เมื่อเหวยซื่อเอ่ยเช่นนี้ เซี่ยโหวเฉินก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา มองประตูใหญ่จวนจงซานก็ไม่รู้ว่าสมควรเข้าไปขอพบหรือจากไปดี

 

 

กลับเป็นเหวยซื่อที่เตือนขึ้นว่า “ท่านอ๋องน้อย ข้ารู้ว่าท่านไม่กล้าขอพบแม่นางจง แต่นี่ก็ดึกมากแล้ว ขอพบนางตอนนี้ก็ไม่เหมาะแล้ว ดังนั้นไม่สู้พวกเรากลับกันก่อนเถอะ”

 

 

เหวยซื่อพูดไม่ผิดเลย ต่อให้อยากมาเยี่ยมเยียน แต่นี่ก็ล่วงเลยมาถึงยามนี้แล้ว ไม่เหมาะสมเอาเสียเลย มีอย่างที่ไหนมาขอพบกันเวลากลางคืน ทั้งไม่มีเหตุผลที่สมควร โดยเฉพาะที่เขามาขอพบจงซานไม่ใช่เรื่องงานสำคัญ แต่มาเพราะคนงาม

 

 

เซี่ยโหวเฉินพยักหน้ากลับเริ่มปลุกความกล้าให้ตัวเอง “งั้นก็ดี พวกเรากลับกันก่อน พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ข้าต้องกล้าเข้าไปให้ได้”

 

 

เหวยซื่อปรายตามองเขา เอ่ยในใจว่า ท่านอ๋อง เมื่อคืนท่านก็พูดเช่นนี้

 

 

ผลคือวันนี้มาตั้งแต่ช่วงบ่าย จากนั้นก็เตร็ดเตร่เปล่าๆ อยู่ครึ่งค่อนวัน

 

 

ในขณะที่สองนายบ่าวกำลังจะจากไปก็เห็นเงาร่างลับๆ ล่อๆ สายหนึ่ง แอบเปิดประตูแวบออกมาจากด้านวใน

 

 

เซี่ยโหวเฉินมองไปก็พบว่าเป็นจงรั่วปิง

 

 

เพียงเห็นนางปิดประตูลงด้วยความระวังแล้วรีบเดินอย่างว่องไว คล้ายกับว่าฝีเท้าไม่มั่นคงอยู่บ้าง ซ้ำยังซวนเซเล็กน้อย เซี่ยโหวเฉินรีบเข้าไปพยุงนางไว้ถามว่า “แม่นางจง นี่เจ้า…”

 

 

เหตุใดจึงทำตัวเหมือนโจรออกจากบ้านตัวเองด้วยเล่า

 

 

อีกอย่างยามที่เซี่ยโหวเฉินพยุงนางไว้สัมผัสได้ว่าลมหายใจของนางสับสนคล้ายถูกคนผนึกวรยุทธ์ไว้

 

 

ไม่รอให้จงรั่วปิงตอบ เซี่ยโหวเฉินก็คิดออกถามว่า “แม่นาง หรือว่าเพราะเรื่องของซือหม่าหรุ่ย”

 

 

อันที่จริงวันนี้เขาก็ได้ฟังว่า ซือหม่าหรุ่ยถูกเยี่ยเม่ยจับตัวไว้แล้ว เขาไม่ค่อยเข้าใจสตรีนางนี้ ทั้งไม่รู้เรื่องราวในปีนั้น ไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเซียวชินและซือหม่าหรุ่ยเลยสักนิด ดังนั้นจึงคาดเคาแผนการของเยี่ยเม่ยไม่ออก

 

 

เพียงคิดว่าเกิดเรื่องในจวนเยี่ยเม่ยเท่านั้นเอง

 

 

แต่เขาลืมไปได้อย่างไรว่า จงรั่วปิงกับซือหม่าหรุ่ยเป็นสหายสนิทกัน หากนางรู้ว่าอีกฝ่ายเกิดเรื่อง จงรั่วปิงต้องไปช่วยเหลือแน่

 

 

จงรั่วปิงเองก็ไม่คิดปิดบัง พยักหน้า “ไม่ผิด เป็นเพราะเรื่องของนาง ท่านพ่อไม่อนุญาตให้ข้าสอดมือ ดังนั้นจึงขังข้าไว้ แต่เรื่องของนาง ข้าจะไม่สนได้อย่างไร ข้ากับนางเป็นสหายสนิทกัน ข้า…”

 

 

นางกินยาสลายกำลังเข้าไป ไม่ง่ายกว่ากำลังจะฟื้นฟูกลับมาจนแอบหนีออกจากจวนได้ ยามนี้เมื่อเล่าสาเหตุออกมา อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นจนเกือบยืนไม่มั่น

 

 

เซี่ยโหวเฉินรีบจับนางไว้เอ่ยปลอบว่า “แม่นางจง เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ ร่างกายสำคัญกว่า จากสภาพของเจ้าในตอนนี้…”

 

 

“ท่านพ่อให้ข้ากินยาสลายกำลัง ข้าจึงไม่อาจใช้กำลังภายในได้ชั่วคราว” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ จงรั่วปิงเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงเลยว่า บิดาที่ยามปกติเฝ้าสอนให้นางมีคุณธรรม ดันกลับคำพูดยามที่นางต้องผดุงคุณธรรมจริงๆ ทั้งยังขวางนางเอาไว้อีกด้วย

 

 

เซี่ยโหวเฉินพยักหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจ เอ่ยว่า “แต่เมื่อเจ้าตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว แค่บริเวณคุกเจ้ายังไม่อาจเข้าใกล้ได้เลย เจ้าจะช่วยซือหม่าหรุ่ยอย่างไร เกรงว่าแค่เข้าไปเจ้าก็คงถูกจับก่อนแล้ว”

 

 

เหตุผลนี้ทำไมจงรั่วปิงจะไม่รู้ นางรีบเอ่ยปากว่า “ถึงจะพูดแบบนี้ แต่ข้าก็ไม่อาจอยู่แต่ในบ้าน ไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้นหรอก จริงสิ…”

 

 

จงรั่วปิงกล่าวพลางฉุกคิดบางอย่างได้ มองเซี่ยโหวเฉิน “ท่านอ๋องน้อย ท่านพ่อข้าบอกว่าท่านเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งเป่ยเฉิน ข้ายังได้ยินมาอีกว่าท่านเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของเป่ยเฉินอี้ ท่านฉลาดออกอย่างนี้ น่าจะมีวิธีใช่หรือไม่”

 

 

เซี่ยโหวเฉินลอบถอนหายใจ เอ่ยไปตามตรงว่า “เรื่องนี้ก็ใช่ว่าข้าจะไร้หนทางจริงๆ เพียงแต่เป็นเรื่องในจวนขององค์ชายสี่ ตามกฎหมายเป่ยเฉินเรา หากมีคนทำผิดในจวนเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงสามารถส่งเข้าคุกได้เลย ใครก็ไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัวเขาได้ ดังนั้น…”

 

 

ต่อให้เป็นเขาก็ไม่รู้ว่าจะสอดมือกับเรื่องนี้ยังไง

 

 

เมื่อเขาตอบ สีรหน้าจงรั่วปิงก็ฉายแววผิดหวังออกมา “ท่านก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงสินะ”

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของนาง ชั่วขณะนั้นในใจของ เซี่ยโหวเฉินพลันรู้สึกบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเพราะความร้อนรนชั่ววูบหรือเปล่า เขากลับโพล่งออกไปว่า “แม่นางจง ในไม่มีทางแก้ไขดีๆ งั้นก็เหลือแค่ทางเดียวก็คือ ปล้นคุกแล้ว”

 

 

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าปล้นคุกได้ แต่ว่าสภาพข้าในตอนนี้…” ยามจงรั่วปิงเอ่ยคำพูดนี้ ค่อยตระหนักได้ว่าตัวเองถูก เซี่ยโหวเฉินพยุงอยู่

 

 

ชายหญิงที่ยังไม่แต่งงาน แนบชิดกันเช่นนี้ไม่เหมาะสม จงรั่วปิงใบหน้าแดงเรื่อกลับมายืนอย่างมั่นคง

 

 

เซี่ยโหวเฉินก็รีบปล่อยนาง ซ้ำใบหน้าของเขายังแดงกว่านางเสียอีก กระทั่งใบหูก็แดงก่ำไปด้วย

 

 

เซี่ยโหวเฉินรีบเอ่ยต่อว่า “ยามนี้ร่างกายของแม่นางจงไม่สะดวก เช่นนั้นให้ข้าช่วยเจ้าปล้นคุกก็แล้วกัน”

 

 

“หา” เหวยซื่อที่ยืนอยู่ด้านข้าง แสดงสีหน้าว่าตนได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า ทั้งยังสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าท่านอ๋องน้อยเสียสติไปแล้วใช่หรือไม่

 

 

เขากับซือหม่าหรุ่ยไม่ใช่ทั้งมิตรและศัตรู ยังจะไม่ช่วยปล้นคุกอีก

 

 

ตามกฎหมายของราชสำนักเป่ยเฉิน ปล้นคุกมีโทษประหาร ไม่ว่าภายในคุกจะคุมขังนักโทษอุกฉกรรจ์ หรือว่าบ่าวไพร่ตระกูลใดก็ตาม ขอเพียงปล้นคุก เมื่อถูกจับได้ก็ต้องประหาร

 

 

จงรั่วปิงเองก็ชะงักไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่า เซี่ยโหวเฉินจะเอ่ยเช่นนี้

 

 

นางอึ้งไป แล้วเอ่ยปากว่า “แต่ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่านอ๋อง หากถูกจับได้ นี่…ข้าจะทำให้ท่านอ๋องพลอยเดือดร้อนไปด้วยได้อย่างไร”

 

 

ยามนี้เซี่ยโหวเฉินพูดคุยกับนางได้อย่างราบรื่นไม่น้อย โรคตะกุกตะกักของเขาหายไปมากแล้ว เขามอง จงรั่วปิงเอ่ยไปตามสัตย์ว่า “แม่นางจง ข้าเคยบอกแล้วว่าข้ามีใจให้กับเจ้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องของแม่นางก็เป็นเรื่องของข้า”

 

 

เหวยซื่อแอบกุมขมับ

 

 

เอาเถอะ…

 

 

ท่านอ๋องแอบแทงมีดข้างหลังจงซาน ตอนที่เอ่ยอย่างไม่รู้สึกผิดว่าเรื่องงานก็ส่วนงาน เรื่องความรักหนุ่มสาวก็ส่วนเรื่องความรักหนุ่มสาว เขาก็เชื่อจริงๆ แต่ตอนนี้มันอะไรกันเนี่ย

 

 

เพื่อสตรีนางหนึ่งถึงกลับยอมสละชีวิต เขาอยากถามท่านอ๋องเหลือเกินว่าแล้วงานใหญ่ของท่านเล่า หรือว่าไม่สำคัญแล้วหรือ รอไม่เหลือชีวิตแล้ว ยังจะมีงานใหญ่อะไรอีก นี่ล้อกันเล่นหรือเปล่า

 

 

จงรั่วปิงไม่มีทางรู้ว่าเหวยซื่อคิดอะไรอยู่

 

 

นางฟังคำพูดของเซี่ยโหวเฉินแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะกล่าวออกมาเช่นนี้

 

 

เดิมทีท่านพ่อบอกว่า เซี่ยโหวเฉินไม่อาจเชื่อได้ บางทีเขาอาจมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ นางยังระแวงเขาสงสัยเขา เวลานี้เห็นเขายินยอมทำเพื่อนางถึงขั้นสละชีวิตไปปล้นคุก ในใจนางพลันรู้สึกทั้งเสียใจทั้งซาบซึ้ง