บทที่ 9 ภายในตำหนักถงจิ่ง

บุหลันเคียงรัก

เสวียนอี่ยิ้มรับ พูดเสียงอ่อนหวาน “ข้าเห็นว่าศิษย์พี่กำลังสนทนากันอยู่ จึงไม่อยากขัดจังหวะ ศิษย์พี่กู่ถิง ศิษย์พี่หญิงฟูหลัว ข้าขอคำนับ”

 

 

เทพเจ้าทั้งสองท่านนี้ที่แท้เป็นพวกฝูชางนี่เอง ทั้งสองพยักหน้าอย่างเสียมิได้ ไม่มองนางแม้แต่นิดเดียว

 

 

ไท่เหยายิ้มบางๆ “ที่แท้เจ้าก็รู้จักหรือ ข้ากำลังเตรียมจะแนะนำอยู่พอดี”

 

 

เสวียนอี่ตอบกลับ “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นศิษย์ของอาจารย์สำนักนี้ เป็นธรรมดาที่ต้องทำความเข้าใจประวัติของเหล่าศิษย์พี่ทั้งหลายบ้าง อันที่จริงเราก็ล้วนเป็นศิษย์ร่วมสำนักกัน ต้องจริงใจต่อกันสิถึงจะถูก”

 

 

“คำพูดขององค์หญิงนี้ กู่ถิงไม่อาจเห็นด้วยได้”

 

 

จู่ๆ เทพกู่ถิงก็ปรับอารมณ์ทันใด หันตัวกลับมา ร่างเขาสูงปานกลาง ชุดคลุมสีครามสะอาดและภูมิฐาน ไม่เหมือนกับในยามที่เขาแต่งตัวลำลอง ผมยาวของเขาถูกรวบขึ้นมัดเรียบจนไม่กระดิกสักเส้น เหมือนมีความเฉยชาอยู่เล็กน้อย แต่ยังคงยืนอย่างมั่นคงสง่างาม ท่าทางมีการศึกษาอย่างเห็นได้ชัด เป็นคนที่มีลักษณะทำให้ผู้ที่พบเห็นอยากเข้ามาสนิทชิดเชื้อ น่าเสียดายที่ใบหน้านั้นฉายแววรังเกียจเดียดฉันท์ แล้วยังมองเสวียนอี่อย่างเข้มงวด

 

 

“ข้า ตระกูลเหยาของราชาบุปผากับตระกูลจู๋อินไม่มีบุญคุณความแค้นใดต่อกัน แต่องค์หญิงโยนผ้าเช็ดหน้าโยนลงไปในบ่อเมฆก่อน จากนั้นก็พยายามไปเก็บดอกโบตั๋นเริงระบำ แล้วยังมายิ้มแบบนี้ได้ยังไม่ว่า แต่เหตุใดจึงพูดจาไม่ไว้หน้าฝูชาง อย่างแรกคำพูดหยาบคายนั้นใส่ร้ายผู้อื่น ไหนจะเรื่องวิวาทหน้าตำหนัก การกระทำไร้มารยาทเหยียดหยามผู้อื่นเช่นนี้ ไม่มีความสุภาพตามแบบเทพเจ้าสักนิด วันนี้เจ้ายังพูดเรื่องจริงใจต่อกัน ไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือไร”

 

 

เสวียนอี่สั่นศีรษะ “ไม่รู้สึก”

 

 

“บังอาจ! ” กู่ถิงขมวดคิ้วมุ่น “ถึงท่านอาจารย์จะรับเจ้าเป็นศิษย์แล้ว ข้ายังนึกว่าองค์หญิงตระกูลจู๋อินจะกลัวว่าเข้ากับตำหนักหมิงซิ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ องค์หญิงพูดถึงความจริงใจ ก็ไม่ควรใช้สีหน้าท่าทางแบบนี้กับศิษย์ร่วมสำนักกัน หากองค์หญิงยังดื้อรั้นแบบนี้ต่อไป อาจรักษาเกล็ดมังกรล้ำค่าชิ้นนั้นของมหาเทพจงซานไว้ไม่ได้อีกแล้วก็เป็นไร”

 

 

อ้อ หมายความว่าหากทุกคนไม่ชอบนาง นางอาจอยู่ได้แค่ไม่กี่วันสินะ

 

 

“ข้าช่วยเลือกที่พักให้เจ้าแล้ว” กู่ถิงหันตัวกลับนำฝูชางเดินออกไป “เป็นที่ที่เงียบสงบสวยงามแห่งหนึ่ง เจ้าจะต้องชอบแน่”

 

 

พอเขาเดินไป เหล่าทวยเทพภายในตำหนักก็เดินตามทันที มีเพียงไท่เหยาที่ถามอย่างอบอุ่นว่า “ศิษย์น้องจะไปด้วยกันหรือไม่”

 

 

เสวียนอี่ยิ้มพลางตอบ “เชิญศิษย์พี่ทั้งหลายเดินไปก่อนเถิด เสวียนอี่จะคอยตามอยู่ข้างหลังเจ้าค่ะ”

 

 

ได้ยินมาว่ามหาเทพไป๋เจ๋อเชื่อในเรื่องกำเนิดสรรพสิ่งทั้งสามขั้นในคัมภีร์เต้าเต๋อจิง จึงตั้งใจจัดให้ตำหนักหมื่นเทพมีจำนวนเทพเจ้าทั้งหมดสามหมื่นสามพันสามร้อยสามสิบสามองค์ เพื่อให้พอดีกับเลขสามนั้น

 

 

ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้น คือ ภายในสามหมื่นกว่าตำหนักนี้ แต่ละตำหนักเล็กยังมีสิ่งก่อสร้างที่แฝงความเป็นสามอยู่ด้วย เช่น ตำหนักหมิงซิ่งของมหาเทพไป๋เจ๋อ ก็มีเรือนสามร้อยเรือน เนื่องจากมีห้องหับเยอะแบบนี้ทำให้เหล่าศิษย์สามารถเลือกที่อยู่ตามใจชอบได้

 

 

เสวียนอี่เดินตามเทพบุตรน้อยนำทางผ่านลานบ้านสวยงามไม่ต่ำกว่าสิบลาน พอเห็นว่าเทพบุตรนำทางไม่มีทีท่าว่าจะหยุด นางจึงเอ่ยปากขึ้น “เทพบุตรน้อย ไม่ใช่ว่าลูกศิษย์สามารถเลือกที่พำนักเองได้หรอกหรือ”

 

 

เทพบุตรนำทางมีท่าทีลำบากใจ “องค์หญิง วันก่อนท่านมหาเทพได้มอบหน้าที่นั้นให้ข้าเป็นพิเศษ ที่พำนักขององค์หญิงท่านมหาเทพเป็นผู้กำหนดให้ คิดว่าท่านมหาเทพได้จัดการไว้แล้วขอรับ”

 

 

มีแค่นางรึ

 

 

เสวียนอี่ไม่พูดอะไรอีก เดินตามหลังเทพบุตรน้อยเงียบๆ ไปตามถนนหินที่มีดอกจื่อหยาง[1]บานสะพรั่งเป็นแถวเป็นแนว

 

 

ทันใดนั้นเทพบุตรนำทางก็หยุดรอ “ที่พำนักขององค์หญิงอยู่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือ เรียกว่าตำหนักถงจิ่ง เป็นที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง อยู่ไปนานๆ แล้วองค์หญิงจะชอบขอรับ”

 

 

ตำหนักถงจิ่ง เป็นชื่อในอดีตของตระกูลที่ดับสูญตระกูลหนึ่งแห่งเขาถงชาน มหาเทพไป๋เจ๋อจงใจใช่หรือไม่ ดวงตาคู่ของเสวียนอี่หรี่ลงน้อยๆ

 

 

เทพบุตรน้อยนำทางไม่สนใจนาง ยังคงพูดต่อไปอย่างตื่นเต้น “ในอดีตเทพีวั่งซูตอนที่ถูกรับเป็นศิษย์อยากอยู่ที่นี่มาโดยตลอด เพราะเงียบสงบเป็นพิเศษ แต่ท่านมหาเทพกลับไม่ยอมให้นางมาพำนักที่นี่”

 

 

ดีแล้ว อาจเป็นที่ที่ดีก็ได้ ตำหนักถงจิ่งฟังดูแล้วเป็นชื่อที่น่าประทับใจชื่อหนึ่ง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ควรมี ‘ตำหนัก’ จริงๆ สักที่ แล้วก็มีสวนดอกไม้ สระน้ำกับป่าต้นถงด้วยถึงจะถูก

 

 

ดังนั้น พอหลังจากเทพบุตรนำทางผลักประตูเปิดออกแล้ว เสวียนอี่จึงตะลึงงันไปกับภาพตรงหน้า

 

 

นี่เป็น…ห้องเท่ารูหนูที่เล็กจนไม่รู้จะเล็กอย่างไร ห้องกลางเก่ากลางใหม่สองห้อง บนพื้นเต็มไปด้วยหญ้าแห้งจนเหลือง ด้านตะวันออกปลูกต้นถงเรียงชิดกัน ด้านตะวันตกมีแปลงดอกไม้ป่าแห้งเ**่ยวอยู่สองสามแปลง ที่บ้านนางแม้เทพชนชั้นต่ำสุดก็ไม่ได้พำนักอยู่ในที่แบบนี้

 

 

เทพีวั่งซูอยากอยู่ที่นี่ โกหกรึเปล่า

 

 

เทพบุตรนำทางเห็นนางเปิดประตูแล้วนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา รีบซอยขาถี่ๆ วิ่งตามมา แนะนำอย่างอารมณ์ดี “องค์หญิง นี่คือห้องหนังสือ ห้องนอนคือห้องที่อยู่ห่างออกไป ส่วนเรื่องอาหารข้าจะเป็นผู้นำมาส่งทุกวันองค์หญิงไม่ต้องกังวล ทุกวันตอนเช้าท่านมหาเทพจะเริ่มสอนที่ตำหนักเหอเต๋อนั้น พอเที่ยงจึงจบ ให้องค์หญิงเดินตามแนวต้นจื่อหยางโดยตลอด ครู่เดียวก็พบ หากองค์หญิงรู้สึกอยากเดินเล่น หากท่านมหาเทพไม่เข้าสอนองค์หญิงสามารถเดินเข้าออกตำหนักหมิงซิ่งได้ตามสบาย แล้วยังสามารถไปที่สวนดอกไม้ทิศใต้ได้เช่นกัน เหล่าลูกศิษย์ของท่านมหาเทพชอบไปนั่งพักผ่อนสนทนากันที่นั่น องค์หญิงจะต้องชอบมันแน่…”

 

 

ยังพูดไม่จบ ก็พบว่าเสวียนอี่กำลังลูบโต๊ะเก้าอี้ที่ค่อนข้างเก่าพวกนั้น แล้วไปสัมผัสหน้าต่างวงเดือนที่ทำอย่างง่ายๆ หยาบๆ ก่อนจะเดินมาดูชั้นหนังสือที่วางหนังสืออยู่เพียงไม่กี่เล่ม ขอบตาของนางค่อยๆ แดงเรื่อขึ้นมา

 

 

เทพบุตรนำทางตกใจทันที พูดอย่างร้อนรน “องค์หญิง นี่ท่านคิดถึงบ้านหรือ ที่นี่…หากอยู่นานเข้าจนชินท่านจะต้องชอบแน่…”

 

 

เสวียนอี่น้ำตาคลอมองเขา “…มีอะไรกินบ้างหรือไม่ ข้าอยากได้ชาตากแห้งใหม่ๆ จากกุยหยวน ใบชาต้องยาวขนาดหนึ่งชุ่น[1] แล้วก็ต้องการโมราเคลือบน้ำตาล เอาแบบไส้ภายในไม่ใส่เปลือกมัน”

 

 

…ที่แท้ก็หิวนี่เอง! ยังเรื่องมากอีก!

 

 

เทพบุตรนำทางใจดีรีบไปนำอาหารมาให้องค์หญิงตระกูลจู๋อินผู้สูงส่งทันที ไม่ง่ายเลยที่จะหาของถูกปากที่นางต้องการ พอกลับมาถึงที่พำนัก รอบนี้ทำให้เขาตะลึงงัน

 

 

ลานที่พำนักอันเก่าแก่พื้นถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ร่างอันงดงามขององค์หญิงตระกูลจู๋อินสร้างตำหนักน้ำแข็งอันน่าประทับใจสองหลัง แล้วกำลังนั่งบนเก้าอี้น้ำแข็งอย่างมั่นคง ใช้หิมะขาวปั้นเป็นดอกไม้ดอกหนึ่ง

 

 

เห็นเทพบุตรน้อยมีสีหน้าตกใจ นางจึงยิ้มบางๆ นำดอกไม้หิมะที่ปั้นขึ้นใส่ลงไปในกระเป๋าที่หน้าอกเขา “ขอบใจนะ อันนี้ให้เจ้าไปเล่น”

 

 

องค์หญิงถอนใจ ลมหายใจหอมราวดอกกล้วยไม้

 

 

เทพบุตรน้อยท่าทางสับสน “องค์หญิง…ท่านทำแบบนี้…ท่านทำแบบนี้ไม่ได้…”

 

 

นางจะเข้ามาครอบครองหนึ่งในสามร้อยห้องของตำหนักหมิงซิ่ง แล้วเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไม่ได้!

 

 

เสวียนอี่ไม่รู้สึกรู้สา “ข้าเพิ่มหิมะเข้าไปนิดหน่อยไม่ได้หรือ”

 

 

นี่เรียกว่าเพิ่มหิมะ ‘นิดหน่อย’ หรือ!

 

 

“หากท่านมหาเทพเห็นเข้า อาจลงโทษองค์หญิงได้” เทพบุตรน้อยเอามหาเทพไป๋เจ๋อมาขู่นาง

 

 

“รออาจารย์มาลงโทษก่อนแล้วกัน แล้วข้าค่อยเปลี่ยนกลับ”

 

 

เสวียนอี่รินชาอย่างสำราญใจ ค่อยๆ จิบอึกหนึ่ง ชาดีจริงๆ ที่แท้เป็นชาสดใหม่จากกุยหยวนขนาดหนึ่งชุ่นนี่เอง แล้วจึงมากัดโมราเคลือบน้ำตาลคำหนึ่ง ทั้งหอมทั้งนุ่ม แล้วยังเป็นโมราเคลือบน้ำตาลแท้ไม่มีเปลือกมันอีกด้วย

 

 

ชาหนึ่งอึก ขนมหนึ่งคำ แล้วมองไปยังรอบห้องอีกครั้ง โลกน้ำแข็งอันสดใส จู่ๆ เสวียนอี่ก็รู้สึกขึ้นมาว่าการมากราบอาจารย์เป็นศิษย์นั้นเป็นเรื่องน่าสนุกอย่างยิ่ง

 

 

“เออใช่ ข้าไม่ชอบชื่อตำหนักถงจิ่ง” เหมือนนางจะคิดอะไรออก มองป้ายที่แขวนอยู่หน้าตำหนักน้ำแข็งนั้น “ข้าเปลี่ยนชื่อสักหน่อย ตั้งแต่วันนี้ไปเรือนแห่งนี้ชื่อว่าตำหนักน้ำแข็งแล้วกัน”

 

 

เทพบุตรน้อยย่ำเท้าไปมาอย่างร้อนรน คิดไม่ออกว่าจะขัดอย่างไร จู่ๆ ก็รู้สึกว่าพื้นน้ำแข็งนั้นสั่นสะเทือนรุนแรงจนเกือบทำให้เขาล้ม พอไล่ตามไปเรื่อยๆ กลับพบแสงสว่างดวงหนึ่งแหวกชั้นน้ำแข็งนั้นขึ้นมาเอง จนทำให้แผ่นน้ำแข็งหนานั้นเป็นรูขนาดใหญ่

 

 

หลังจากแสงนั้นพุ่งขึ้นสูง ก็ค่อยๆ ตกลงมายังพื้นน้ำแข็ง แปรเปลี่ยนเป็นเงาคนเงาหนึ่ง เสียงแผ่วเบาดังขึ้น เป็นเสียงของชายแปลกหน้าคนนั้น “ใครทำให้ที่นี่มีแต่น้ำแข็ง ทำให้ข้าขัดใจนัก”

 

 

น้ำเสียงนั้นน่าฟังที่สุด ทั้งอ่อนเบานุ่มนวล ราวกับเหล้าหมักจากถั่วแดงและดอกกุ้ยทั้งหวานทั้งหอม มีฤทธิ์มอมเมาท่ามกลางคืนหนาวในฤดูเหมันต์

 

 

พูดจบ เทพบุตรที่เกิดจากแสงสว่างนั้นก็หันกลับมา มองไปรอบโลกแห่งน้ำแข็งนั้นด้วยความทึ่ง

 

 

 

 

 

 

[1]ดอกจื่อหยาง คือ ดอกไฮเดรนเยีย