ตอนที่ 443 ความรู้สึกตามธรรมชาติ

พันธกานต์ปราณอัคคี

แสงวิญญาณรวมตัวกันเป็นเมฆมงคลหลายก้อนอยู่บนบ้านหลิงหลง ค่อยๆ พัดลอยไปตามแรงลม ไม่ถึงหนึ่งวันก็สลายหายไป

 

 

หนิงหลานเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ คนที่อยู่ภายในบ้านหลังเล็กน่าจะมีการพัฒนาขั้นเล็กแล้ว

 

 

ยังจำเวลาเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่นางเลื่อนขั้นระดับก่อแก่นปราณชั้นกลางก็เป็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกัน

 

 

‘ชายผู้นั้นให้ความสนใจต่อคนที่อยู่ในห้องขนาดนี้ คนที่อยู่ภายในจะต้องเป็นใครกันแน่’

 

 

‘หรือว่าจะเป็นคนที่อยู่ในใจเขา’

 

 

ความคิดละเอียดอ่อนอย่างที่สตรีพึงมีทำให้นางเกิดความคาดเดาเช่นนี้เกิดขึ้น แต่ความคาดเดานี้กลับทำให้นางขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

ภายในบ้านหลิงหลง แสงวิญญาณค่อยๆ หายเข้าไปในร่างมั่วชิงเฉิน นางลืมตาขึ้นมาช้าๆ ผ่อนลมหายใจขุ่นออกมา

 

 

เวลาครึ่งปี ในที่สุดก็เลื่อนขั้นด้วยความราบลื่น

 

 

เหลือบมองไปยังทิศทางหน้าประตูด้วยความไม่ได้ตั้งใจเท่าไร มั่วชิงเฉินหลับตาลงอีกครั้ง

 

 

เพิ่งจะเลื่อนขั้น อย่างน้อยนางต้องใช้เวลาอีกสิบวันถึงครึ่งเดือนเพื่อรักษาสภาพถึงจะออกไปพบเขาได้

 

 

วันเวลาต่อจากนั้น หนิงหลานรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเวลาที่ชายหนุ่มหันไปมองบ้านหลังน้อยบ่อยมากขึ้น ทุกครั้งที่เขามองไป นางเองก็จะแอบลอบพิจารณาหน้าตางดงามของเขา รู้สึกว่ามีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่ความนิ่งเฉยของเขาถึงจะหายไป ถูกความอบอุ่นที่ทำให้คนมัวเมาเข้ามาแทนที่

 

 

ในที่สุดประตูไม้ก็ถูกเปิดออกส่งเสียงดัง หนิงหลานเงยหน้าขึ้นมองในทันใด เห็นว่ามีสตรีชุดเขียวผู้หนึ่งเดินออกมาจากบ้านเล็ก

 

 

ทั้งๆ ที่นางเดินย้อนแสง แต่กลับเหมือนกำลังอาบไล้อยู่ในแสงวิญญาณ ทุกย่างก้าวที่ขยับกายลำแสงเหล่านั้นก็ไล่ติดตามมา ทั่วทั้งร่างอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง เหมือนว่าเป็นจุดรวมสายตาของคนนับแสนโดยธรรมชาติ

 

 

มั่วชิงเฉินสะบัดแขนเสื้อ นำเอาแสงวิญญาณที่เล็ดลอดอยู่ข้างนอกเพราะเลื่อนขั้นระดับนำเข้าสู่ร่างกาย ส่งยิ้มที่ห่างหายไปนานให้เยี่ยเทียนหยวน “ศิษย์พี่”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนกดความพลุ่งพล่านในใจไว้ ก้าวขึ้นไปข้างหน้าจับมือนางเอาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ “ศิษย์น้อง ยินดีด้วย”

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้ม นิ้วมือแอบสะกิดลงบนฝ่ามือเยี่ยเทียนหยวนเบาๆ รับรู้ได้ถึงความเกร็งตัวของเขา สายตาที่ทอดมองเกิดร้อนแรงขึ้นมา

 

 

แต่สายตาของมั่วชิงเฉินกลับกันไปอีกทาง ทอดมองไปยังร่างผู้สวมใส่ชุดสีฟ้าอ่อน อมยิ้มพลางพูดว่า “สหายเต๋าฟื้นแล้ว”

 

 

‘ที่แท้คนที่ช่วยตนเอง ก็คือนาง!’

 

 

ทันใดนั้นหนิงหลานเกิดความคิดนี้ขึ้น รีบผุดลุกขึ้น “เป็นสหายเต๋าที่ช่วยข้าใช่หรือไม่ หนิงหลานต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้”

 

 

แม้จะเป็นเพียงการไถ่ถาม แต่นางกลับไม่ลังเลที่จะแสดงความเคารพ เห็นชัดว่านึกคิดว่าความคิดตัวเองไม่ผิด

 

 

มั่วชิงเฉินเกิดความรู้สึกดีต่อหญิงผู้นี้ขึ้นบางส่วน ก้าวขึ้นไปประคองนางให้ลุกขึ้น “สหายเต๋าเกรงใจแล้ว เป็นเพียงเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือก็เท่านั้น”

 

 

หนิงหลานยิ้มแย้ม “เรื่องง่ายเพียงพลิกฝ่ามือของสหายเต๋า สำหรับข้าน้อยแล้วกลับเป็นบุญคุณที่ช่วยชีวิต ข้าน้อยนามว่าหนิงหลาน ไม่ทราบว่าจะต้องเรียกสหายเต๋าอย่างไร”

 

 

“ข้าสกุลมั่ว” มั่วชิงเฉินยิ้มบาง หันเหลือบไปเห็นใบหน้าเย็นชาของเยี่ยเทียนหยวน ในใจรู้ว่าศิษย์พี่ของตนหลายวันนี้คงจะทำให้หญิงสาวนิ่งเกร็งไปแล้ว ในตอนนั้นจึงพูดว่า “นี่คือศิษย์พี่ของข้า สกุลเยี่ย”

 

 

“สหายเต๋ามั่ว สหายเต๋าเยี่ย” หนิงหลานยืนยืดตัวตรง เหลือบมองเยี่ยหยวนโดยเร็วทีหนึ่ง

 

 

ครึ่งปีแล้ว จนวันนี้นางถึงได้รู้ว่าเขาสกุลอะไร ระหว่างช่วงเวลานี้นางไม่มีความกล้าที่จะถามจริงๆ

 

 

‘พวกเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง ก็น่าจะเป็น คู่บำเพ็ญเพียรเต๋าด้วยกระมัง’

 

 

ตัวนางที่อยู่ระดับก่อแก่นปราณชั้นกลางย่อมต้องมองออกว่าสหายเต๋ามั่วผู้นี้ไม่ได้เป็นสาวพรหมจารี

 

 

เก็บความปวดร้าวในใจไว้ให้ลึก หนิงหลานยิ้มบางๆ “สหายเต๋ามั่ว อาการบาดเจ็บของข้าน้อยดีขึ้นแล้ว แต่เดิมก็ไม่ควรต้องรบกวนอีก แต่ที่ตกหน้าผาเมื่อครึ่งปีก่อนเพราะถูกศัตรูไล่ฆ่า ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังอยู่บริเวณใกล้เคียงหรือไม่ ข้าได้ส่งข่าวให้ศิษย์ร่วมสำนักแล้ว เกรงว่ายังจะต้องรบกวนอยู่ที่นี่จนกว่าพวกเขาจะมา”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มอบอุ่นพลางพูดว่า “สหายเต๋าหนิงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ พื้นที่หุบเขามังกรใครจะมาก็ได้ ท่านทำใจให้สบายรอคนมาเถิด”

 

 

“ขอบคุณสหายเต๋ามั่วด้วย” หนิงหลานสบายใจไปเปราะหนึ่ง

 

 

นางคิดว่าสหายเต๋ามั่วผู้นั้นจะคิดว่าตนเองปักหลักอยู่ที่นี่ให้ขวางสายตา คิดไม่ถึงว่านางจะอบอุ่นใจกว้าง ทำให้ตนเองต้องละอายใจ

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเห็นมั่วชิงเฉินและหนิงหลานพูดคุยหัวเราะ กลับละเลยตนเองไป ก็เม้มริมฝีปากแน่นอย่างไม่รู้ตัว

 

 

มั่วชิงเฉินรู้ว่าศิษย์พี่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้าโดยเฉพาะสตรีพูดน้อยแต่ไหนแต่ไรมา ในตอนนั้นจึงส่งยิ้มให้หนิงหลาน หันกลับมาพูดว่า “ศิษย์พี่”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนปรับท่าที จับมือมั่วชิงเฉินลากออกไปข้างๆ อย่างไม่ปล่อยให้พูดอะไรอีก

 

 

ทั้งสองคนล้วนใส่ชุดเขียว จูงมือพากันเดินออกไปไกล แผ่นหลังกลับให้ความรู้สึกเข้ากันอย่างน่าแปลก

 

 

หนิงหลานหลุบตาลง ยืนอยู่เงียบๆ ผ่านไปนานถึงได้ยิ้มยางๆ แล้วนั่งขัดสมาธิเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียร

 

 

“ศิษย์น้อง” บริเวณข้างๆ หินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง ทั้งสองคนหยุดลง ในที่สุดเยี่ยเทียนหยวนก็ทนไม่ไหว รวบมั่วชิงเฉินเข้ามาในอ้อมกอด

 

 

มั่วชิงเฉินผลักเขาออก “ศิษย์พี่ สหายเต๋าหนิงยังอยู่นะ”

 

 

ที่นี่ก็ไม่ได้ใหญ่โตอยู่แล้วตั้งแต่แรก ต่อให้พวกเขาเดินออกมาไกลเสียหน่อย แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่อีกฝ่ายสามารถใช้กระแสจิตสืบเสาะได้ แน่นอนว่าเมื่อทำตามข้อตกลงอย่างไม่เป็นทางการ ระหว่างนักบำเพ็ญเพียรด้วยกันไม่สามารถใช้กระแสจิตสืบเสาะได้ตามใจชอบ

 

 

แต่มั่วชิงเฉินก็ยังรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง จะต้องรู้ว่านางอาศัยที่กระแสจิตของตนเองแข็งแกร่ง แอบฟังเรื่องลับผู้อื่นไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง

 

 

เยี่ยเทียนหยวนกลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ พูดออกมาด้วยความน้อยใจว่า “ศิษย์น้อง เจ้าไม่ให้นางไป แล้วยังไม่ให้ข้ากอด!”

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะด้วยความจนปัญญา “ศิษย์พี่!”

 

 

แต่พอคิดได้ว่าอย่างมากอีกสามวันตนเองก็จะต้องกลับเข้าไปในบ้านหลิงหลงเพื่อเก็บตัวฝึกวิชาอย่างสงบอีกครั้ง ใจเกิดอ่อนไม่คิดทนปฏิเสธได้อีก

 

 

แต่มือใหญ่ทั้งสองข้างที่โอบนางเอาไว้แน่นกลับไม่อยู่นิ่ง ค่อยๆ เลื้อยลงไปข้างล่างเริ่มจากเอว หยุดอยู่ที่บั้นท้ายอวบอิ่ม จากนั้นเท้านางก็โล่งเปล่า ทั้งร่างถูกยกแผ่นหลังทิ้งน้ำหนักอยู่บนผิวหินก้อนใหญ่

 

 

มั่วชิงเฉินถลึงตาโตในทันใก รีบพูดว่า “ศิษย์พี่ ท่านคิดจะทำอะไรน่ะ”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเม้มริมฝีปากแน่น ไม่พูดอะไรออกมา แต่กลับใช้การกระทำตอบนางว่าคิดจะทำอะไร

 

 

ตราบจนสามวันให้หลัง ทั้งสองคนถึงกลับมาที่เดิม ด้วยสายตาจดจ้องของหนิงหลานที่ไม่มีสาเหตุ มั่วชิงเฉินจำใจเอ่ยทักทายแล้วเดินเข้าไปในบ้านหลิงหลง

 

 

เยี่ยเทียนหยวนกลับมีท่าทีสงบจิตสงบใจ หาที่ว่างนั่งลงตามสบาย

 

 

จิตใจของเขาไม่เคยมีความรู้สึกอะไรต่อความคิดของคนผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง

 

 

หนิงหลานเองก็เหมือนจะเคยชินกับความนิ่งเงียบของเยี่ยเทียนหยวน นั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งฝึกบำเพ็ญเพียรตามลำพัง

 

 

หลังจากนั้นสองสามวันเสียงกระเรียนร้องกังวาลก็ดังขึ้นมาให้ได้ยิน

 

 

เยี่ยเทียนหยวนลืมตาขึ้นในทันใด หันไปมองทางหน้าผา จากนั้นสายตาก็หมุนกลับมามองไปยังหนิงหลาน

 

 

หนิงหลานมีท่าทีตื่นเต้นเล็กน้อย สายตาสบเข้ากับเยี่ยเทียนหยวน ความรู้สึกตื่นเต้นเหล่านั้นกลับลดน้อยลงโดยมิมีสาเหตุ พูดขึ้นว่า “สหายเต๋าเยี่ย เป็นศิษย์ร่วมสำนักขอข้าน้อยมาแล้ว”

 

 

“อ้อ เช่นนั้นสหายเต๋าหนิงเดินทางปลอดภัย” เยี่ยเทียนหยวนพูดขึ้นเรียบๆ

 

 

หนิงหลานนิ่งอึ้งไป จากนั้นก็ลุกขึ้นมาเงียบๆ เก็บข้าวของของตนเดินเข้าไปหาเยี่ยเทียนหยวน

 

 

เยี่ยเทียนหยวนถอยหลังลงไปหนึ่งก้าวตามปฏิกิริยาตอบรับ

 

 

แววตาหนิงหลานมืดคล้ำ ยืดหลังตรง พูดเรียบๆ ว่า “สหายเต๋าเยี่ย รบกวนแจ้งสหายเต๋ามั่วด้วยว่า บุญคุณยิ่งใหญ่ เพียงพูดขอบคุณไม่เพียงพอ หนิงหลานย่อมจำจดไว้ในใจตลอดไป ข้าขอตัวก่อน”

 

 

หนิงหลานเดินไปข้างหน้าหลายจั้ง คนที่อยู่ด้านหลังก็ยังไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ในที่สุดนางก็หันกลับมาอย่างอดไม่ได้ กัดฟันพูดว่า “สหายเต๋าเยี่ย ข้าน้อยเป็นคนหลิวโจม หากมีโอกาส ท่าน… ท่านและสหายเต๋ามั่วไปถึงหลิวโจว ก็ไปหาข้าได้ที่ราชันย์พำนัก มีโอกาสแล้วพบกันใหม่”

 

 

พูดจนถึงสุดท้ายก็แทบจะหนีจากไปด้วยความลนลาน แผ่นหลังสีฟ้าอ่อนหายไปท่ามกลางไอหมอกอย่างรวดเร็ว

 

 

เสียงกระเรียนร้องค่อยๆ ดังขึ้น จากนั้นก็แทบจะเบาลงจนไม่ได้ยิน ตั้งแต่ต้นจนจบท่าทีของเยี่ยเทียนหยวนก็ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ เพียงแค่ยืนอยู่นอกบ้านหลิงหลง อบอุ่นและยืนยาว