บทที่ 11 หยิ่งยโสไร้มารยาท

บุหลันเคียงรัก

ความเงียบเข้าครอบคลุมตำหนักน้ำแข็งอีกครั้ง เสวียนอี่ค่อยๆ ดื่มชากุยหยวนในถ้วยจนหมด โกยหิมะขาวเข้ามากองหนึ่ง เริ่มปั้นมนุษย์หิมะง่ายๆ ขึ้นอีก

 

 

ตัวที่มีแถบผ้าผูกผมคือฝูชาง ตัวที่ดูเข้มงวดคือกู่ถิง ตัวที่สวมมงกุฎหยกคือไท่เหยา ตัวที่หน้าผากห้อยมุกคือเซ่าอี๋ ตัวที่รูปร่างเพรียวสมส่วนคือฟูหลัว ตัวที่ติ่งหูประดับดอกไม้แดงคือจื่อซี ตัวที่บนหน้ามีรอยลักยิ้มคือเหยียนสยา

 

 

วันแรก นางพบศิษย์ของมหาเทพไป๋เจ๋อรวมเจ็ดคน

 

 

เสวียนอี่ยกกู่ถิงมาไว้ข้างฟูหลัวอย่างชอบใจ คิดพักหนึ่ง แล้วเอาเซ่าอี๋มาไว้ข้างฟูหลัวอีกครั้ง ถัดมาเป็นเหยียนสยา เอานางมาวางไว้ข้างเซ่าอี๋ ฝูชางกับกู่ถิงอยู่ด้วยกัน ทั้งสองอยู่ใกล้กันนิดหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างจื่อซีกับกู่ถิงดูไม่เลวนัก วางนางเอาไว้ที่ข้างกู่ถิงก็ดีแล้ว อืม ไท่เหยาเป็นคนคอยห้ามคนนู้นคนนี้ทะเลาะกัน เอาไว้หลังสุด

 

 

นางจ้องมนุษย์หิมะทั้งเจ็ดนั้นอยู่นาน แล้วหยิบโมราเคลือบน้ำตาลมากัดอีกคำ

 

 

ความสัมพันธ์ภายในของที่นี่ช่างวุ่นวายจริงๆ

 

 

เสวียนอี่ยกมนุษย์หิมะสลับที่ไปมา เล่นอย่างสนุกสนาน บังเอิญไม่ทันระวังเลยทำให้มนุษย์หิมะฝูชางหัวขาด นางอดไม่ได้หัวเราะออกมาเบาๆ

 

 

“หัวเราะด้วยเรื่องอันใด”

 

 

เสียงมหาเทพไป๋เจ๋อดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยมาจากเบื้องหลัง เสวียนอี่ตกใจเล็กน้อย มนุษย์หิมะบนโต๊ะน้ำแข็งแตกกระจายเป็นละอองหิมะ

 

 

เสวียนอี่มองละอองหิมะนั้นอย่างเสียดาย “ตายแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะปั้นให้เสร็จได้”

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อกระแอมไอออกมา พูดเรียบๆ  “อาจารย์มาแล้วเจ้ากลับไม่ทำความเคารพ มัวแต่เสียดายมนุษย์หิมะไม่กี่ตัวนี้”

 

 

เสวียนอี่คำนับลงสง่างาม น้ำเสียงนอบน้อม “ศิษย์เสวียนอี่ คารวะท่านอาจารย์”

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อพยักหน้าลงช้าๆ สายตากวาดไปทั่วบริเวณ ใบหน้าอ่อนเยาว์ปรากฏรอยยิ้ม

 

 

“เจ้านี่กล้าไม่น้อย” คำพูดของเขายากจะเดาได้ว่ามาดีหรือมาร้าย

 

 

เสวียนอี่มองเขาอย่างไม่รู้สึกรู้สา “ศิษย์ไม่ชอบชื่อตำหนักถงจิ่ง ต้นถงเหล่านี้ก็ทำให้ศิษย์ใจไม่ดี ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้แต่ใช้น้ำแข็งปกคลุมทั้งหมดนี้ หวังว่าท่านอาจารย์จะให้อภัย”

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อหัวเราะออกมา “ให้หรือไม่ให้อภัย เจ้าก็ทำลงไปแล้ว ความกล้าบ้าบิ่นแบบนี้ไม่เหมือนพ่อเจ้าเลย”

 

 

ท่านเห็นเก้าอี้ผลึกน้ำแข็งนั้นก็อดไม่ได้ที่จะนั่งลง หยิบกาน้ำแข็งขึ้นมาเปิดดู พบว่าชาภายในถูกดื่มหมดแล้ว จึงได้แต่วางลงอย่างเสียดาย

 

 

เสวียนอี่ทำเป็นไม่ใส่ใจกิริยาของเขา พูดอย่างประหลาดใจ “ท่านอาจารย์เคยพบเสด็จพ่อของข้าหรือเจ้าคะ”

 

 

นางหรี่ตามองจับผิด มหาเทพไป๋เจ๋อส่ายศีรษะเงียบๆ “ข้าเคยเห็นเขา แต่เขากลับไม่เห็นข้า ตอนนั้นเขาก็อายุเท่าเจ้า ข้าเคยเห็นเขาอยู่ไกลๆ ครั้งหนึ่ง ทั้งขี้อาย ทั้งมากรัก เอาแต่ยุ่งอยู่กับพวกเทพธิดาที่เพิ่งรู้จักกัน”

 

 

เสวียนอี่ขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไร

 

 

“เรื่องแม่ของเจ้า ข้าก็เคยได้ยินมา”

 

 

จู่ๆ เขาก็พูดเรื่องท่านแม่ขึ้นมา รอยยิ้มของเสวียนอี่ค่อยๆจางลง

 

 

“โศกนาฏกรรมนั้นพ่อผู้มากรักของเจ้าหนีไม่พ้นที่จะต้องรับผิดชอบ” มหาเทพไป๋เจ๋อใช้มือเขี่ยเศษหิมะบนโต๊ะเบาๆ “ข้าได้ยินมาว่า ตอนเผ่าเทพเขาถงซานเข้ามาทำร้ายแม่เจ้า เจ้าก็อยู่ตรงนั้นด้วยหรือ”

 

 

เสวียนอี่มองเขาอย่างสงบ เอ่ยเสียงราบเรียบ “ท่านอาจารย์จะรู้ไปทำไม โปรดพูดมาตามตรง”

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อยิ้มอย่างปลอบโยน “ข้าแค่คิดว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในนัก เผ่าเทพเขาถงซานเป็นเพียงเทพเล็กๆ เท่านั้น เหตุใจจึงกล้าเป็นศัตรูกับตระกูลจู๋อิน ไม่ว่าอย่างไรแม่เจ้าก็เป็นนายหญิงแห่งเขาจงชาน นางมีเรื่องขึ้นมา มหาเทพจะยอมปล่อยผ่านได้อย่างไร”

 

 

เสวียนอี่ใจลอย “อาจเพราะผีร้ายเข้าสิงก็เป็นได้”

 

 

พอเห็นว่านางไม่อยากคุยเรื่องเหล่านี้ มหาเทพไป๋เจ๋อจึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นมา “วันนี้พบศิษย์หลายคน เจ้าประทับใจบ้างไหม”

 

 

นางเอียงศีรษะครุ่นคิด “ศิษย์พี่ชายหญิงล้วนสุภาพอ่อนโยนมาก สมกับที่ท่านรับเข้ามาเป็นศิษย์”

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อพูดพลางยิ้ม “แน่นอนว่าล้วนต้องสุภาพ แล้วไฉนเจ้าถึงอยู่คนเดียวในโลกน้ำแข็งนี่เล่า ไม่ไปร่วมสนุกกับพวกเขาหรือ”

 

 

เสวียนอี่ลูบใบหน้า พูดอย่างอายๆ “ที่จริงศิษย์เองก็ขี้อาย ไม่กล้าหยอกล้อกับพวกศิษย์พี่หรอกเจ้าค่ะ”

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อหัวเราะเสียงดัง ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกไม่กี่ก้าวก็เอ่ยขึ้นว่า “หลายพันปีก่อนหน้านี้หน้าที่ตีระฆังที่หอระฆังเป็นของเซ่าอี๋ แต่ตอนนี้เจ้าอายุน้อยสุด ตั้งแต่นี้ไปทุกวันหน้าที่ของเจ้าคือตีระฆังที่หอระฆัง เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ อย่าลืมล่ะ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะถูกลงโทษ”

 

 

“ศิษย์น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์” นางตอบเสียงใส

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ “ช่างเป็นเด็กที่ทำให้คนปวดหัวได้จริงๆ ข้าแก่แล้ว ข้าอยากใช้ชีวิตเงียบสงบ ไม่ควรรับเจ้าเลย…”

 

 

ไม่รอให้เสวียนอี่ตอบรับ เงาร่างของเขาก็หายไปท่ามกลางพื้นน้ำแข็งนั้น

 

 

นิ้วของเสวียนอี่ค่อยๆกอบละอองหิมะบนโต๊ะน้ำแข็งนั้นรวมเข้ามาไว้ที่เดียวกัน นางเริ่มปั้นดอกไม้อย่างช้าๆอีกครั้ง

 

 

เสียงหัวเราะจากที่ไกลแสนไกลลอยมากระทบโสตเป็นระยะ แต่ฟังแล้วไม่สนุกตามเลยสักนิด เสียงนั้นดังขึ้นเป็นช่วงๆ สุดท้ายทั้งหมดก็เข้าสู่ความเงียบงัน

 

 

เงียบสงัด เงียบจนได้ยินเสียงลมชัดเจน นางนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะหนา ใช้เล็บขีดลายบนดอกเจี๋ยเกิ่ง[1]อย่างละเอียด ดอกตูมคล้ายกระดิ่ง ก้านยาวเพรียว ประดิษฐ์เสร็จแล้วค่อยๆวางลงราวกับว่าทำเช่นนี้จึงจะปกปิดโลหิตสีแดงฉานที่มีอยู่ทุกพื้นที่ในห้องนั้นได้

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อจงใจกระมัง ให้นางพำนักในตำหนักถงจิ่ง แล้วยังวิ่งมาพูดอะไรไร้สาระพวกนี้อีก หรือต้องการจะทดสอบปฏิกิริยานาง หรือพอใจที่ได้ยุ่งเรื่องของคนอื่น

 

 

เหตุผลอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น เขาทำให้อารมณ์นางเปลี่ยนเป็นไม่สบายใจมากๆไปเสียแล้ว

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ดอกเจี๋ยเกิ่งหิมะกองเท่าครึ่งตัวคนแล้ว เสวียนอี่ค่อยๆเป่าลมเบาๆ พวกมันกลายเป็นเกล็ดหิมะร่วงหล่นบนพื้นอีกครั้ง

 

 

เสียงหัวเราะในที่ไกลค่อยๆ ใกล้เข้ามา ดูเหมือนว่าเป็นเสียงของเทพีจื่อซี “ท่านอาจารย์ชอบดอกทานตะวันสีม่วงที่สุด ทั้งสามร้อยลานในตำหนักหมิงซิ่งปลูกดอกไม้ชนิดนี้มากที่สุด ยาวเรียงรายไปทั้งสองฟากถนน จำทางก็ง่าย ตรงหัวโค้งนี้มีต้นไผ่สองต้น หากเลี้ยวทางตะวันออกจะไปยังหอระฆัง ทางนั้นคือตำหนักถงจิ่ง…เอ๊ะ”

 

 

เสียงอุทานด้วยความแปลกใจออกมาเพียงครึ่งคำ ในเวลานี้เหล่าทวยเทพที่มีรัศมีเปล่งประกายทยอยหยุดลงเนื่องจากภาพตำหนักถงจิ่งถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ตามองเข้าไปข้างในอย่างตกใจ

 

 

“ตำหนักถงจิ่งไยถึงกลายเป็นเช่นนี้” เทพกู่ถิงถามอย่างร้อนใจ “มีศิษย์พำนักอยู่ที่นี่หรือ”

 

 

เหยียนสยาตอบยิ้มๆ “ใช่ ศิษย์น้องหญิงที่เพิ่งมาใหม่ท่านอาจารย์จัดการให้นางมาอยู่ที่ตำหนักถงจิ่ง ได้ยินว่านางเป็นลูกหลานตระกูลจู๋อิน เพราะแบบนี้จึงสามารถทำให้ตำหนักถงจิ่งเต็มไปด้วยหิมะได้อย่างไรเล่า ดูแล้วสวยเหลือเกิน!”

 

 

จื่อซีมองเข้าไปในตำหนักถงจิ่งที่ปกคลุมด้วยหิมะเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง เพราะองค์หญิงน้อยตระกูลจู๋อินผู้นั้นนั่งอยู่คนเดียว ราวกับกำลังเหม่อลอยไปไกล หากเทียบกันแล้ว พวกนางตรงนี้กลับหยอกล้อสนุกสนาน เมื่อครู่ให้เหยียนสยาไปเรียกนางมา นางก็ไม่มา ในใจจื่อซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดทันที เช่นนี้ราวกับว่าพวกนางกำลังกีดกันศิษย์สำนักเดียวกันอยู่

 

 

นางก้าวไปเบื้องหน้า พูดเสียงชัดเจน “องค์หญิงเสวียนอี่ พวกเรากำลังจะพาศิษย์น้องฝูชางไปสำรวจลานสามร้อยลานในตำหนักหมิงซิ่ง เจ้าอยากไปด้วยกันหรือไม่”

 

 

เสวียนอี่มองพวกเขาเงียบๆ แวบเดียว ค่อยๆลุกขึ้น เอ่ยปากช้าๆ “หากต้องการให้ข้าไปก็ได้ ให้เขาออกไป แล้วข้าจะไปด้วย”

 

 

สายตานางหยุดอยู่ที่ร่างฝูชางผู้ยืนอยู่ข้างกู่ถิง เขาขมวดคิ้วน้อยๆ มองนางด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

 

 

จื่อซีเลิกคิ้วขึ้นพูด “เจ้าหมายความว่าอะไร ทุกคนล้วนเป็นศิษย์ร่วมสำนัก มีเหตุผลให้ต้องเลือกปฏิบัติกันเสียที่ไหน”

 

 

เสวียนอี่พูดเรียบๆ “เช่นนั้นก็เชิญศิษย์พี่ทุกคนเลือกเขา แล้วกีดกันข้าต่อไปแล้วกัน ข้าต้องการพักผ่อนแล้ว ขอให้ทุกท่านเดินทางปลอดภัย”

 

 

นางสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ประตูหิมะทั้งสองด้านประกบเข้าหากัน ทำให้บดบังแสงรัศมีของเหล่าทวยเทพไม่ให้กวนใจ น่ารำคาญ กำลังอารมณ์ไม่ดีแล้วพวกเขายังเข้ามาทำให้เวียนหัวอีก

 

 

เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างตะลึงงันในความหยิ่งยโสไร้มารยาทของนาง ผ่านไปครู่หนึ่งกู่ถิงจึงพูดขึ้น “นี่อารมณ์ไหนกัน! ไม่ต้องสนใจนาง พวกเราไปกันเถอะ!”

 

 

เขาหันตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มศิษย์วิพากษ์วิจารณ์กันครู่หนึ่ง แล้วได้แต่เดินตามกันจากไป

 

 

       

 

 

 

 

[1]ดอกเจี๋ยเกิ่ง หรือดอกบอลลูน (桔梗花) พันธุ์ไม้ดอกเมืองหนาวชนิดหนึ่ง ดอกตูมมีลักษณะโป่งพองคล้ายบอลลูน เมื่อบานเต็มที่ดอกจะมีลักษณะคล้ายดาว มีหลากสี