บทที่ 13 เทพีซีเหอ

บุหลันเคียงรัก

ตลอดทางไม่มีใครพูดอะไรเลย อันที่จริงเสวียนอี่ก็อยากจะพูด แต่พอหันไปเห็นสีหน้าของกู่ถิงก็พูดไม่ออก ฝูชางยิ่งเคยชินกับการทำเป็นเงียบ นางจึงทำได้เพียงบินไปพลางชื่นชมทิวทัศน์ไปพลาง

 

 

จู่ๆ กู่ถิงก็เอ่ยขึ้น “ฝูชาง พวกเจ้าไปที่วังของซีเหอ ส่วนข้าไปที่วังของวั่งซู สำรวจสถานการณ์เทพเฟยเหลียน”

 

 

ฝูชางที่หุบปากมาตลอดทางสุดท้ายก็เอ่ยปากขึ้น มีเพียงห้าคำเท่านั้น “ข้าไปวังวั่งซู”

 

 

กู่ถิงส่ายศีรษะ สีหน้าจริงจัง “เจ้าไม่เคยรู้จักกับเทพเฟยเหลียนมาก่อน เขา…ไม่มีเหตุผลนัก ให้ข้าไปจะปลอดภัยกว่า” พูดจบก็ยิ้มขึ้นทันที กล่าวขึ้นอีกว่า “ยิ่งกว่านั้น เจ้าไปเอาประกายสุริยันจะต้องสำเร็จแน่นอน”

 

 

คราก่อนในงานแต่งจักรพรรดินี เทพีซีเหอตีกลอง ฝูชางรำกระบี่ นับแต่นั้นเทพีซีเหอก็ประทับใจฝูชางมาก นางมักแสดงท่าทางออกหน้าออกตาชัดเจน ไม่ว่าจะถูกเขามองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์กี่ครั้ง นางก็ยังไม่ถอดใจ ทั้งยังไม่สนว่านางจะอายุห่างกับเขากี่แสนปี

 

 

“ระวังอย่าให้ถูกเทพีซีเหอกอดเข่าร้องไห้ล่ะ” กู่ถิงหยอกล้อ ก่อนจะเหาะไปทางวังของวั่งซู

 

 

เสวียนอี่มองเขา แล้วหันมามองฝูชาง นางไปกับใครดี

 

 

แต่ว่าอย่างไรเทพทั้งสองก็ไม่สนใจความคิดของนางอยู่ดี ตามองกู่ถิงที่บินไปจนลับสายตา ฝูชางก็กลายเป็นจุดดำเล็กๆ เช่นกัน นางรีบไล่ตามไป

 

 

วันนี้นางอารมณ์ดีอีกแล้ว ยิ้มหยีเอ่ยปากขึ้น “ศิษย์พี่ฝูชาง วังของซีเหอเป็นอย่างไร เทพีซีเหอสวยหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

ฝูชางเงียบกริบ แม้นางจะถามซ้ำอีกสักกี่รอบ เขาก้มหัวมองนางแวบหนึ่ง น้ำเสียงเปี่ยมเสน่ห์ดังขึ้นเบาๆ “เจ้าอยากรู้นักรึ”

 

 

ตายแล้ว สุดท้ายเขาก็พูดสักที เสวียนอี่พยักหน้า “แน่นอน ข้าประสบการณ์ยังน้อยยิ่งนัก ขอให้ศิษย์พี่ฝูชางโปรดชี้แนะ”

 

 

เขาพูดเรียบๆ “เช่นนั้นอีกครู่เจ้าคอยดูให้ดีแล้วกัน อย่ากะพริบตาเชียว ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียด”

 

 

เสวียนอี่ยิ้มสดใสราวสายลมในฤดูใบไม้ผลิ “แบบนี้ไม่รบกวนศิษย์พี่เกินไปใช่ไหมเจ้าคะ”

 

 

ฝูชางมองไปยังทะเลเมฆที่จับกลุ่มกันอยู่ไกลๆ ตอบช้าๆ “ไม่รบกวน เจ้าชอบก็ดี”

 

 

นางมักรู้สึกเสมอว่าชายหนุ่มผู้นี้ชอบพูดอะไรซับซ้อน พอได้เหาะกับเขาครู่หนึ่ง จึงรู้สึกแต่เพียงว่าเบื้องหน้าสายตามีแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจละสายตาไปได้ ภายในใจของเสวียนอี่เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีนัก

 

 

เพียงได้ยินฝูชางเอ่ยปาก “ลงกันเถอะ ถึงวังซีเหอแล้ว”

 

 

เสวียนอี่โรยตัวลงตามเขา เบื้องหน้าเป็นวังซีเหอจริงๆ ด้วย บันไดหน้าตำหนักเป็นสีทอง ร่องน้ำทั้งสองด้านคือทะเลเพลิงอันเชี่ยวกราก บางคราก็ปะทะกันจนพุ่งขึ้นสูง เสียงน่ากลัวทำให้คนตกใจ ตำหนักใหญ่ทั้งหมดโดดเด่นเห็นแต่ไกล จู่ๆ นางก็รู้สึกตาพร่าขึ้นมา จึงรีบเอาแขนเสื้อขึ้นมาบังหน้า

 

 

ฝูชางเดินขึ้นไปบนขั้นบันไดนั้น หันมาพูดโดยใช้น้ำเสียงเป็นงานเป็นการ “ที่นี่คือบันได วัสดุทั้งหมดของที่นี่ล้วนทำจากหินภูเขาไฟหมื่นปีจากฉยงซาง ส่วนเปลวเพลิงในร่องน้ำนั้นก็คือเพลิงจากมาจากกานยวน”

 

 

แสงสว่างจ้าบาดตาทำให้องค์หญิงจู๋อินผู้น่าสงสารอดไม่ได้ที่จะยกแขนเสื้อขึ้นมาบังตา ฝูชางมองนางปราดหนึ่ง “ให้ข้าอธิบายไม่ใช่หรือ ยังไม่ได้เข้าไปในวังซีเหอ ยังไม่ทันได้พบเทพีซีเหอเลย เอาแขนเสื้อลงเดี๋ยวนี้”

 

 

น้ำเสียงเสวียนอี่ฟังดูน่าสงสารอย่างน่าประหลาด “แต่ว่าข้าลืมตาไม่ขึ้น ศิษย์พี่ ท่านไปเอาสุริยันมาเถิด”

 

 

ฝูชางยังคงไม่ใส่ใจ “ท่านอาจารย์มอบงานมาให้เช่นนี้จะล้มเลิกกลางคันได้อย่างไร”

 

 

เสวียนอี่ไม่พูดอะไร หันหลังกลับหมายจะเหาะหนี ใครจะไปรู้ว่าสายผ้าข้างหลังนางจะถูกชายหนุ่มดึงไว้ เขาพูดเสียงราบเรียบถึงขีดสุด “ข้าบอกแล้ว ว่าจะล้มเลิกกลางคันไม่ได้”

 

 

นางหันกลับมาทันที ปล่อยแขนเสื้อลง กำลังตั้งท่าจะพูด ทว่าได้ยินน้ำเสียงสดใสร่าเริงของเทพีซีเหอดังขึ้นพอดี “ใครเดินไปเดินมาอยู่ที่ประตูหน้าตำหนัก”

 

 

ฝูชางประสานมือขึ้นคำนับกล่าว “ศิษย์สำนักมหาเทพไป๋เจ๋อ ฝูชางตระกูลหวาซวี เสวียนอี่ตระกูลจู๋อิน ได้รับคำสั่งจากท่านอาจารย์ให้มาขอประกายสุริยันสามท่อนจากท่าน หวังว่าองค์เทพีจะเมตตา”

 

 

พูดไม่มีตกหล่นสักคำ ทว่ารู้สึกราวกับสายลมหอมกรุ่นพัดโชยมา เทพีซีเหอมุ่งตรงมายังประตูตำหนักด้วยสีหน้าแจ่มใส นางอยู่ในชุดยาวสีทอง ที่หูประดับต่างหูรูปทรงคล้ายกับเปลวไฟ งดงามอย่างหาใดเปรียบ ครั้นเห็นฝูชาง หยาดน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาในตานางทันใด ใช้มือดึงแขนเสื้อชายหนุ่ม พูดต่อว่า “เทพฝูชาง! เร็ว! เชิญเข้าไปนั่งด้านใน! วันนี้มีข่าวดีพอดี นกสีทองเข้ามาอยู่ในตำหนัก ข้ากำลังจะทำความสะอาดให้มัน นี่คือพรหมลิขิตใช่หรือไม่”

 

 

นางยังฉุดกระชากลากถู พาทั้งสองเข้าไปภายในตำหนักซีเหอ เสวียนอี่รู้สึกเพียงว่ามีแสงระยิบระยับเต็มตาไปหมดทุกหนแห่งทำให้ตาพร่า มองอะไรไม่เห็นทั้งนั้น เห็นนางยังคงยืนอยู่ที่เดิม เทพีซีเหอจึงถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมเจ้าถึงเอาแต่ปิดหน้าเช่นนั้นเล่า มาเถอะ”

 

 

นางเดินตามเสียงนั้นไปอย่างช้าๆ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตกใจของเทพีซีเหอ “ระวัง! “

 

 

นางรีบถอยกลับก้าวหนึ่ง ทันใดนั้นจึงรู้สึกว่าชายกระโปรงไหม้ ไฟลามขึ้นมาจนถึงช่วงเอว นี่คือกระโปรงตัวโปรดของนาง! เสวียนอี่ตะลึงงัน

 

 

รอยสีดำขนาดใหญ่นั้นทำให้คนทั้งตำหนักนิ่งอึ้งด้วยความตกใจ แสงเจิดจ้าจนแสบตานั้นในที่สุดก็ถูกบดบังไว้ เทพีซีเหองอนิ้ว ในตอนนั้นเปลวไฟบนกระโปรงเสวียนอี่ราวกับแมวเชื่องๆ ตัวหนึ่ง มอดลงทันทีตามนิ้วของนางที่งอลง

 

 

“อย่าเดินมั่วซั่วอีกล่ะ” เทพีซีเหอมองนางอย่างตำหนิ “บาดเจ็บขึ้นมาทำอย่างไร”

 

 

เสวียนอี่ก้มมองรอยไหม้บนกระโปรงเงียบๆ ผ่านไปสักพักจึงถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นยิ้มแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณเทพีซีเหอเจ้าค่ะ”

 

 

เพลิงสุริยันของเจ้านกสีทองทำได้เพียงเผากระโปรงนางไหม้ไปชิ้นหนึ่งแล้ว สีหน้าเทพีซีเหอเปลี่ยนเป็นล้ำลึกเพียงชั่วพริบตาเดียว ดวงตางดงามทั้งคู่จ้องนางอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงฝืนยิ้มออกมา

 

 

“ที่แท้เจ้าก็คือองค์หญิงน้อยตระกูลจู๋อินคนนั้น เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน เป็นคนงามหาตัวจับได้ยากจริงๆ ข้าได้ยินมาก่อนว่าจักรพรรดิสวรรค์จับคู่เจ้ากับเทพฝูชาง แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ไม่คิดเลยว่าเจ้ากับเทพฝูชางจะถูกรับเป็นศิษย์ด้วยกัน”

 

 

ท่าทางยินดีเมื่อครู่ของนางถูกเปลี่ยนเป็นความคับแค้นใจ ชำเลืองมองฝูชางปราดหนึ่ง ดึงมีดสั้นสีทองออกมาจากแขนเสื้อ หันกลับไปยังแท่นสูงในตำหนัก มือทั้งคู่ประกบกัน ฉากหลังสีดำขนาดมหึมานั้นเปิดออกมุมหนึ่ง หลังแท่นนั้นที่แท้เป็นสระเพลิงขนาดยักษ์ ระหว่างชั้นฟ้ากับพื้นดินมีนกสีทองสุริยันตัวหนึ่งกำลังแช่ตัวอยู่ในนั้น ขยับตัวขึ้นลง ทั้งหมดดูหดหู่อย่างเห็นได้ชัด

 

 

เทพีซีเหอโอบนกสีทองตัวหนึ่ง ลูบไปมาอย่างรักใคร่ แล้วใช้มีดตัดขนออกมาสามเส้น

 

 

“เกลียดเจ้าหนุ่มโฮ่วอี้ผู้นั้นนัก ฆ่านกสีทองไปตั้งเก้าตัว! แต่ก่อนเล่นน้ำกันในกานยวนนี่ครึกครื้นจะตาย! ” นางตัดไปบ่นไป “จนตอนนี้เหลือมันอยู่ตวัเดียว เป็นหนุ่มน้อยผู้โดดเดี่ยว จนวันนี้ก็ยังโงหัวไม่ขึ้น เอ๊ะ ข้าก็โดดเดี่ยวเช่นกันนี่ ทว่าตอนนี้ข้ามีสหายสองคนแล้ว…”

 

 

ราวกับนางคิดเรื่องเศร้าใจบางอย่างขึ้นมาได้ ทันใดนั้นก็สะอึกสะอื้น หยาดน้ำตาหยดลงเป็นมุกสีเพลิงร่วงลงไปในสระเพลิงนั้น

 

 

เสวียนอี่มองนางร้องไห้เงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก้มหัวลงมองรอยไหม้ที่กระโปรงตัวเอง มองอย่างไรก็ไม่จำเริญตา นางจึงใช้หิมะขาวเติมลงไปกลบรอยดำจนเสร็จ จู่ๆ น้ำตาของเทพีซีเหอก็หยดลงมาโดนตัว

 

 

“เจ้าดีจริงๆ ” นางใช้ประกายสุริยันนั้นสะบัดไปมา “เยาว์วัยขนาดนี้ งามขนาดนี้ แล้วยังได้ไปเรียนสำนักเดียวกับเขาอีก เหมาะสมกันอย่างหาที่ติไม่ได้ ไม่เหมือนข้าสักนิด นกสีทองสิบตัวถูกฆ่าจนเหลือเพียงตัวเดียว ต้องโดดเดี่ยวแบบนี้ตลอดกาล จักรพรรดิสวรรค์ลงโทษข้าโดยไม่ถามอะไรสักคำ! “

 

 

เสวียนอี่หันไปมองฝูชาง เขาเริ่มทำเป็นหุบปากเงียบอีกแล้ว ขนตายาวหลุบต่ำมองตัวเอง นางคิดครู่หนึ่ง ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “เทพีซีเหอ ที่จริงศิษย์พี่ฝูชางไม่เคยใส่ใจข้าสักนิด ในใจเขามีเพียงท่าน แล้วยังเขียนบทกวีให้ท่านอีก ชื่อว่า ‘คิดถึงคะนึงหาผู้ใดหนอ ซีเหอคนงาม’ “

 

 

เทพีซีเหอตะลึงงัน ดวงหน้าสดใสในพริบตา “จริงหรือ”

 

 

เสวียนอี่พยักหน้ารับอย่างอบอุ่น เทพีผู้ใสซื่อบริสุทธิ์เดินตรงไปยังฝูชาง ดึงแขนเสื้อเขาอีกครั้ง

 

 

ฝูชางหันมองนางแวบหนึ่ง นางกลับมองเขาพลางส่งยิ้มหวานให้ “ศิษย์พี่กับเทพีซีเหอค่อยๆ พูดจากันไปเถอะ ข้าไม่รบกวนแล้ว”

 

 

นางบอกว่าไปก็ไปในทันที เหาะหายไปจากตรงนั้นในพริบตาเดียว