เสียงพูดคุยจากด้านนอกแว่วเข้ามา ได้ยินเสียงรำไรเหมือนจะอยู่ใกล้ทว่าก็เหมือนอยู่ไกลออกไป
ตั้งแต่แม่นางเฉิงเจ็ดมาถึงเสียงจ้อกแจ้กจอแจนั้นก็ไม่เคยหยุดลงเลย ทั้งยังมีเสียงตะโกนโหวกเหวกเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ แถมยังมีเสียงหมาเห่าให้รำคาญหู ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลิ่นประหลาดแสบจมูกที่ลอยมาตามกัน
แม่นางเฉิงเจ็ดรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะร้องไห้อีกแล้ว นางกอดหัวเข่านั่งชิดกำแพง ข้างหูได้ยินเสียงคนพูดคุยแต่กลับได้ยินไม่ชัดพอ นางกลืนน้ำลาย ก่อนจะค่อยๆ เหลียวมาอย่างช้าๆ ก็เห็นแมลงตัวหนึ่งกำลังเกาะอยู่บนกำแพงเขรอะนั่น…
ตั้งแต่เล็กจนโตแม่นางเจ็ดไม่เคยพบเจอภาพที่น่ากลัวขนาดนี้มาก่อน น่ากลัวเสียยิ่งกว่าตอนเห็นท่านแม่ทะเลาะกับท่านป้าเมื่อครู่เสียอีก นางกรีดร้องออกมาแล้ววิ่งไปทางประตูทันที
“หญิงเจ็ด หญิงเจ็ด เป็นอะไรไป”
ฮูหยินรองเฉิงเปิดประตูเข้ามาในทันใด ก่อนจะโอบศีรษะน้อยของแม่นางเฉิงเจ็ดไว้ในอ้อมกอด พลางลูบปลอบโยน
“ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ ที่นี่น่ากลัวเหลือเกิน” แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ยทั้งน้ำตา พลางชี้นิ้วไปข้างหลัง “มีแมลง…”
“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว แม่จะตีมันให้ตายเอง”
ฮูหยินรองเฉิงพูดไปตามน้ำ พลางก้าวไปข้างหน้า ฟาดกำแพงซ้ายทีขวาที นางปลอบแม่นางเฉิงเจ็ดอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะยอมสงบลง
สองแม่ลูกนั่งลงบนเบาะ
“ท่านแม่ พวกเราอย่าอยู่ที่นี่เลย ที่นี่ช่างทรุดโทรมนัก…” แม่นางขยับกายเข้าไปใกล้ท่านแม่ก่อนจะเอ่ยอย่างกล้ำกลืน
ฮูหยินรองเฉิงกวาดสายตามองไปรอบกาย
ห้องในเรือนหลังนี้เดิมทีก็ถูกสร้างขึ้นมาอย่างแสนหยาบ ยิ่งผ่านไปนานวันเข้าก็ยิ่งชำรุดทรุดโทรม แถมห้องที่พวกนางอยู่ยังเป็นห้องของสาวใช้ที่ชื่อปั้นฉินนั่นด้วย ไม่รู้ว่าแต่ก่อนห้องนี้ใช้ทำอะไร คงจะเป็นห้องเก็บฟืนกระมัง…
ฮูหยินรองเฉิงเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าบนโลกนี้มีบ้านเรือนเช่นนี้อยู่ด้วย
“ที่นอนซือจิ่นยังดีกว่าที่นี่เสียอีกด้วยซ้ำ” แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ย
ซือจิ่นคือชื่อของสุนัขที่พวกนางเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน
ฮูหยินรองเฉิงรีบเอื้อมมือไปปิดปากนาง สีหน้าตื่นตระหนกไม่น้อย
“อย่าพูดจาเหลวไหล เดี๋ยวพวกนางก็ได้ยินเข้าหรอก” นางเอ่ยเสียงกระซิบ
“ได้ยินแล้วจะทำอย่างไรได้เล่า” แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ยอย่างไม่พอใจนัก “ข้าพูดผิดตรงไหน!”
“พวกนางจะไล่เราออกไปน่ะสิ” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย
“ไล่ก็ไล่สิ ที่โสโครกเช่นนี้ใครจะอยากอยู่กัน” แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ย
ฮูหยินรองเฉิงสีหน้าหม่นหมองลงในทันใด
นั่นสินะ ที่โสโครกเช่นนี้ใครจะอยากอยู่กัน…
พอเห็นสีหน้าของท่านแม่ แม่นางเฉิงเจ็ดก็ก้มหน้าไม่พูดไม่จา
“ท่านแม่” นางเงยหน้าขึ้นสีหน้าร้อนใจ “ท่านป้าไม่อยากให้พวกเรากลับไปใช่ไหมเจ้าคะ”
ฮูหยินรองเฉิงขยับตัวนั่งหลังเหยียดตรงในทันใด
“นางน่ะหรือ” นางเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “นางไม่ใช่เจ้านายพวกเราเสียหน่อย ไม่เป็นไร เจ้าวางใจเถิด พวกเราอยู่กับพี่สาวเจ้าที่นี่ ไม่มีผู้กล้ารังแกเราแน่นอน”
พอพูดจบ ฮูหยินรองเฉิงก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
เมื่อวานนี้ ไม่สิ แม้แต่เช้าวันนี้ นางเองก็ไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องมาพึ่งพิงเด็กบ้าคนนี้ ทว่าตนกลับตื่นกลัวจนมาหลบซ่อนตัวที่เรือนของนางที่นี่
จนถึงตอนนี้แม่นางเฉิงเจ็ดเองก็ยังไม่เข้าใจ ว่าเพราะเหตุใดท่านแม่ถึงได้วิ่งหนีออกมาจากเรือนอย่างหวาดกลัวเช่นนั้น
“เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ” นางถาม
เรื่องเช่นนี้คงจะอธิบายให้เด็กน้อยคนหนึ่งเข้าใจได้ยาก ฮูหยินรองเฉิงทำได้เพียงฝืนยิ้มออกมาปลอบใจนาง
“ในบ้านเกิดเรื่องขึ้น เจ้ายังเด็กคงไม่เข้าใจ รอเจ้าโตกว่านี้ แม่จะเล่าให้เจ้าฟังเอง” นางเอ่ย “เจ้าวางใจเถิด ไม่นานพวกเราก็ได้กลับไปแล้ว”
แม้แม่นางเฉิงเจ็ดจะไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ ทว่าอาการตื่นตระหนกยามที่เห็นท่านแม่และคนที่ใกล้ชิดกันอย่างท่านป้าตบตีกันต่อหน้าต่อตานั้น คงไม่อาจคลายลงได้เพียงเพระคำปลอบประโลมเพียงไม่กี่ประโยค
“เมื่อครู่เจ้าได้ยินหรือไม่” ฮูหยินรองเฉิงถามพลางชี้นิ้วออกไปด้านนอก สีหน้าดูลำพองใจยิ่งนัก “ท่านป้าของเจ้าส่งคนมาแล้ว…”
แม่นางเฉิงเจ็ดน้ำตาร่วงอีกครั้ง ภาพของท่านป้าผู้ที่แสนใจดีมากำลังโถมตัวเข้ามาตบตีท่านแม่ก็ลอยขึ้นมาตรงหน้า ดวงหน้าเล็กนั้นพลันซีดเผือดในทันที
“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว” ฮูหยินรองเฉิงกอดนางไว้ทว่าในใจนั้นแสนเดือดดาล
นังสารเลวหวังสิบ ตบนางด่านางก็ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ ทำเอาลูกสาวนางต้องหวาดกลัวถึงเพียงนี้!
“นางไม่ได้มากลั่นแกล้งเราหรอก นางมาเชิญพี่สาวเจ้าต่างหาก” นางเอ่ยพลางยักคิ้วหลิ่วตา “พี่สาวเจ้ายั่วโมโหนางจนแทบอกแตกตาย แต่นางจะทำอย่างไรได้เล่า สุดท้ายนางยังต้องมาตามตัวพี่สาวเจ้าไปอยู่ดี ดังนั้นแล้วไม่มีอะไรจะต้องกลัว คอยดูเถิดไม่นางพวกเขาก็ต้องมาตามตัวเรากลับไป”
นางทั้งกล่อมทั้งปลอบแม่นางเฉิงเจ็ดในอ้อมกอด ไม่นานแม่นางเฉิงที่ทั้งตื่นกลัวทั้งเหนื่อยล้าก็หลับใหลไปนอนอ้อมอกของฮูหยินรองเฉิง
ฮูหยินรองเฉิงถอดหายใจอย่างโล่งอก เอื้อมมือไปบีบนวดบั้นเอวที่เจ็บปวด ก่อนจะลูบใบหน้าตัวเองไปมา พอสัมผัสโดนปากแผลก็เจ็บจนสะดุ้งตกใจร้องสูดปาก
นังสารเลวหวังสิบ! แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!
นางก่นด่าอยู่ในใจนับคำไม่ถ้วน ราวกับว่าจะช่วยคลายความเจ็บปวดลงได้บ้าง
นางเปิดประตูเดินออกมา ก็เห็นสาวใช้นางนั้นกำลังเดินเข้ามาในลานบ้าน
“ปั้นฉิน ปั้นฉิน” นางรีบตะโกนเรียกพลางสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้
ปั้นฉินหยุดฝีเท้าลงแล้วเหลียวไปมองนาง
“ฮูหยินรอง เมื่อไหร่พวกท่านจะไปเสียที นี่ฟ้าก็จะมืดแล้วนะเจ้าคะ” นางเอ่ย
นังบ่าวนี่กล้าไล่นางอย่างนั้นหรือ! หากเป็นแต่ก่อนแม้พวกเจ้าจะอ้อนวอนร้องขอให้ข้าอยู่ ข้าก็ไม่มีทางอยู่หรอก!
ฮูหยินรองเฉิงฝืนยิ้มออกมา
“โธ่ ปั้นฉิน เจ้าดูสิ เพราะเจียวเหนียงทำนายใหญ่โมโหเสียจนแทบจะอกแตกตาย ก่อเรื่องเสียขนาดนั้น แถมตอนที่พวกข้าไปเป็นพยานที่ศาล ฮูหยินให้ก็แทบจะกินหัวข้าอยู่แล้ว จะให้ข้ากลับไปได้อย่างไรเล่า” นางเอ่ยพลางยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา
ปั้นฉินสีหน้าดูลังเล
นั่นสินะ ที่นางพูดก็ถูก เช่นนั้น…จะทำอย่างไรเล่า
“ปั้นฉิน เมื่อครู่ข้าเห็นคนของฮูหยินใหญ่มาตามนายหญิงของเจ้าแล้ว” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยพลางยักคิ้ว “ท่าทางเรื่องใกล้จะจบแล้วล่ะ พวกเขาคงยอมแพ้แล้ว เจ้ารีบไปตามนายหญิงของเจ้ากลับมาเถิด อย่าได้หลบซ่อนตัวอีกเลย ยามนี้นางทำทุกอย่างได้ตามใจตนเองแล้ว นางจะต่อรองเช่นไรก็ได้ทั้งนั้น”
ปั้นฉินจ้องหน้านาง
“ฮูหยินรอง ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน” นางเอ่ย “นายหญิงของข้าออกไปเดินเล่นข้างนอก ไม่ได้หลบซ่อนตัวเสียหน่อย”
หนอย นังสาวใช้นี่เสแสร้งเก่งนักเชียว…
ก่อเรื่องจนท่านลุงของตัวเองโมโหจนเป็นลมล้มพับกลางศาล แถมยังเอาสมบัติของตระกูลไปให้พวกขุนนางจอมขูดรีดนั่นอีก ทำเรื่องเนรคุณถึงขนาดนี้ หากอิงตามกฎของตระกูลคงโดนโบยจนตายไปแล้ว
ไม่ได้หลบซ่อนอย่างนั้นหรือ แล้วเรียกอะไรเล่า
รองฮูหยินเฉิงกระตุกยิ้มมุมปาก
“อ๋อ จะเรียกว่าหลบก็ถูกอยู่เหมือนกันนะเจ้าคะ” ปั้นฉินยิ้มพลางชี้ไปข้างนอก ก่อนจะมองฮูหยินรองเฉิงหัวจรดเท้า “หลบไปหาความสงบน่ะเจ้าค่ะ”
ฮูหยินรองเฉิงหน้านิ่ง พลางมองสาวใช้เดินผ่านตนไป
“พ่อบ้านเฉา ท่านเข้ามาเถิด เรามาปรึกษาเรื่องที่นางหญิงฝากไว้กันหน่อย” ปั้นฉินเอ่ย
เสียงขายรับของผู้ชายดังขึ้นนอกประตูก่อนที่เขาจะเดินเข้ามา
ฮูหยินรองเฉิงเบี่ยงตัวหลบในทันใดก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นปิดใบหน้าของตัวเอง ทว่าพ่อบ้านเฉากลับเดินเข้ามาโดยไม่แลตามองนางเลยสักนิด
หลบไปหาความสงบอย่างนั้นหรือ
นี่นางจะทิ้งเรื่องราววุ่นวายที่ตัวเองก่อขึ้นไว้อย่างนี้หรือ แล้วจะทำเช่นนั้นทำไมตั้งแต่แรก!
ณ จวนเจ้าเมืองเจียงโจว กลิ่นหอมของชาอบอวลไปทั่วห้องหนังสือ
ดื่มชาย่างสักถ้วยหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ช่างเป็นวิธีผ่อนคลายที่ดีไม่น้อย
“เซี่ยงคุน เจ้าลองชิม” เจ้าเมืองซ่งรินชาก่อนจะยื่นให้ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยตัวเอง
ยามนี้บนหน้าของเขายิ้มแย้มแสนอ่อนโยน ไม่มีความขุ่นเคืองใจแม้แต่นิด
ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่รีบเข้าไปรับด้วยสองมือ ก่อนจะก้มหัวคำนับขอบคุณแล้วยกขายขึ้นดื่ม
“ชาดี ชาดี ฝีมือเลือกชาของใต้เท้าช่างเหนือชั้นขึ้นทุกวัน” เขาเอ่ยชมไม่หยุดปาก
“เซี่ยงคุน เพราะเจ้าเองก็ชอบชา ถึงได้รู้ว่าเป็นชาดี ส่วนข้านั้นรู้เพียงแค่ว่าดื่มแล้วผ่อนคลาย ดื่มแล้วแก้กระหาย” พั่นทงที่นั่งอยู่ข้างกัญชาขึ้นดื่มพลางเอ่ย
ภายในห้องมีแต่เสียงหัวเราะพูดคุยสนุกสนาน ไม่มีสายตาเย็นชาเชือดเฉือนเหมือนดั่งในศาลเมื่อครู่แม้แต่น้อย
พอชาหมด ทั้งสามวางถ้วยชาลง
“ใต้เท้า ท่านว่าอย่างไรคดีนี้ก็ต้องพิจารณากันต่อไปใช่หรือไม่…” ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่เอ่ย
ทงพั่นที่อยู่ข้างกันก็พยักหน้ารัว
“เรื่องนั้น…” เขาเอ่ยออกมา ทว่าพูดได้ทำเดียวก็หันไปเห็นเจ้าเมืองซ่งที่อยู่อีกฝั่งสีหน้าครุ่นคิด จึงรีบหยุดพูดในทันที
ตาสองคู่สี่ดวงจับจ้องไปที่เจ้าเมืองซ่งอย่างคาดหวัง เจ้าเมืองซ่งเหมือนจะได้ยินทั้งสองร่ำร้องอยู่ในใจว่า ตกลงสิ ตกลงสิ ตกลงสิ แน่นอน แน่นอน แน่นอนว่าต้องพิจารณากันต่อไป เพราะว่านั่นคือเงิน เงิน และเงินอย่างไรเล่า…
เจ้าเมืองซ่งเผลอยิ้มออกมา เงยหน้าขึ้นแล้วหันไปตะโกนเรียกให้คน จากนั้นชิงเค่อผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา
“เรื่องนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” เขาถาม
ชิงเค่อส่ายหน้า
“ตอนที่แยกย้ายกัน คนก็กลับไป ไม่เห็นว่าจะพูดอะไรขอรับ จนถึงตอนนี้ก็ไม่ได้มาหาอีก” เขาเอ่ย
เจ้าเมืองซ่งยกมือขึ้นมาลูบเครา
แม้ผลสุดท้ายที่ออกมาจะยังไม่ชัดเจน แต่ทุกคนคงรู้อยู่แก่ใจว่าคดีนี้จะจบลงเช่นไร นอกเสียจากโจทก์จะถอนฟ้องเพียงเท่านั้น
นายใหญ่เฉิงโมโหจนแทบจะอกแตกตาย แต่กลายเป็นว่ายามนี้ตระกูลเฉิงนั้นเสียเปรียบ ส่วนตระกูลโจวนั้นกลับได้ประโยชน์ไป แม่นมตระกูลฉินก็พากันกลับไป โดยไม่ได้ขอพบหรือพูดอะไรแม้แต่น้อย ท่าทางพวกนางคงพอใจกับผลสุดท้ายที่เกิดขึ้นกระมัง
ผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่และทงพั่นหันมาสบตากัน ไม่เข้าในสิ่งที่ทั้งสองคนพูด
“ใต้เท้า มีอะไรกังวลใจหรือ” ทงพั่นถามหยั่งเชิง
ดูท่าทางตอนนี้คงต้องปล่อยให้เป็นไปเสียแล้ว
เจ้าเมืองซ่งพยักหน้า ก่อนจะยิ้มให้พวกเขา
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” เขาเอ่ยแล้วผายมือออกไป “คดีนี้ก็ทำไปตามกฎหมาย ทำตามกฎหมาย”
เช่นนี้ก็แปลว่าเห็นด้วยแล้วใช่หรือไม่ ก็แหงละสิ จะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร ผู้ช่วยเจ้าเมืองและทงพั่นยิ้ม
“ดื่มชาเถิด ดื่มชาเถิด”
ทุกคนต่างเอ่ยขึ้น บรรยากาศในห้องหนังสือช่างครื้นเครง
ทว่าบรรยากาศในเรือนตระกูลเฉิงกลับคุกรุ่น สีหน้าของผู้คนที่เดินเข้าออกดูตื่นตระหนก จังหวะก้าวเดินก็เร็วกว่าปกติมากโข
สาวใช้นางหนึ่งเดินถือถ้วยยาเข้าไปในห้องโถงอย่างรีบร้อน จนเกือบจะชนเข้ากับแม่นมที่เดินออกมาก ทั้งสองสบตากัน คนหนึ่งไม่มีกระจิตกระใจจนด่า ส่วนอีกคนหนึ่งก็ไม่มีกระจิตกระใจจะเถียง จากนั้นจึงหลบให้อีกฝ่ายเดินผ่านไป
ภายในห้อง นายใหญ่เฉิงพยายามจะยันตัวลุกขึ้นมาอีกครั้ง ฮูหยินใหญ่เฉิงจึงรีบเข้าไปพยุง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ นางออกไปข้างนอกอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่เฉิงเอ่ยถามเสียงหอบกระชั้น “ไปตั้งแต่เมื่อใด ไปที่ไหน”
แม่นมส่ายหน้า
“บอกว่าออกไปตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ แต่ไม่รู้ไปที่ใด” นางเอ่ยสีหน้าร้อนรน
“แล้วไม่ได้บอกหรือว่าจะกลับมาเมื่อใด” นายใหญ่เฉิงเอ่ยค้ำร่างไว้กับเตียง
แม่นมก้มหัวพยักหน้า
“แต่ว่าปั้นฉินกับพ่อบ้านเฉาก็ยังอยู่เจ้าค่ะ พวกเขาบอกว่าหน้ามีเรื่องอันใดก็บอกกับพวกเขาแทนก็ได้เจ้าค่ะ” นางนึกขึ้นไปก็เงยหน้าขึ้นบอก
นายใหญ่เฉิงมองหน้านาง มุมปากกระตุกราวกับกำลังจะยิ้มออกมา
“บอกกับพวกเขาอย่างนั้นหรือ…” เขาเอ่ยพึมพำ
แน่นอนว่าลูกสาวคนโตของตระกูลไม่มีทางไปขึ้นศาลด้วยตนเอง ให้สาวใช้ไปเป็นตัวแทนก็เพียงพอแล้ว
แม้บ่าวจะเป็นตัวแทนให้แก่ในนายในศาลได้ แต่ก็ไม่สามารถตัดสินใจแทนคนเป็นนายได้อย่างแน่นอน
‘ขออภัยนายใหญ่ด้วย นายหญิงของพวกข้ากำชับไว้…’
‘พวกข้าไม่กล้าตัดสินใจกันเอง รอถามนายหญิงของพวกข้าตอนนางกับมาจะดีกว่า…’
นายใหญ่เฉิงนึกออกเลยว่าบ่าวสองคนนั้นจะตอบตนว่าอย่างไร
“ดี ดี” เขาเอ่ยเสียงสั่น ยิ้มพลางเอื้อมมือไปทุบลงบนขอบเตียง “ดี!”
ฮูหยินรองเฉิงและคนอื่นๆ พาลสะดุ้งตกใจ จนไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร…
“นางตั้งหน้าตั้งตาทำลายตระกูลเฉิงของเรา!” นายใหญ่เฉิงตะโกนลั่น ยกมือชี้นิ้วออกไปด้านนอก สองตาเบิกโพลง ใบหน้าแดงก่ำนั้นสั่นเครือ “เจ้าเล่ห์นัก ร้ายกาจนัก!”
เมื่อพูดจบเขาก็ล้มลงไปในทันที เสียงตะโกนกรีดร้องและเสียงร้องไห้ดังวุ่นวายไปทั่วทั้งห้อง
…………………….