพลางพูดว่า “ศิษย์พี่ เมื่อสามวันก่อนข้าไปพบที่ก้นหน้าผาจึงพากลับมา อาการบาดเจ็บของนางแลดูสาหัสมากนัก นี่คือโอสถหิมะไหล ทุกๆ สามวันท่านป้อนให้นางหนึ่งเม็ด ข้าจะไปกักตัวฝึกวิชาแล้ว”

 

 

“ศิษย์น้อง” เยี่ยเทียนหยวนจับมือนางเอาไว้ ไม่พอใจเท่าไรนัก

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าแดงระเรื่อ พูดด้วยความเขินอาย “มีคนอยู่นะ”

 

 

‘เขาคงไม่ใช่จะทำเรื่องเช่นนั้นต่อหน้าคนอื่นหรอกกระมัง’

 

 

“นางสลบอยู่” เยี่ยเทียนหยวนพูดเรื่องจริง

 

 

“นั่นก็ไม่ได้” มั่วชิงเฉินปฏิเสธเสียงแข็ง จากนั้นก็หลุดร้องออกมาเบาๆ

 

 

เยี่ยเทียนหยวนจับนางพาดขึ้นบ่า เร่งฝีเท้าก้าวใหญ่เดินไปทางบ้านหลิงหลง

 

 

ทั้งห้องมืดสนิท กระแสอบอุ่นและงดงามล่องลอยไปทั่วไม่มีขีดจำกัด

 

 

หลังจากเสร็จกิจเยี่ยเทียนหยวนตระกรองกอดมั่วชิงเฉินเอาไว้ในอ้อมอก นิ่งเงียบไม่พูดจาอยู่นาน

 

 

“ศิษย์พี่?” มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นมอง ด้วยการกระทำนี้ความนุ่มนิ่มบริเวณหน้าอกและแผ่นอกที่แข็งแกร่งยิ่งแนบชิดกันมากยิ่งขึ้น

 

 

เสียงของเยี่ยเทียนหยวนแฝงความแหบต่ำเอาไว้ คางที่มีไรเขียวเสียดสีไปมากับเส้นผมดุจน้ำหมึก “ศิษย์น้อง เจ้าไปเก็บตัวฝึกวิชาให้สบายใจ ข้าจะอยู่ข้างนอกนี่แหละ”

 

 

“อืม” มั่วชิงเฉินรับคำเสียงเบา มุดตัวเข้าไปในอ้อมอกของเขา

 

 

ไม่ว่าจะเป็นมั่วชิงเฉินหรือเยี่ยเทียนหยวนล้วนไม่มีใครพูดถึงหญิงสาวข้างนอกเลยแม้แต่คนเดียว

 

 

มั่วชิงเฉินอบาบน้ำเปลี่ยนชุด เริ่มการเก็บตัวฝึกวิชาอย่างเป็นทางการ

 

 

ตอนนี้เป็นคราวเยี่ยเทียนหยวนคอยเฝ้าอยู่ข้างนอก มีบางครั้งที่ฝึกวิชา มีบางครั้งที่เปิดดูหนังสือเกี่ยวกับการหลอมอาวุธ

 

 

หญิงสาวผู้นั้น ด้วยคำกำชับของมั่วชิงเฉินที่ให้ป้อนโอสถหิมะไหลหนึ่งเม็ดทุกๆ สามวัน อาการของนางค่อยๆ ดีขึ้นไม่ต่างจากคนปกติตามวันเวลาที่ไหลผ่านไปทีละวัน

 

 

วันนี้หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง ขนตายาวดุจปีผีเสื้อขยับเล็กน้อย ในที่สุดก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

 

 

ดวงตาของนางเป็นสีอำพันที่แสนมีเสน่ห์ มองดูแล้วบริสุทธิ์แต่กลับแฝงความลึกลับไว้

 

 

นางหันมองพิจารณาสภาพแวดล้อมทั้งหมดรอบกายอยู่เงียบๆ จู่ๆ สายตากลับหยุดลงที่มุมๆ หนึ่ง

 

 

นั่นเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง สวมชุดสีเขียวทั้งร่าง สะอาดเรียบง่าย นั่งยู่บนเก้าอี้โยกที่ทำมาจากหวายสาน นิ้วมือเรียวยาวดุจต้นไผ่ถือม้วนคัมภีร์หยกสีเขียวหยกแผ่นหนึ่งเอาไว้ มองดูอย่างตั้งใจ

 

 

‘เป็นเขาที่ช่วยตนเองอย่างนั้นหรือ’

 

 

ไม่รู้ว่าเหตุใด ลมหายใจของหญิงสาวเกิดสับสนขึ้นมา

 

 

ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว เยี่ยเทียนหยวนหันมาสบประสานกับสายตาของหญิงสาวพอดี

 

 

   ขนตายาของหญิงสาวขยับขึ้นลงสองสามที มุมปากประดับรอยยิ้มบาง แต่สุดท้ายก็นิ่งค้างอยู่เช่นนั้น ชายหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นเพียงแค่พยักหน้าให้นางน้อยๆ จากนั้นสายตาก็ย้ายกลับไปมองม้วนคัมภีร์หยกอีกครั้ง

 

 

“เป็นสหายเต๋าที่ช่วยข้าไว้หรือ” หญิงสาวค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งบนเตียงช้าๆ ดวงตาสีอำพันมองพิจารณาเยี่ยเทียนหยวน

 

 

เยี่ยเทียนหยวนหันหน้าไปหา ยืนขึ้นมาเดินเข้าไปหาหญิงสาวทีละก้าว

 

 

หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนหวานพลางพูดว่า “ข้าน้อยนามว่าหนิงหลาน ขอบคุณสหายเต๋าที่ช่วยเหลือ”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเดินมาถึงหน้าเตียง วางขวดหยกขาวขวดหนึ่งลงบนข้างเตียง เสียงเย็นชาดุจน้ำพุเย็นกลางเดือนหนาว “นี่คือยาที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บภายใน สหายเต๋าทุกๆ สามวันทานหนึ่งเม็ด ไม่ได้เป็นข้าน้อยที่ช่วยท่านไว้ รออาการบาดเจ็บของสหายเต๋าดีขึ้นแล้วก็เชิญจากไปเถิด”

 

 

น้ำเสียงของเขาไม่ได้เป็นการปรึกษา แต่เป็นความเด็ดเดี่ยวที่ไม่เหลือช่องให้สงสัย

 

 

เห็นชายหนุ่มหันกลับไปนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกเหมือนเดิม มือหนึ่งถือม้วนคัมภีร์หยกเอาไว้ ลมหายใจบางเบาโอบรอบอยู่รอบกายเขา เหมือนว่าทั่วทั้งแผ่นดินนี้มีเพียงเขาอยู่ลำพัง

 

 

ไม่รู้ว่าเหตุใดในใจของหญิงสาวถึงได้เกิดความผิดหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ริมฝีปากแดงที่กลับมามีสีเลือดอีกครั้งอ้าออกน้อยๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้หาเรื่องให้ตัวเองไม่สบายใจ

 

 

‘ทั้งๆ ที่เขาช่วยตัวเองเอาไว้ เหตุใดถึงไม่ยอมรับกัน หรือว่าจะกลัวตนเองติดพันเช่นนั้นหรือ’

 

 

คิดได้เช่นนี้หญิงสาวก็กัดริมฝีปากแน่น นั่งยกขาขัดสมาธิรักษาอาการบาดเจ็บขึ้นมา

 

 

วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ บางครั้งเยี่ยเทียนหยวนจะทอดสายตามองไปยังทิศทางบ้านหลังเล็กประณีตหลังนั้น จ้องอยู่นานไม่ขยับเขยื้อน

 

 

หนิงหลานยิ่งนึกแปลกใจขึ้นเรื่อยๆ ภายในบ้านหลังนั้นหรือจะมีคนอยู่

 

 

เวลาสามเดือนเต็มๆ ผ่านไป คนผู้นั้นก็ยังไม่พูดกับตนเองแม้แต่ประโยคเดียว ทำให้นางยิ่งนึกสงสัยว่าหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บแล้วรูปโฉมของตนก็ได้รับความเสียหายไปด้วย

 

 

ทุกครั้งที่ตั้งใจจะเปิดบทสนทนาก็จะต้องสูญเสียความกล้าไปเพราะความเย็นชานิ่งเฉยของชายหนุ่ม

 

 

นางเองก็ไม่ใช่คนที่จะเสนอตัวไปหัวเราะต่อกระซิกกับชายหนุ่มเสียหน่อย

 

 

สองเดือนให้หลัง จู่ๆ บ้านหลิงหลงก็เกิดแสงประกายจ้าขึ้นมาสายหนึ่ง สะท้อนไปทั่วท้องฟ้า

 

 

เยี่ยเทียนหยวนลุกขึ้นในทันใด รีบเร่งฝีเท้าเดินไปถึงหน้าบ้านหลิงหลง ท่าทางเหมือนต้นสน ปล่อยให้ไอวิญญาณที่ไหลพลุ่งพล่านพัดชายเสื้อสีเขียวให้โบกสะบัด

 

 

หนิงหลานเองก็หยุดบำเพ็ญเพียรเช่นเดียวกัน ดวงตาสีอำพันจ้องมองไปยังบ้านหลิงหลงไม่ขยับไปไหน