บทที่ 12 ความรักที่น่าหัวเราะ

บุหลันเคียงรัก

อีกหนึ่งเค่อ [1] จะถึงยามเหม่า [2] เสวียนอี่กำลังหาวพลางมุ่งตรงไปยังหอระฆัง

 

 

นางไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้มาก่อน ต้องโทษความไม่คุ้นชิน บวกกับที่นี่ไม่เหมือนที่วิมานม่วง ลมพัดเสียงดังทั้งคืน ทำให้นางนอนหลับไม่สนิทตลอดคืน

 

 

ใช่แล้ว อาหารที่นี่ก็ไม่อร่อย…เฮ้อ ฉีหนานเอ๋ยฉีหนาน เจ้ารู้ไหมว่าองค์หญิงของเจ้าลำบากขนาดไหน

 

 

นางหาวอีกครั้งอย่างขมขื่น

 

 

ฟ้ายังไม่สว่าง หมอกจางๆ ปกคลุมทั้งสามร้อยลาน ยังดีที่ดอกทานตะวันสีม่วงที่ข้างทางบานเด่นสะดุดตา ไม่อย่างนั้นนางคงหลงทางเป็นแน่

 

 

เมื่อมองเห็นว่าใกล้ถึงหอระฆัง บังเอิญได้ยินเสียงพูดคุยเบาๆ ดังออกมาจากกลุ่มหมอกข้างหน้า เสวียนอี่หยุดฝีเท้าลง เงี่ยหูฟัง ได้ยินแว่วๆ ว่าเป็นเสียงอ่อนโยนแผ่วเบาของสตรีนางหนึ่ง

 

 

“เมื่อวานนี้ทั้งวันก็ตัวติดกับเหยียนสยาตลอด ไม่พูดกับข้าสักคำ เจ้ายังโกรธข้าอยู่หรือ”

 

 

เสียงอ่อนเฉื่อยเนือยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นทันที “ข้าไปโกรธเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน เจ้าชอบคิดไปเรื่อยเปื่อย”

 

 

นี่เป็นเสียงของเซ่าอี๋ เสวียนอี่ขยี้ตา เพ่งมองทะลุเข้าไปในหมอกจางๆ นั้น แน่นอนว่าเป็นเงาของคนสองคนทอดยาวอยู่บนพื้นด้านล่างหอระฆัง คนหนึ่งสูงเพรียว อีกคนแต่งกายชุดหรูหรา ต้องเป็นองค์หญิงฟูหลัวกับเทพเซ่าอี๋แน่ๆ

 

 

ดวงตาขององค์หญิงฟูหลัวฉายแววคับแค้นใจ จ้องมองไปยังเซ่าอี๋ แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้าก็ชอบพูดโกหกแบบนี้เพื่อให้ข้าสบายใจ ที่จริงข้ารู้ ในใจเจ้าโทษข้า ไม่อย่างนั้นเมื่อวานเจ้าคงไม่ทำเป็นไม่สนข้า แต่ว่าเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรได้ ข้ากับกู่ถิงถูกพ่อแม่บังคับให้แต่งงาน เขาดูแลข้าอย่างดีมาตลอด ข้าไม่อาจให้เขาเสียใจได้”

 

 

เซ่าอี๋หัวเราะขึ้นมา ยกมือขึ้นมาเขี่ยต่างหูนางไปมา พูดเสียงอ่อน “เด็กโง่ ข้าว่าดวงตาอันรอบคอบของเจ้ามักคิดมากจนเกิดไป คงไม่ได้นอนทั้งคืนเลยสิท่า ตาแดงแล้ว”

 

 

องค์หญิงฟูหลัวหน้าแดงก้มหน้างุด สุ้มเสียงเบาลงมาก “แต่ว่า เมื่อวานเจ้าหยอกล้อกับเหยียนสยาตลอด ไม่พูดกับข้าสักคำ”

 

 

“คนขี้หึง” เซ่าอี๋ลูบคางของนาง กระเซ้านางเบาๆ “เจ้าทำกรงขึ้นมาสักอันแล้วเอาข้าเข้าไปขังในนั้นสิ แบบนี้ข้าจะได้มองเจ้าคนเดียว พูดได้แต่กับเจ้าคนเดียว”

 

 

องค์หญิงฟูหลัวกัดริมฝีปาก พูดเสียงกระเง้ากระงอด “เจ้าพูดเองนะ คราวหน้าข้าจะทำกรงให้เจ้าจริงๆ! “

 

 

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำเบาๆ ของชายหนุ่มทำให้รู้สึกจั๊กจี้หัวใจ “เจ้าทำนะ เอาข้าเข้าไปขัง ข้าก็จะเป็นของเจ้าคนเดียวแล้ว”

 

 

เสวียนอี่ขยี้ดวงตาที่แห้งผากทั้งคู่ ง่วงจริงๆ นางยังอยากกลับไปงีบต่ออีกสักหน่อย

 

 

นางลงฝีเท้าหนักขึ้น เดินผ่านหมอกบางไป ตรงไปยังหอระฆัง

 

 

พอได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามา องค์หญิงฟูหลัวกลายร่างเป็นกลุ่มควันเขียวหายไปทันที เหลือแต่เพียงเซ่าอี๋ยืนเอามือไพล่หลังมองมาที่เสวียนอี่อย่างยิ้มแย้ม

 

 

“ปลาดุกอุยน้อย เจ้าแอบดูอยู่นานเท่าไรแล้ว” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและเฉื่อยเนือยตั้งแต่ต้นจนจบ

 

 

เสวียนอี่เอ่ยขึ้นเรียบๆ “ฟ้าสว่างเยี่ยงนี้ พูดว่าแอบดูอะไรกัน”

 

 

เซ่าอี๋ลูบคางอย่างเหนือคาดเล็กน้อย “เอ๊ะ เจ้าพูดถูก จริงๆ แล้วไม่เรียกว่าแอบฟัง อืม…เจ้าไม่นอนพักผ่อนต่อไปอีกสักหน่อยเล่า ฟ้ายังไม่สว่างวิ่งมาทำอะไรที่หอระฆัง”

 

 

เสวียนอี่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เมื่อวานอาจารย์พูดกับข้าว่า ในตอนนี้ในบรรดาศิษย์ทั้งหลายข้าอายุน้อยที่สุด ดังนั้นต่อแต่นี้ไปเรื่องเคาะระฆังที่หอระฆังให้เป็นหน้าที่ของข้า”

 

 

ช่างอี๋อดแปลกใจไม่ได้ “ท่านอาจารย์ทะนุถนอมศิษย์ผู้หญิงจะตาย เหตุใดจึงให้เจ้ามาตีระฆังที่หอระฆัง เจ้าไปนอนเถอะ หน้าที่นี้เดี๋ยวศิษย์พี่ทำเอง”

 

 

จริงหรือ ดวงตาทั้งคู่ของเสวียนอี่เป็นประกาย

 

 

เขาจึงยิ้มขึ้นอีกครั้ง ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ หยิบผ้าคลุมไหล่ที่นางทำตกมาคลุมให้อย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วไล้ผ่านไหล่ของนาง

 

 

“นอกจากเรื่องนี้แล้ว เจ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่หรือไม่” สีหน้าเต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้

 

 

เสวียนอี่คิดไปครู่หนึ่ง “ศิษย์พี่เซ่าอี๋”

 

 

“หืม”

 

 

“หากวันนี้ต้องการพักสายตา ห้ามไปที่ตำหนักน้ำแข็งนะเจ้าคะ”

 

 

เขาหลุดยิ้มทันที ทำท่าจะเคาะหัวนางเบาๆ “รีบไปเถอะ เจ้าปลาดุกอุยน้อย”

 

 

ในแจกันผลึกแก้วเต็มไปด้วยดอกย้อมเล็บสีแดงสด เสวียนอี่ค่อยๆ ดึงเกสรบางเบาชุ่มน้ำออกมาจากด้านในอย่างระมัดระวัง ถูลงบนเล็บเบาๆ นิ้วเรียวยาวก็ถูกเคลือบด้วยสีแดงสดอย่างรวดเร็ว

 

 

ครั้นมองท้องฟ้า น่าจะใกล้ยามเฉิน [3] แล้ว นางก้มลงเป่าลมเบาๆ ที่นิ้วมือ มองสีย้อมเล็บที่แห้งขึ้นเล็กน้อย

 

 

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นี่ก็เป็นครั้งแรกที่นางจะได้เรียนกับท่านอาจารย์ จึงไม่ควรจะไปสาย

 

 

ผ่านไปไม่นาน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกจากเทพบุตรน้อยนอกหน้าต่าง “องค์หญิง องค์หญิงเสวียนอี่ ท่านตื่นหรือยัง”

 

 

เสวียนอี่พ่นลมหายใจหนึ่งที หน้าต่างน้ำแข็งสีขาวเปิดออก นางหันศีรษะมองไปข้างนอก เห็นเทพบุตรน้อยขี้โมโหเมื่อวานยืนอยู่ข้างล่างหน้าต่าง อืม ดูแล้ววันนี้ก็ยังคงขี้โมโหอยู่ดี

 

 

“มีเรื่องอะไร” นางเป่าเล็บมือต่อไป ดูท้องฟ้าอีกครั้ง นี่ยังไม่ถึงยามเฉินเลยนะ

 

 

เทพบุตรน้อยกล่าว “เมื่อครู่ท่านมหาเทพสั่งมาว่า การเรียนในวันนี้ท่านต้องใช้อุปกรณ์สักสองสามอย่าง แต่ท่านลืมไปเอา จึงสั่งให้องค์หญิงกับเทพฝูชางไปด้วยกัน ให้นำมาก่อนยามซื่อ [4] “

 

 

เสวียนอี่เลิกเป่าเล็บ “ทำไมต้องเรียกข้าไปกับฝูชางด้วย”

 

 

“เนื่องจากท่านทั้งสองเป็นศิษย์ใหม่ นับแต่นี้ไปเรื่องจิปาถะพวกนี้ล้วนเป็นหน้าที่ของศิษย์ใหม่”

 

 

เทพบุตรน้อยคำนับก่อนส่งสาส์นสีเขียวเล็กๆ ให้ เอ่ยขึ้นอีกว่า “ของที่ต้องการทั้งหมดท่านมหาเทพได้เขียนไว้บนนี้แล้ว ขอให้องค์หญิงกับเทพฝูชางรีบไปรีบกลับ”

 

 

…ยังไม่สอน ก็เริ่มใช้ลูกศิษย์ก่อนแล้ว

 

 

เสวียนอี่เปิดม้วนสาส์นเล็กออกดู พบว่าข้างในนั้นเขียนว่า ประกายสุริยันสามท่อน แก่นจันทราสามท่อน ผมของเทพเฟยเหลียนสามเส้น

 

 

สองอย่างแรกนับว่าสมเหตุสมผล แต่ผมของเทพเจ้าเฟยเหลียนนี่หมายความว่าอะไร หรือว่าต้องการให้นางวิ่งไปตรงหน้าของเทพเฟยเหลียน แล้วให้เขาดึงผมออกมาสามเส้นหรือไร ตอนแรกได้ยินมาว่ามหาเทพไป๋เจ๋อชอบสะสมของแปลก ๆ ที่แท้ก็ให้ลูกศิษย์ไปหามาให้นี่เอง

 

 

นางโยนสาส์นนั้นทิ้งกล่าว “ข้าไม่อยากไป”

 

 

เทพบุตรน้อยตกใจ “ไม่ไป? นี่…มหาเทพเป็นอาจารย์ ท่านสั่งมา องค์หญิงจะไม่ไปได้อย่างไร”

 

 

“เพราะว่ามองดูแล้วมันยุ่งยากมากเลยนี่นา” เสวียนอี่เป่าเล็บพลางโอดครวญ “ท่านอาจารย์ต้องการอะไร ไปเอาเองไม่ได้รึไง”

 

 

เทพบุตรน้องตะลึงลานอ้าปากค้างมองนาง เขาเป็นเทพบุตรน้อยที่ตำหนักหมิงซิ่งแห่งมหาเทพไป๋เจ๋อมาเกินหมื่นปี เห็นลูกศิษย์มากหน้าหลายตา แต่ว่าก็ไม่เคยมีใครกล้าบ้าบิ่นเหมือนนาง เมื่อวานนี้แช่แข็งตำหนักถงจิ่ง วันนี้ยังกล้าขัดคำสั่งท่านอาจารย์ที่ใช้ให้ไปทำอีก ตกลงนางมาเพื่อเรียนวิชาหรือมาก่อความวุ่นวายกันแน่

 

 

“…เทพฝูชางกับเทพกู่ถิงออกเดินทางแล้วนะ องค์หญิง องค์หญิงโปรดรีบไปเถอะ” เขาทำเป็นไม่ได้ยินที่นางพูดเมื่อครู่ คะยั้นคะยอนางต่อไป

 

 

เสวียนอี่ถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมศิษย์พี่กู่ถิงก็ต้องไปด้วยเล่า”

 

 

“องค์หญิงกับเทพฝูชางเป็นศิษย์ใหม่ มหาเทพเกรงว่าท่านทั้งสองจะทำไม่ได้ ดังนั้นจึงสั่งให้เทพกู่ถิงคอยช่วยเหลือด้วย”

 

 

เสวียนอี่นิ่งคิดสักครู่ก็พยักหน้ารับคำ “ดี งั้นข้าไป”

 

 

นางดึงผ้าคลุมไหล่ให้กระชับตัว ขณะที่ค่อยๆ เดินนวยนาดมาถึงข้างนอกตำหนักหมิงซิ่ง ฝู่ชางกับกู่ถิงมาถึงก่อนหน้าแล้ว เทพทั้งสองกำลังมองสิ่งของที่เขียนในสาส์นนั้นอย่างเคร่งเครียด ดูประหลาดใจเป็นล้นพ้น

 

 

“เทพเฟยเหลียนอารมณ์เกรี้ยวกราด ชอบใช้กำลัง ที่จริงก็เป็นแค่เทพที่คล้ายกับเม่นมิปาน ศิษย์ของท่านอาจารย์หลายคนรู้ฤทธิ์เดชเขาดี ทว่าแต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครนำเส้นผมของเขามาได้ ไม่คิดเลยว่าวันนี้อาจารย์ยังอยากได้ผมของเขาอีก”

 

 

กู่ถิงพูดพลางขมวดคิ้ว สายตาระยับนั้นแลมาพบเสวียนอี่เข้า จึงหันมาพูดเรียบๆ “องค์หญิงเสวียนอี่ ท่านอาจารย์สั่งว่าเรื่องของทั้งหมดต้องนำกลับมาก่อนยามซื่อ เพื่อความรวดเร็ว เราแยกกันไปเถอะ เจ้าไปเอาประกายสุริยัน ข้ากับฝูชางมุ่งไปยังทางวังเทพีวั่งซูนำแก่นจันทรากับเส้นผมของเทพเฟยเหลียน เจ้าว่าอย่างไร”

 

 

เขายังคงเรียกนางว่า “องค์หญิงเสวียนอี่” แสดงถึงความห่างเหินอย่างชัดเจน

 

 

นางมองหน้าเขายิ้มๆ “ที่ศิษย์พี่กู่ถิงว่ามานั้นก็ดี ทว่าข้าไม่เคยไปจากเขาจงซานเลยสักครั้ง แม้แต่เส้นทางก็ไม่รู้จัก เกรงว่าจะเป็นตัวถ่วงเรื่องนี้ ให้ข้าไปกับพวกท่านเถอะ ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาบ้าง”

 

 

เหตุผลนี้สมเหตุสมผลมาก กู่ถิงไม่รู้ว่าจะขัดได้อย่างไรทันที ทำได้เพียงกระโดดขึ้นไปบนก้อนเมฆอย่างเงียบขรึม ฝูชางตามไปด้านหลังด้วยสีหน้าเรียบเฉย เสวียนอี่ยิ้มตาหยีแล้วตามไป ทิ้งระยะห่างพอควร

 

 

“ศิษย์พี่กู่ถิง” ยังเหาะไปได้ไม่เท่าไหร่ จู่ๆ เสวียนอี่ก็เรียกเขาขึ้นมา “จริงหรือที่ท่านหมั้นกับศิษย์พี่ฟูหลัวแล้ว”

 

 

กู่ถิงตอบเสียงเรียบ “ไม่ผิด เจ้าได้ยินมาจากไหน”

 

 

“ข้าได้ยินศิษย์พี่ฟูหลัวพูดเองกับปาก” นางกะพริบตา “พวกท่านทั้งสองหมั้นกันตั้งแต่อายุยังน้อยเท่านี้ จะไม่เสียใจในภายหลังหรือ”

 

 

กู่ถิงขมวดหัวคิ้วแน่น “พูดความจริงไม่หมด ฟูหลัวพูดกับเจ้าเมื่อใด เมื่อได้พบคู่แท้ที่ถูกตาต้องใจกันเยี่ยงนี้แล้ว รีบหมั้นรีบแต่งไม่ดีตรงไหน”

 

 

“ถูกตาต้องใจ” นางทวนคำตามรอบหนึ่งแล้วหัวเราะเบาๆ

 

 

กู่ถิงไม่ประทับใจนางที่สุด ถามเสียงเย็นชาทันที “เจ้าหัวเราะอะไร”

 

 

เสวียนอี่เป่าผมยาวที่มาคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม “ศิษย์พี่ทั้งสองเหมาะสมกันนัก ข้าอิจฉาจริงๆ “

 

 

น้ำเสียงเรียบเรื่อยอ่อนเบาของนางฟังดูราวกับว่ากำลังเยาะเย้ยถากถาง กู่ถิงอดไม่ได้ที่จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ อยากมีเรื่องกับนางขึ้นมาจริงๆ ทว่าจะดูไม่ดีนัก จึงทำได้เพียงข่มโทสะเอาไว้

 

 

 

 

 

 

[1] เค่อ หน่วยวัดเวลาของจีนโบราณ โดย 1 เค่อเทียบเท่ากับ 15 นาที

 

 

[2] ยามเหม่า ช่วงเวลาตั้งแต่ 05.00 น. – 06.59 น.

 

 

[3] ยามเฉิน ช่วงเวลาตั้งแต่ 07.00 น. – 08.59 น.

 

 

[4] ยามซื่อ ช่วงเวลาตั้งแต่ 09.00 น. – 10.59 น.