บทที่ 10 เซ่าอี๋แห่งตระกูลชิงหยาง

บุหลันเคียงรัก

เทพบุตรน้อยไม่กล้าส่งเสียงตอบรับ ทำได้เพียงส่งสายตาให้กำลังใจไปยังเสวียนอี่ ปากยื่นจนแทบจะแขวนขวดน้ำมันได้อยู่แล้ว

 

 

เสวียนอี่ตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าเอง”

 

 

เทพบุตรแปลกหน้าหันมามองนาง เขามีรูปร่างสูง สวมชุดตัวยาวสีม่วงเข้ม ชุดนั้นปักเป็นลายนกนางแอ่นสีทองเต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่าหรูหรามีราคามาก แม้ว่าจะดูมีลวดลายมากเกินไป ทว่าเมื่ออยู่บนร่างเขา กลับเหมาะสมและดูดีที่สุด จนยากจะหาข้อตำหนิได้

 

 

เสวียนอี่จ้องมองไข่มุกสีแดงเพลิงที่ห้อยประดับบนหน้าผากเขาอยู่นาน สีของมุกนั้นแวววาวเป็นประกาย สะดุดตาคนมาก ประกายแสงแวววาวของมุกนั้นไม่สามารถบดบังรูปโฉมของชายหนุ่ม นอกจากนี้ยังช่วยขับเน้นให้ดูรูปงามขึ้นอีกด้วย นอกจากชิงเยี่ยนแล้ว นางเพิ่งจะพบเทพบุตรที่สามารถเรียกว่า “งาม” ได้เป็นครั้งแรก

 

 

“ทำไม”

 

 

ทุกอณูน้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความอบอุ่นเป็นกันเอง ตาดำสนิทนั้นราวกับว่ามีรอยยิ้มสดใสอย่างเป็นธรรมชาติแฝงอยู่ ทำให้คนอื่นอดไม่ได้ที่จะเข้าไปสนิทสนม

 

 

เสวียนอี่ดื่มชาสดใหม่กุยหยวนอึกหนึ่งแล้วพูดช้าๆ “เพราะต่อไปข้าต้องอาศัยอยู่ที่นี่”

 

 

เมื่อเขาเห็นชากับของว่างบนโต๊ะน้ำแข็ง ก็ปรี่เข้ามาทันที

 

 

“ชาสดจากกุยหยวน กับโมราเคลือบน้ำตาล” เสียงของชายหนุ่มฟังดูเหมือนต่อว่าอย่างจริงจัง ทำให้นางนึกสนุกขึ้นมา

 

 

เสวียนอี่กระดิกนิ้วหนึ่งที เก้าอี้น้ำแข็งลวดลายประณีตตัวหนึ่งตกลงมาอยู่ฝั่งตรงข้าม นางเชื้อเชิญอย่างเกรงอกเกรงใจ “ต้องการชิมหรือไม่”

 

 

เขานั่งลงตามคำเชิญนั้น ค่อยๆ ยกถ้วยชาน้ำแข็งขึ้นอย่างสง่างาม

 

 

“ชาสดจากกุยหยวนหากกินเปล่าๆ แล้วรสจะขม ส่วนโมราเคลือบน้ำตาลหากกินเปล่าๆ จะหวานเกินไป เมื่อนำทั้งสองอย่างมากินคู่กันแล้ว จึงจะเป็นรสชาติที่ดีที่สุด เจ้าช่างเข้าใจเรื่องการเสพสุขนัก”

 

 

เขาชมไม่หยุดปาก

 

 

เสวียนอี่ยิ้มตาหยีมองชายหนุ่ม เขาก็ยิ้มตาหยีมองนางเช่นกัน ทั้งสองกินไปพลางยิ้มพลาง ภาพนั้นไม่ว่าดูอย่างไรก็แลดูสดใสอย่างน่าประหลาด

 

 

สุดท้ายเทพบุตรน้อยที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นเบาๆ “องค์หญิง ท่านนี้คือ เทพเซ่าอี๋ หงส์ฟ้าเก้าสวรรค์ตระกูลชิงหยาง เป็นศิษย์พี่สิบสองของท่าน ส่วนนี่คือศิษย์ใหม่ที่ท่านมหาเทพเพิ่งรับเข้าสำนัก เทพมังกรเขาหลงชาน ตระกูลจู๋อิน…”

 

 

“องค์หญิงเสวียนอี่ ตระกูลจู๋อิน ปีนี้อายุครบเก้าพันเก้าร้อยปี” เทพเซ่าอี๋หัวเราะน้อยๆ พลางขัดขึ้น “ข้ารู้”

 

 

เสวียนอี่พูดอย่างประหลาดใจ “ศิษย์พี่เซ่าอี๋รู้แม้กระทั่งอายุข้าด้วย”

 

 

รอยยิ้มของเซ่าอี๋ยิ่งดูสนิทสนมขึ้น “แน่นอน องค์หญิงปลาดุกอุยนั้นมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือยิ่งนัก”

 

 

เรื่ององค์หญิงปลาดุกอุยนี่มันอะไรกัน! เทพบุตรน้อยว้าวุ่นขึ้นมา เทพเซ่าอี๋จะมาล้อเล่นกับองค์หญิงแบบนี้ได้อย่างไร! นางเป็นองค์หญิงตระกูลจู๋อินที่น่ากลัวคนนั้นเชียวนะ!

 

 

คาดไม่ถึงว่าองค์หญิงไม่โกรธแม้แต่น้อย กลับมองเทพบุตรช่างอี๋อย่างสนอกสนใจ “ที่แท้ข้ามีชื่อเสียงแบบนี้นี่เอง เอ้อ แล้วศิษย์พี่เซ่าอี๋มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรหรือเจ้าคะ”

 

 

เทพเซ่าอี๋ใช้แขนเสื้อบังปากตัวเองด้วยท่วงท่าสง่างามก่อนพ่นลมหายใจออกมาก เสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความเกียจคร้าน “ตำหนักถงจิ่งสงบที่สุด ใกล้กับหอนาฬิกาด้วย หลังจากเสียงระฆังหมดเวลาเรียนดัง ข้ามักหลบมานอนพักที่นี่”

 

 

อ้อ แบบนี้นี่เอง เสวียนอี่พยักหน้าอย่างเข้าใจ ยกถ้วยน้ำชาให้ชายหนุ่ม “เชิญ ศิษย์พี่เซ่าอี๋”

 

 

เทพบุตรน้อยมองทั้งสองร่วมวงสนทนาหยอกล้อกันด้วยความจนใจ ต่อไปนี้หากใครพูดว่าตระกูลชิงหยางกับตระกูลจู๋อินมีความสัมพันธ์ไม่ดีต่อกัน เขาจะเถียงหัวชนฝาเลย!

 

 

คล้ายกับว่าในที่สุดนางก็สังเกตเห็นว่าเทพบุตรน้อยนำทางยังคงอยู่ตรงนั้น เสวียนอี่ถามอย่างแปลกใจ “เทพบุตรน้อยยังอยู่อีกหรือ ข้าไม่เป็นไรแล้ว มีอะไรเจ้าก็ไปทำเถอะ”

 

 

เทพบุตรน้อยมองไปยังรอบห้องน้ำแข็งนั้น เอ่ยปากขึ้นอย่างยากลำบาก “นี่…ตำหนักถงจิ่ง…องค์หญิง…”

 

 

นางทำให้ตำหนักถงจิ่งกลายสภาพเป็นเช่นนี้ แล้วเขาจะไปบอกมหาเทพไป๋เจ๋อว่าอย่างไร?!

 

 

เสวียนอี่เตือนเขาด้วยความหวังดี “ที่นี่ไม่ใช่ตำหนักถงจิ่งแล้ว ต่อไปนี้เรียกที่นี่ว่าตำหนักน้ำแข็ง เจ้าไปเถอะ หากท่านอาจารย์ถามอะไร ข้ารับผิดชอบเอง ไม่ต้องมายืนอยู่ตรงนี้แล้ว”

 

 

เทพบุตรน้อยแอบน้ำตาไหลเงียบๆ สะอึกสะอื้นจากไป

 

 

เซ่าอี๋เห็นดอกไม้ในกระเป๋าเสื้อเล็กๆ ที่หน้าอกนั้น อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นยิ้มๆ “ดอกไม้นี้แปลกตานัก ไม่เคยเห็นที่ตำหนักถงจิ่งมาก่อน เจ้าไปเก็บมาจากไหน”

 

 

“ศิษย์พี่เซ่าอี๋ชอบไหมเจ้าคะ” เสวียนอี่วางถ้วยชาลง ค่อยๆ กอบกองหิมะขาว “ข้าทำให้ท่านสักดอกแล้วกัน ท่านชอบดอกไม้อะไร”

 

 

เซ่าอี๋กำลังจะตอบกลับ เผอิญว่าได้ยินเสียงพูดที่ทั้งเบาและเร็วของหญิงคนหนึ่งดังมาจากเบื้องหลัง “เซ่าอี๋? “

 

 

เสวียนอี่หันหน้าไปมอง จึงเห็นเทพธิดาในชุดสีเหลืองค่อยๆ ร่อนลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งราวกับผีเสื้อ ใบหน้าและดวงตากลม รูปโฉมสวยหวานยิ่งนัก นางมองไปรอบห้องพลางเดินเข้ามา สายตานั้นเพ่งมองมายังเสวียนอี่ ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว

 

 

เทพเซ่าอี๋เอ่ยคำทักทายอย่างเกียจคร้าน แล้วพูด “ปลาดุกอุยน้อย นี่ศิษย์พี่หญิงสิบของเจ้า ธิดาคนสุดท้องแห่งจักรพรรดิแดง องค์หญิงเหยียนสยาตระกูลเลี่ยซาน เสี่ยวหวั่นสยา[1] นี่คือองค์หญิงเสวียนอี่แห่งตระกูลจู๋อิน เป็นศิษย์น้องที่พึ่งมาใหม่วันนี้”

 

 

ปลาดุกอุยน้อย เสี่ยวหวั่นสยา…ดูแล้วเทพบุตรท่านนี้คงชอบตั้งฉายาน่ารักๆ ให้เทพธิดามาก

 

 

เสวียนอี่โค้งตัวคำนับ “คารวะศิษย์พี่เหยียนสยา”

 

 

องค์หญิงเหยียนสยาหันไปต่อว่าเซ่าอี๋เบาๆ “เจ้าเรียกศิษย์น้องแบบนี้ได้อย่างไร นางงามขนาดนี้ เหมือนปลาดุกอุยที่ไหนกัน”

 

 

พูดจบนางก็ก้าวเข้ามาโอบแขนเสวียนอี่อย่างสนิทสนม ส่งยิ้มให้ ข้างแก้มปรากฏลักยิ้มน่ารักสองข้าง “ศิษย์พี่หญิงจื่อซีกับศิษย์พี่หญิงฟูหลัวล้วนแต่เป็นคนงามที่หาได้ยาก ตอนนี้ยังมีศิษย์น้องที่งามเยี่ยงนี้อีก เมื่อมาพบคนงามแบบนี้ รูปโฉมของข้าดูท่าจะยิ่งจืดจางลงไปเสียแล้ว”

 

 

เสวียนอี่ยิ้มอย่างถ่อมตน “ศิษย์พี่หญิงเหยียนสยาชมกันเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

นางรีบปั้นหิมะในมือเป็นดอกเสาเย่า[2]สวยสดงดงาม ยิ้มพลางส่งให้องค์หญิงเหยียนสยาด้วยมือทั้งคู่ ครั้นเห็นความประหลาดใจในแววตาของเหยียนสยา จึงพูดเสียงอ่อนว่า “ดอกเสาเย่าอันงดงามนี้เหมาะกับรูปโฉมของศิษย์พี่นัก ข้าหวังว่าศิษย์พี่หญิงจะไม่รังเกียจเจ้าค่ะ”

 

 

คำพูดเป็นทางการนั้นทำให้แววตาองค์หญิงเหยียนสยาปรากฏรอยยินดี หัวเราะเบาๆ พลางรับดอกเสาเย่าหิมะมาประดับไว้ที่หน้าอก “ขอบใจศิษย์น้อง ฝีมือเจ้าดีจริงๆ! “

 

 

นางหันตัวกลับมามองเซ่าอี๋ พูดเร็วทว่าชัดเจน “ได้ยินมาว่าวันนี้มีศิษย์น้องมาใหม่ พวกศิษย์พี่ฟูหลัวล้วนรวมกันอยู่ที่ที่พักของศิษย์น้องฝูชาง สนุกสนานนัก ข้าว่าอีกครู่เจ้าคงตื่นแล้ว จึงมาตำหนักถงจิ่งเพื่อเรียกเจ้าไปด้วยกัน ใครจะไปรู้ว่าที่นี่เปลี่ยนเป็นแบบนี้แล้ว ทำข้าใจหายหมด”

 

 

เซ่าอี๋เอ่ยขึ้นอย่างเฉื่อยเนือย “ข้าไม่ชอบงานรื่นเริง เจ้าไปเถอะ”

 

 

องค์หญิงเหยียนสยาร้อนรนอยู่บ้าง “ศิษย์พี่ฟูหลัวให้ข้ามาเรียกเจ้า เจ้าไม่ไปหรือ”

 

 

ดวงตาดำสนิทของเซ่าอี๋มีรอยอบอุ่นปนหยอกล้อมองนางแวบหนึ่ง “นางอยากเรียกข้า ให้นางมาเอง หากนางไม่มา ทำไมข้าต้องไป ข้าอยู่นี่ดื่มชากับศิษย์น้องยังดีเสียกว่า”

 

 

สีหน้าขององค์หญิงเหยียนสยาแดงขึ้นทันที “เช่นนั้นข้ามาเรียกเจ้าไป เจ้าจะไปหรือไม่”

 

 

เซ่าอี๋ยิ้มบางๆ พลางใช้นิ้วชี้เขี่ยหน้ากลมๆ ของนาง “เจ้ามาเรียกข้าอยากให้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า แล้วยังเอาศิษย์พี่ฟูหลัวมาเป็นข้ออ้างอีก เด็กคนนี้นี่นะ”

 

 

องค์หญิงเหยียนสยาค้อนขวับใส่เขา “ที่ไหนกันล่ะ! เจ้ามัน…พอเถอะ! ไปเร็ว! “

 

 

นางลากแขนเสื้อเขาไปอย่างลืมตัว รอยยิ้มเซ่าอี๋หายไป “ช้าก่อน เสื้อข้าจะขาดเพราะเจ้าแล้ว ทำไมไม่ชวนศิษย์น้องด้วยเล่า”

 

 

องค์หญิงเหยียนสยา ชะงักไป รู้สึกละอายใจขึ้นมาอยู่บ้าง เมื่อครู่นางสนใจแต่เซ่าอี๋ ทำให้ลืมศิษย์น้องไป นางจึงรีบยิ้มแล้วพูดขึ้น “จริงด้วย ศิษย์น้องไปหรือไม่ ศิษย์พี่ทั้งหมดล้วนอยู่ที่นั่น น่าสนุกสนานออก เมื่อครู่ศิษย์พี่หญิงจื่อซีกับศิษย์พี่กู่ถิงยังเอ่ยถึงเจ้า บอกข้าว่าหากพบเจ้าก็ให้เรียกไปด้วยกัน! “

 

 

เสวียนอี่ยิ้มพลางส่ายหน้า “ขอบคุณศิษย์พี่หญิงที่ชวนข้า ข้ายังมีธุระ คงไม่ไปแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

 

 

 

 

[1]เสี่ยวหวั่นสยา (小晚霞) คำว่าเสี่ยว (小) เป็นคำเรียกผู้เยาว์หรือเด็กๆ มีนัยยะแสดงความเอ็นดู ส่วนหวั่นสยา (晚霞) แปลตรงตัวว่า แสงยามพระอาทิตย์ตกดิน เป็นการเล่นคำกับชื่อของเหยียนสยา (延霞)

 

 

[2]ดอกเสาเย่า (芍药) ดอกไม้ชนิดหนึ่งของจีน ลักษณะดอกคล้ายดอกโบตั๋น รากสามารถใช้เป็นยาสมุนไพร มีสรรพคุณระงับปวด ทำให้เลือดลมเดินสะดวก