บทที่ 8 แค้นนี้ต้องชำระ

บุหลันเคียงรัก

อากาศมืดครึ้ม เม็ดฝนที่โปรยปรายในสายหมอกหยดลงบนปลายจมูกราชสีห์ที่อยู่มุมตำหนักหมิงซิ่งค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหยดน้ำพร่างพราวร่วงลงมา

 

 

เสวียนอี่รออยู่ภายนอกตำหนักหมิงซิ่ง เหม่อมองไปที่ราชสีห์

 

 

ฉีหนานพานางมาส่งไว้แต่เช้า ปรากฏว่าตำหนักหมิงซิ่งยังไม่เปิด นางรออย่างเบื่อหน่าย

 

 

ภายนอกตำหนักหมิงซิ่งมีเหล่าทวยเทพจำนวนมากจับกลุ่มกันอยู่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของตำหนัก และเว้นระยะห่างจากแผนกตรวจความเรียบร้อยสองช่วงก้อนเมฆ ยังไม่ถึงยามเฉิน[1] ในทะเลเมฆมีแต่เหล่าเทพเจ้าผ่านไปมาไม่ขาดสาย สาดประกายแสงวิบวับจนแสบตา

 

 

เสวียนอี่ยกแขนเสื้อขึ้นมาป้องสายตาจากประกายแสงเหล่านั้น ผู้อยู่ในตระกูลจู๋อินแห่งเขาจงซานไม่ชอบของที่เป็นประกายมากเกินไป เหล่าเทพที่ชอบสะบัดผ้าให้ระยิบระยับเหล่านั้นคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าคนอื่นหรือไร ระยิบระยับขนาดนั้น ไปเป็นพระอาทิตย์ดีแล้ว ยังดีที่ผลกระทบจากการที่โฮ่วอี้[2]ยิงดวงตะวันยังมาไม่ถึง จักรพรรดิสวรรค์จะต้องดีใจที่เหล่าทวยเทพรับผิดชอบหน้าที่

 

 

จู่ๆ ก็มีเสียงขึ้นมาจากด้านหลัง เป็นเสียงคำรามต่ำๆ ของราชสีห์ นางหันหน้าไปดู พบเทพฝูชางจูงราชสีห์เก้าเศียร ค่อยๆ ก้าวเข้ามา

 

 

หยาดฝนปรอยถูกแหวกออกเหนือศีรษะของเขาสามชุ่น[3]อย่างเงียบงัน ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ราวกับว่าเขาเดินอยู่ในเมฆหมอกจางๆ อาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ ก้าวเข้ามาอย่างสะอาดและมั่นคง รูปร่างของเขาดูสง่างามกว่าเทพบุตรอื่นยิ่งนัก

 

 

เหมือนว่าเขาจะเห็นนางยืนอยู่หน้าตำหนัก ฝูชางไม่หันมามองสักนิด เดินไปหยุดที่ข้างประตูตำหนัก เอนตัวพิงราชสีห์เก้าเศียร หลับตาทำสมาธิเงียบๆ

 

 

เสวียนอี่นึกขึ้นได้ว่าฉีหนานออกปากเตือนด้วยเจตนาดีก่อนจากไป เขามักจะเป็นกังวลในเรื่องพวกนี้ กลัวนางจะเสียชื่อเสียง กลัวนางจะไม่ลงรอยกับสหายร่วมสำนัก และยิ่งกลัวที่นางจะถูกสหายร่วมสำนักรังแกเพราะความหัวดื้อ

 

 

เรื่องที่ฉีหนานกังวลที่สุดคือเรื่องนางตลอดมา และมีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถจุกจิกจู้จี้กับนางได้

 

 

นางรู้สึกว่าตัวเองไม่อาจทำให้ฉีหนานต้องคอยกังวลได้อีกแล้ว อืม…นางตัดสินใจทำตัวเป็นมิตรสักหน่อย ฉวยจังหวะที่บรรยากาศยังไม่เลวร้ายนัก

 

 

“คารวะศิษย์พี่ฝูชางเจ้าค่ะ” เสวียนอี่ทำความเคารพเทพบุตรหนุ่มตรงหน้าอย่างสง่างาม ตอนนี้พวกเขาเป็นสหายสำนักเดียวกัน จึงต้องเรียกเขาว่า ศิษย์พี่

 

 

คนตรงหน้ากลับเงียบกริบ

 

 

ฝูชางทำเหมือนไม่ได้ยิน แม้คิ้วก็ไม่กระดิกสักนิด

 

 

“ศิษย์พี่ฝูชาง? ” นางเรียกเสียงดังขึ้นเล็กน้อย

 

 

เขายังคงไม่ขยับตัว ราวกับไม่เห็นการมีตัวตนของนาง

 

 

เสวียนอี่กะพริบตา “ศิษย์พี่ฝูชาง ขอโทษทีเถอะ ท่านหูหนวกหรือ”

 

 

ขนตายาวเป็นแพของเขาสั่นไหวเล็กน้อย แล้วเปิดขึ้น ดวงตางดงามเยือกเย็นไม่มองนางแม้แต่นิดเดียว ปากบางเฉียบเผยอขึ้น เสียงอันทรงเสน่ห์แฝงไปด้วยความเกลียดชัง เปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำยิ่ง “ออกไป”

 

 

ออกไป? เสวียนอี่ยิ้มบาง กลับเดินตรงเข้าไปอีกก้าว ราชสีห์เก้าเศียรที่อยู่ข้างหลังเขาส่งเสียงคำรามทันที ดวงตาทั้งเก้าคู่จ้องมายังนาง เหมือนกับพร้อมจะเข้ามาขย้ำหัวนางเมื่อไหร่ก็ได้

 

 

นางชำเลืองมองมันแวบหนึ่ง จู่ๆ ราชสีห์ที่พร้อมจะเข้ามาขบหัวนางก็เชื่องทันที เอาหัวซุกไว้ที่ข้างหลังฝูชาง ส่งเสียงครวญครางออกมาฟังดูแล้วคล้ายเสียงแมว

 

 

เสวียนอี่ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ สายตาเยือกเย็นของเทพผู้หยิ่งยโสที่ไม่ได้เพ่งมองอยู่กับภาพตรงหน้าหันมาทันที มองนางอย่างไม่เป็นมิตร

 

 

“สายเลือดเทพมังกรแห่งเขาจงซานล้วนเป็นแบบเจ้ารึไง” เขาเอ่ยปากถามเสียงเนิบช้า

 

 

เสวียนอี่มองเขาอย่างขบขันก่อนตอบ “แน่นอนว่าไม่ ข้าคือคนที่พูดได้เก่งที่สุด”

 

 

อย่างไม่คาดคิด ใบหน้าอันเยือกเย็นของฝูชางปรากฏรอยยิ้มซึ่งเหมือนกับสายตาเขา ไม่มีความเป็นมิตรแม้แต่น้อย

 

 

“วันนั้นที่เจ้าเลือกจากไปอย่างรวดเร็ว เป็นตัวเลือกที่ดียิ่ง” เขาปรับอารมณ์เป็นปรกติ ไม่เงียบขรึมอีกต่อไป “ในเมื่อเจ้าอยู่ ก็อย่ามาเสียใจภายหลังแล้วกัน”

 

 

นางยกแขนเสื้อขึ้นปิดปาก พูดเบาๆ “ศิษย์พี่พูดจาประหลาดนัก เทพบุตรตระกูลหวาซวีถูกบังคับให้เป็นศิษย์ร่วมสำนักกับข้าหรือ ถึงได้พูดจาเชือดเฉือนนัก”

 

 

สายตาของฝูชางเบือนจากหน้านาง พูดเสียงเย็นชา “ตระกูลหวาซวีมีแค้นต้องชำระ องค์หญิงจงจำไว้”

 

 

นางก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ประตูตำหนักเปิดออกมาอย่างเงียบเชียบ เทพบุตรน้อยเฝ้าประตูกำลังเบิกตากลมโตมองเขาทั้งสองด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

 

“น้ำใจของคนตระกูลจู๋อินกลับมีมากมายนัก ศิษย์พี่ เรานี่มันคู่สร้างคู่สมกันจริงๆ “

 

 

เสวียนอี่ยักคิ้วให้เขาทีหนึ่ง ก่อนจะก้าวข้ามประตูเข้าไปในตำหนัก

 

 

อาจเพราะมาเช้าเกินไป เทพบุตรน้อยหายเข้าไปบอกคนข้างในพักใหญ่จึงเดินออกมา พูดอย่างเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “เทพฝูชาง องค์หญิงเสวียนอี่ มหาเทพเพิ่งตื่น ยังไม่ได้อาบน้ำอาบท่า เกรงว่าจะให้ทั้งสองท่านรอนาน ขอให้ข้าน้อยพาทั้งสองท่านไปยังลานฝึกศิษย์ขอรับ”

 

 

นอนจนถึงยามเฉินแล้วยังไม่ลุก มหาเทพคนนี้ขี้เซาจริงๆ

 

 

เสวียนอี่กำลังเตรียมจะเดินตาม ทันใดนั้นก็พบว่าเบื้องหน้ามีกลุ่มเทพเจ้าเดินพูดไปพลางหัวเราะไปพลางเดินเข้ามาในตำหนัก ประกายจากเสื้อผ้าสว่างไสวในห้องอันมืดมิดของตำหนักหมิงซิ่ง ดวงตาของนางเริ่มปวดอีกแล้ว ทำได้เพียงใช้แขนเสื้อป้องสายตา

 

 

เทพบุตรน้อยที่นำทางเห็นกิริยาของนาง อดไม่ได้ที่จะเตือน “องค์หญิง ทำเช่นนี้ไม่สุภาพ…”

 

 

ยังพูดไม่จบ เสียงของเทพีจื่อซีก็ดังมาจากด้านหลัง “องค์หญิงเสวียนอี่ นับจากวันนี้เราเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน พอพบพวกเราองค์หญิงกลับเอาแขนเสื้อบังหน้า นี่หมายความว่าอย่างไร”

 

 

เสวียนอี่ปล่อยแขนเสื้อลง ทำความเคารพอย่างงดงาม พูดเสียงอ่อน “ศิษย์พี่ล้วนเปี่ยมด้วยพลังเทพ มีประกายสว่างสุกใส ทำให้ข้าไม่กล้ามองตรงๆ หวังว่าศิษย์พี่ทั้งหลายโปรดให้อภัย”

 

 

ครั้นช้อนตามองขึ้น สบกับสายตาอันไม่เป็นมิตรนักของเทพีจื่อซีพอดี ตายแล้ว ทำไมนางถึงได้น่ารังเกียจมากขนาดนี้

 

 

เสวียนอี่ครุ่นคิด จู่ๆ ก็โค้งตัวลงคำนับ “คารวะศิษย์พี่หญิงสยงเจ้าค่ะ”

 

 

สีหน้าของเทพีจื่อซีเปลี่ยนทันที “เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”

 

 

เสวียนอี่สีหน้าฉายแววสำนึกผิดอย่างเปี่ยมล้น “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้ายังจำชื่อศิษย์พี่หญิงไม่ได้”

 

 

เทพบุตรน้อยที่นำทางมารีบแนะนำเบาๆ “องค์หญิง นี่คือศิษย์พี่หญิงรองของท่าน เทพีจื่อซี นางเป็นสายเลือดตระกูลสยง”

 

 

“มีตระกูลสยง ถูกละ” เสวียนอี่คลี่ยิ้มน้อยๆ แสดงความขอโทษไปให้จื่อซีซึ่งตอนนี้หน้างอง้ำลง “นามของศิษย์พี่จื่อซีช่างไพเราะจริงๆ ความหมายสมตัวนัก”

 

 

จื่อซีกลับหมุนตัวกลับ ทำราวกับว่าไม่ได้ยิน

 

 

เสวียนอี่เริ่มไม่สนใจนาง กวาดสายตาไปรอบๆ มองไปยังเหล่าเทพในตำหนักแต่ละคน

 

 

นับอย่างละเอียด หากไม่นับนางและฝูชาง ภายในนี้รวมทั้งหมดมีศิษย์สี่ท่าน ไท่เหยากับจื่อซีนั้นเคยพบมาก่อน เหลือชายหนึ่งและหญิงอีกหนึ่งเท่านั้นที่ไม่คุ้นตา ที่สำคัญคือ สองคนนั้นดูเหมือนว่าเคยรู้จักกับฝูชาง ส่งยิ้มให้กันทางสายตา แลดูสนิทสนมยิ่งนัก

 

 

เสวียนอี่ก้มหัวลง ถามเทพบุตรน้อยนำทางเบาๆ “ผู้ที่สวมชุดสีครามซึ่งกำลังคุยกับเทพฝูชางนั้นเป็นใคร”

 

 

เทพบุตรน้อยนำทางแนะนำให้นางอย่างใจดีทันที “นั่นคือศิษย์พี่หกขององค์หญิง เทพกู่ถิง เขาเป็นบุตรชายคนที่สามของราชาบุปผา ได้ยินมาว่าเทพฝูชางคุ้นเคยกับเขามาตั้งแต่ยังเด็ก หลายปีมานี้เขามักพูดกับมหาเทพเสมอว่าจะเอาเทพฝูชางมาเข้าสำนักให้ได้! “

 

 

เป็นบุตรชายคนที่สามของราชาบุปผานี่เอง คราวที่นางกับฝูชางพบกันครั้งแรกที่อุทยานหลวงของราชาบุปผา เสี่ยงเด็ดดอกโบตั๋นเริงระบำมา เพราะเรื่องนี้ทำให้ราชาบุปผาตามมาเอาโทษถึงเขาจงซาน ดีที่ภายหลังได้ฉีหนานมาไกล่เกลี่ยให้

 

 

มิน่าเล่าฝูชางจึงข่มขู่นางอย่างมั่นอกมั่นใจขนาดนั้น ที่แท้เขาก็มีคนรู้จักอยู่ในนี้ แล้วยังมีศัตรูอยู่ร่วมกันด้วย

 

 

“แล้วเทพธิดากระโปรงสีดำคนนั้นเป็นใคร”

 

 

สายตาของเสวียนอี่เพ่งมองที่ร่างเทพธิดากระโปรงสีดำยืนอยู่ข้างเทพกู่ถิง นางรูปร่างสูงเพรียวระหง สวมชุดกระโปรงแบบเรียบๆ สีดำเพียงตัวเดียว ยิ่งขับให้ผิวขาวราวหิมะเด่นชัด ท่าทางสูงส่งสง่างาม เห็นได้ชัดว่าสวยเหนือกว่าเทพีจื่อซีขั้นหนึ่ง แต่ว่ามองดูแล้วทั้งสองค่อนข้างถูกชะตากัน ไม่เหมือนยามจื่อซีมองตน ราวดาบเล่มยาวทิ่มแทงมิปาน

 

 

“นั่นคือศิษย์พี่หญิงเก้าของท่าน ธิดาของพญางูแห่งเขาถูเซียง องค์หญิงฟูหลัว” เทพบุตรนำทางยิ้มอย่างอบอุ่น “นางกับเทพกู่ถิงเพิ่งหมั้นกัน แล้วยังถูกรับเป็นศิษย์ร่วมสำนักกันอีก ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีนัก! “

 

 

พอมองเห็นเสวียนอี่ไม่หยุดพูดพึมพำ แล้วยังมองมาทางนี้เป็นระยะ สุดท้ายศิษย์พี่ใหญ่ไท่เหยาจึงแสดงความเป็นศิษย์พี่ออกมา ก้าวขึ้นมาพลางยิ้ม “ศิษย์น้องหญิง เหตุใดไม่มาทำความรู้จักกับศิษย์พี่คนอื่นๆ เล่า”

 

 

 

 

[1]ยามเฉิน ช่วงเวลาตั้งแต่ 07.00 น. – 09.00 น.

 

 

[2]โฮ่วอี้ เป็นนักยิงธนูในเทพปกรณัมจีน ได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิงธนูดับดวงอาทิตย์ โดยธนูเพียงดอกเดียวทำให้ดวงอาทิตย์ตกลงมาถึง 9 ดวง

 

 

[3]ชุ่น หน่วยวัดความยาวของจีน เทียบเท่านิ้วในระบบเมตริก