เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเยี่ยเม่ย ไม่เอ่ยอะไรออกมา

 

 

อวี้เหว่ยกลับมองจนใจเต้นระส่ำไปหมด ไม่รู้นี่มันเรื่องอันใดกัน ระหว่างฉงนกลัดกลุ้ม เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็สั่งว่า “ออกไปให้หมด”

 

 

อวี้เหว่ยอึ้งไปเอ่ยถามว่า “งั้นเซี่ยชูมั่ว…”

 

 

“ออกไป” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสั่งเสียงเย็น

 

 

ถึงอวี้เหว่ยยังแปลกใจ แต่ก็ออกไปอย่างเชื่อฟัง มองไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่สมองเขาแหว่งไปแล้วหรือเปล่า นี่แสดงว่าเขาไม่ต้องไปฆ่าคนแล้วใช่ไหม

 

 

ลั่วซิงเฉินถ่ายทอดคำพูดแล้วก็รับรู้ได้จากใจส่วนลึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีก ไม่รอให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยปาก เขาก็จากไปตามสัญชาตญาณ

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเยี่ยเม่ย น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ เอ่ยว่า “อย่างไร เจ้าเข้าใจจริงๆ หรือว่าต่อให้เยี่ยนไม่พอใจเรื่องจงซาน แต่เพื่อการใหญ่ของเจ้าแล้วก็จะไม่แตะต้องเซี่ยชูมั่ว”

 

 

ด้วยเหตุนี้นางถึงได้กำเริบเหิมเกริม ไม่ยอมพูดจาน่าฟังสักคำสองคำ กลับสั่งให้อวี้เหว่ยทำตามคำสั่งของเขา ไม่ยอมเว้นทางลงให้เขาสักหน่อย ปล่อยให้เขาตะกายขึ้นไปเองแล้วต้องหาทางลงเอง

 

 

เยี่ยเม่ยเตรียมจะเอ่ยคำพูดขัดใจตนสักสองสามคำ จงใจบอกว่านางไม่เคยคิดเช่นนั้นมาก่อน พอเห็นแววตาสีแดงของอีกฝ่าย นางเข้าใจได้ในบัดดลว่า หากนางยังทำเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเขาจะระเบิดโทสะแล้ว

 

 

เยี่ยมเม่ยเอ่ยออกไปตามตรง “ถูกแล้ว ข้ารู้ว่าสามีคิดทุกอย่างเพื่อข้า ต่อให้ท่านไม่ยินดีก็ยังเห็นผลประโยชน์ของข้ามาก่อน ดังนั้นข้าถึงได้ใจขนาดนี้ กำเริบเหิมเกริมสั่งให้อวี้เหว่ยไปฆ่าคน”

 

 

นางพูดตามตรง ซ้ำยังไม่ลืมชมเขา คำพูดประจบองค์ชายสี่ได้ฟังแล้วได้ผลดีมาก แต่รู้เขายังสึกขุ่นเคืองคันคะเยอเมื่อเห็นท่าทางได้ใจของนาง

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเงียบไปสักครู่ ลุกขึ้นเอ่ยปากว่า “พระชายาพูดไม่ผิด ข้าสามารถทนความไม่พอใจต่อจงซานเพื่อเจ้า ไม่ไปสังหารเซี่ยชูมั่วได้ แต่ว่าท่าทางเหิมเกริมของเจ้าเช่นนี้ คิดจริงๆ หรือว่าสามีจะรักษาไม่ได้”

 

 

เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก กำลังจะลุกขึ้นเดินหนีไปก็พบว่าขาของนางถูกสะกดไว้แล้ว ถูกกำลังภายในของเขายึดเอาไว้ ไม่อาจขยับได้

 

 

นางฝึกเคล็ดวิชาเสี่ยวเถียนไช่ไปถึงขั้นเก้าแล้ว ขาดก็เพียงขั้นสุดท้ายเท่านั้น แต่ว่าเมื่อเทียบกับกำลังภายในของเขาก็ยังห่างไกลอยู่อักโข ลำดับห่างชั้นกันแค่ขั้นเดียวก็ยังนับว่าห่างอีกไกลแสนไกล

 

 

คราวนี้…

 

 

ชายหนุ่มเข้ามาอุ้มนางขึ้นมาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว สาวเท้ากลับห้องนอน “เยี่ยนเรียนรู้ท่าใหม่ๆ จากภาพเมื่อครู่อีกหลายท่า พวกเราทดลองกันเถอะ”

 

 

แม่เจ้า

 

 

คราวนี้เยี่ยเม่ยคิดฆ่าเซี่ยชูมั่วขึ้นมาจริงงๆ แล้ว วาดภาพบ้าอะไรออกมา

 

 

นางตวาดด้วยโทสะ “ท่านอย่าทำแบบนี้ได้ไหม คืนนี้ข้ายังมีเรื่องต้องสะสางอีก”

 

 

หรือเขาไม่รู้ว่าถึงเรื่องของซือหม่าหรุ่ยวางแผนไว้หมดแล้ว แต่ยังต้องกรให้นางไปจัดการอีกในคืนนี้

 

 

“วางใจเถอะ ไม่ทำให้เสียเรื่องเจ้าแน่ รอถึงคืนนี้ค่อยปล่อยเจ้าออกมา”

 

 

พูดแล้วเขาก็กดนางลงบนเตียง

 

 

เยี่ยเม่ยกล่าวอย่างปวดเศียรเวียนเกล้าว่า “ข้ารู้สึกว่าต่อให้ไม่ฆ่าเซี่ยชูมั่วก็ควรจัดการนางสักหน่อย”

 

 

เขาพยักหน้า เห็นด้วยกล่าวว่า “ฮูหยินเอ่ยถูกแล้ว รอสามีรักษาโรคเหิมเกริมของเจ้าก่อน พวกเราค่อยไปจัดการนางกัน”

 

 

เยี่ยเม่ย “…?”

 

 

บ้านนี้ยังมีกฎอยู่ไหม นางเป็นใหญ่ในบ้านต่างหากไม่ใช่หรือไร

 

 

ยังไม่ทันคิดอย่างอื่นก็ถูกคลื่นความปรารถนาของบาคนครอบงำจนไม่มีสติปัญญาไปคิดเรื่องแย่งชิงตำแหน่งใหญ่สุดในบ้านอีก

 

 

……

 

 

เซี่ยชูมั่วอยู่บ้านด้วยความกระวนกระวายทั้งวัน เอาแต่กังวลว่าองค์ชายสี่กับเยี่ยเม่ยจะบุกมาจัดการตนหรือไม่

 

 

เหมี่ยวเจินที่กับมาแล้วรายงานว่า “ท่านหญิง คนที่ท่านส่งออกไปล้วนถูกคนของจวนองค์ชายสี่จับไว้หมดแล้ว รูปปภาพพวกนี้ไม่มีใครกล้าแพร่ต่อไปอีก ไม่รู้ว่าคนขององค์ชายสี่ไต่สวนได้หรือยังว่าเป็นฝีมือท่าน”

 

 

เซี่ยชูมั่วลุกขึ้นมาด้วยความไม่สงบ ถามว่า “จวนองค์ชายสี่ไม่ส่งคนมาหาข้าหรือ”

 

 

“ไม่มี” เหมี่ยวเจินตอบทันที

 

 

เวลานี้เซี่ยชูมั่วยิ่งกังวลใจเข้าไปใหญ่ “สรุปแล้วพวกเขารู้หรือว่าไม่รู้กันแน่”

 

 

นี่…

 

 

เหมี่ยวเจินตอบไม่ถูกในทันที

 

 

นางคิดถึงใต้เท้าไป๋หลี่ซือซิวส่งคนไปขวางไม่ให้เยี่ยเม่ยลงมือแล้ว ดังนั้นดูท่าเรื่องนี้คงผ่านไปได้แล้ว เซี่ยชูมั่วคงปลอดภัย

 

 

นางจึงปลอบว่า “ท่านหญิง ท่านจับครอบครัวของพวกนั้นไว้ พวกเขาคงไม่กล้าขายท่านแน่ ท่านวางใจเถอะ”

 

 

นางกล่าวออกมา เซี่ยชูมัวก็วางใจได้ชั่วขณะ

 

 

จากนั้นเหมี่ยวเจินก็เสนอว่า “ท่านหญิง พรุ่งนี้ท่านส่งเทียบไปเชิญคุณหนูทั้งหลายมาชุมนุมร่ายกลอนร้องเพลง ทำให้คนข้างนอกรู้ว่าท่านยุ่งมาก ท่านอยู่สุขสบายไม่เดือดไม่ร้อนไม่สนใจทำเรื่องพวกนั้นอย่างแน่นอน ท่านเห็นว่าอย่างไรเจ้าคะ”

 

 

อันที่จริงในใจเหมี่ยวเจินหวังเห็นให้ท่านเอาใจใส่เรื่องานชุมนุม ยุ่งสักหน่อย จากนั้นก็ทำเรื่องโง่ๆ ให้น้อยลง ขอร้องล่ะ

 

 

เซี่ยชูมั่วฟังแล้วถามว่า “จะได้ผลหรือ”

 

 

“ได้ผลหรือไม่ บ่าวไม่มั่นใจ แต่ว่าหาอะไรทำเพื่อดึงความสนใจ ก็ดีกว่าท่านนั่งกังวลอยู่อย่างนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไรเจ้าคะ” เหมี่ยวเจินเสนอความเห็น

 

 

เซี่ยชูมั่วพยักหน้าน้อย “งั้น งั้นก็ดี ทำตามที่เจ้าว่า”

 

 

……

 

 

จวนมู่หรงเหยาฉือ

 

 

มู่หรงเหยาฉือมองรูปภาพที่อยู่บนโต๊ะ มุมปากเจือรอยยิ้มสาแก่ใจ สั่งการว่า “ไฉ่ซัง เจ้าไปดูที่จวน องค์ชายสี่สิว่า เยี่ยเม่ยถูกไล่ออกจากจวนหรือเปล่า”

 

 

“หา” ไฉ่ซังมองมู่หรงเหยาฉืออย่างไม่อยากเชื่อสายตา เอ่ยปากว่า “ท่านหญิง ทำไมนางถึงจะถูกไล่ออกจากจวนล่ะเจ้าคะ ท่านอย่าได้ฝันไปเลยเจ้าค่ะ ท่านมีสติเสียหน่อย องค์ชายใหญ่ยินยอมแต่งงานกับท่าน ท่านเตรียมตัวมีชีวิตที่สุขสงบก็พอแล้ว เหตุใดยังต้องไปยุ่งเรื่องของจวน องค์ชายสี่ด้วยเล่าเจ้าคะ”

 

 

มู่หรงเหยาฉือปรายตามองนาง “เจ้าจะรู้อะไร เมื่อรูปพวกนี้แพร่ออกไป จะมีผู้ชายสักกี่คนที่ทนได้อีก ต่อให้องค์ชายสี่ชอบนางมากแค่ไหนก็ไม่อาจทนได้แน่ อีกอย่างเด็กในท้องของข้าเป็นลูกองค์ชายสี่ ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่รู้ เจ้ารีบไปจับตาดูไว้ อย่าสอดปากให้มากนัก หากช้าไปก้าวหนึ่ง ข้าจะตัดลิ้นเจ้าซะ”

 

 

“นี่…เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้” ไฉ่ซังออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก นางรู้สึกลึกๆ ว่าท่านหญิงคลุ้งคลั่งไปแล้ว

 

 

……

 

 

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง

 

 

บริเวณใกล้ๆ จวนจงซานมีคนผู้หนึ่งเดินไปวนมาวนระหว่างถนนสายเล็กกับประตูจวนอยู่นาน

 

 

จนกระทั่งเหวยซื่อทนดูไม่ไหวอีกต่อไป เอ่ยปากว่า “ท่านอ๋องน้อย ท่านเดินไปมาที่นี่ก็สองชั่วยามแล้ว ฟ้าก็มืดแล้ว สรุปแล้วท่านจะเข้าไปหรือกลับจวนกันแน่ ท่านรีบตัดสินใจเถอะขอรับ”