ตอนที่ 39
ยิ้มสู้
“ทำไมเจ้าไม่ไปหาไป๋จูเหวิน”ฮั่วเจียนที่นั่งอยู่ภายในห้องรับรองหันไปถามซูฮวาที่ทำหน้าที่สาวรับใช้เช่นปกติ
“น้องไป๋….ไป๋จูเหวินเก็บตัวอยู่แต่ในห้องตั้งแต่งานเลี้ยงจบแล้ว ข้าก็เข้าไปหาเขาไม่ได้เจ้าค่ะ”ซูฮวาตอบพลางก้มหน้านิ่ง ในงานเลี้ยงเธอหาไป๋จูเหวินไม่พบ พองานเลี้ยงจบก็ลองไปหาเขาที่ห้องพักหวังจะพูดคุยให้กำลังใจก่อนจะเริ่มงานประลอง แต่ไป๋จูเหวินกลับปิดห้องเงียบแถมบ่าวรับใช้อย่างต้าชิงและต้าเฉินยังเฝ้าอยู่หน้าห้องคอยไม่ให้คนอื่นรบกวนอีกต่างหาก
“เจ้าโง่ ที่มันไม่ให้ผู้อื่นรบกวนก็เพราะมันกำลังฝึกวิชาอยู่ยังไงล่ะ นี่คือโอกาสทองของเจ้าไม่ใช่หรืออย่างไร”ฮั่วเจียนต่อว่าซูฮวาพลางกำหมัดแน่น มันส่งซูฮวาไปสืบกับไป๋จูเหวินมาหลายวันแล้ว แต่ผลลับที่ได้กลับมีแต่วิชาของซูฮวาพัฒนาขึ้นเท่านั้น ตัวมันไม่ได้อะไรจากการสืบครั้งนี้เลย ทุกครั้งที่ซูฮวาไปฝึกกับไป๋จูเหวิน การฝึกของมันจะเป็นการฝึกธรรมดาอย่างวิชาตัวเบาหรืออาวุธลับเท่านั้น มันไม่เคยฝึกวิชาฝ่ามือที่มันใช้ตบหน้าตัวฮั่วเจียนให้ใคนเห็นเลยแม้แต่คนเดียว
หากเป็นที่สำนักมันคงแอบไปฝึกคนเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เพราะคราวนี้ไป๋จูเหวินไม่ได้ฝึกที่สำนัก และการเดินเพ่นพ่านในสำนักคนอื่นคงไม่ใช่เรื่องดี ทำให้วันนี้ไป๋จูเหวินอาจจะฝึกวิชาฝ่ามือในห้องรับรองก็เป็นได้ แต่สาวใช้ที่มันส่งไปสืบข่าวกลับออกมาง่ายๆเพราะเขาเจ้าข้ารับใช้สองคนนั้นไม่ให้เข้าพบเนี่ยนะ…
“พอแล้ว ข้าจะไปเอง”ฮั่วเจียนคำรามพลางลุกขึ้นยืน ความจริงมันอยากจะฝึกฝนพลังอีกสักหน่อย แต่เพราะอดสงสัยไม่ได้ว่าไป๋จูเหวินฝึกฝนอย่างไร มันเลยลุกขึ้นก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ห้องของไป๋จูเหวินในทันที
ฟุบ! ด้วยวิชาตัวเบาของฮั่วเจียน แม้ต้าชิงต้าเฉินจะพัฒนาไปมากแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงระดับที่จะจับสัมผัสฮั่วเจียนได้ง่ายๆ ไม่นานฮั่วเจียนก็ปีนขึ้นมาบนหลังคา ก่อนจะหย่อนตัวลงไปที่หน้าต่างห้องของไป๋จูเหวิน
“บ้าน่า”ทันทีที่สัมผัสพลังวิญญาณในห้องของไป๋จูเหวิน ดวงตาของฮั่วเจียนก็สั่นสะท้าน เจ้าเด็กนั่นเลื่อนเป็นระดับ ก่อกำเนิด ขั้น 10 แล้ว เมื่อวานมันพึ่งจะขั้น 8 เองไม่ใช่หรืออย่างไร
“……”ฮั่วเจียนนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะแอบมองเข้าไปในห้องของไป๋จูเหวิน มันจะต้องมีเคล็ดวิชาที่ทำให้ฝึกฝนอย่างรวดเร็วเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นมันคงไม่สามารถพัฒนาไปได้ไวขนาดนี้ แต่ทันทีที่มองเข้าไปในห้องของไป๋จูเหวิน ฮั่วเจียนก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง เพราะยามนี้ไป๋จูเหวินกำลังนั่งฝึกวิชาอย่างที่มันคิดเอาไว้ แต่ร่างกายของมันกลับมีท่าทีผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด กล้ามเนื้อของมันยามนั่งสมาธิเกร็งแน่นราวกับกำลังยกของหนัก เส้นเลือดตามร่างกายปูดโปนออกมาราวกับจะแตกออก ยิ่งพลังวิญญาณที่พวยพุ่งออกมาราวกับคุ้มคลั่งทำให้มันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“อสูร..”ฮั่วเจียนพึมพำด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ
โครม! อยู่ๆร่างของฮั่วเจียนก็กระเด็นออกมาจากหน้าต่าง สิ่งเดียวที่มันเห็นก่อนหมดสติคือดวงตาสีแดงฉานของไป๋จูเหวิน คำถามที่ว่ามันโดนอะไรเข้าไปคงได้แต่เก็บไปคิดต่อในความฝันเสียแล้ว
“นายน้อย”ต้าชิงเป็นคนแรกที่เข้ามาเมื่อได้ยินเสียงกระแทก แต่ทันทีที่เห็นว่าเป็นฮั่วเจียนพวกมันก็มีสีหน้าตกใจทันที
“ดูเหมือนศิษย์พี่ฮั่วเจียนจะบังเอิญผ่านมา พี่ชิงท่านพาเขาไปส่งที่ห้องได้หรือไม่”ไป๋จูเหวินว่าพลางหายใจหนักๆ เคล็ดวิชาโลหิตมังกรที่ตนกำลังฝึกฝนนั้นเป็นเคล็ดวิชาที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย และทันทีที่เริ่มฝึกมันก็เจ้าใจทันทีว่าทำไมอาวุโสเทียนหมิงถึงไม่ยอมให้ตนบอกวิชานี้แก่คนอื่น นั่นเพราะทันทีที่ฝึกโลหิตในร่างแทบจะเผาไหม้ราวกับไฟ ร่างกายร้อนจัดเหมือนกับกำลังถูกต้มอยู่ในน้ำร้อน เรียกได้ว่าสมชื่อวิชาโลหิตมังกรเพราะยามฝึกฝนมันสัมผัสได้ถึงโลหิตทุกหยดในร่างที่กำลังเดือดพล่านราวกับไม่ใช่โลหิตของตนเอง มันให้ความรู้สึกราวกับนำโลหิตของมังกรมาไหลเวียนในร่างจริงๆ
“ขอรับนายน้อย”ต้าชิงตอบพลางอุ้มร่างของฮั่วเจียนขึ้น
“พี่ต้าชิง พี่ต้าเฉิน”แต่ก่อนที่ต้าชิงจะเดินออกไป ไป๋จูเหวินก็เรียกพวกมันเอาไว้ก่อน
“ขอรับนายน้อย”ต้าชิงหันมาถามขณะแบกร่างของฮั่วเจียนเอาไว้บนไหล่
“พรุ่งนี้ข้าอาจจะไม่ได้ไปดูการประลองของพวกท่าน ข้าหวังว่าพวกท่านจะสู้อย่างเต็มที่”ไป๋จูเหวินพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด แต่ยามนี้พลังของมันยังไม่คงที่เพราะมันกำลังเริ่มสร้างผลึกวิญญาณในร่างเพื่อก้าวเข้าสู้ขั้นผลึกวิญญาณ มันไม่มั่นใจว่าหากนั่งฝึกพลังต่อมันจะสามารถหยุดเพื่อไปชมการประลองของต้าชิงและต้าเฉินได้หรือไม่
“ไม่ต้องกังวลขอรับนายน้อย”ต้าชิงว่าพลางก้มหัวลงเล็กน้อย
“พวกเราจะนำชัยชนะมาฝากท่านเอง”พูดจบต้าชิงก็นพร่างของฮั่วเจียนไปส่งที่ห้อง ปล่อยให้ต้าเฉินยืนเฝ้าหน้าห้องของนายน้อยก่อนที่มันจะรีบกลับมาทำหน้าที่เช่นกัน
.
.
ในเช้าวันต่อมา ก่อนที่งานประลองจะเริ่มประตูของไป๋จูเหวินก็เปิดขึ้นเสียก่อน ทันทีที่ร่างของนายน้อยเดินออกมาจากห้องต้าชิงและต้าเฉินต่างก็มีท่าทีตกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นยินดีในทันที
“นายน้อย ท่านทำสำเร็จแล้ว”ต้าเฉินพูดอย่างตื่นเต้นหลังจากสัมผัสพลังของนายน้อยแล้ว ตัวมันยังอยู่ที่ขั้น 7 ทำให้ไม่สามารถวัดพลังของนายน้อยได้อย่างชัดเจน แต่เพราะมันจดจำพลังของนายน้อยเมื่อคืนได้ดีทำให้พลังของนายน้อยยามนี้ทำให้มันทราบได้เลยว่านายน้อยทำสำเร็จแล้ว
“โชคดีที่ทันเวลา ข้าจะได้ดูท่านทั้งสองประลองด้วย”ไป๋จูเหวินยิ้มพลางเดินตามต้าชิงไปยังลานประลองที่สำนักยอดเมฆาจัดเตรียมเอาไว้
“ไป๋จูเหวิน เจ้ามาแล้ว…”อาจารย์ลี่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝ่ายอาจารย์ของสำนักธารโหลิตเห็นไป๋จูเหวินเดินเข้ามาก็ทักทายทันที แต่พอสัมผัสพลังของไป๋จูเหวินใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วก็ยิ่งซีดเข้าไปอีก แต่เงียบไปสักพักอาจารย์ลี่ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา
“เป็นอะไรไปท่านพี่”อาจารย์หยานเห็นอาจารย์ลี่หัวเราะแปลกๆก็หันมาให้ความสนใจทันที แต่พอเห็นว่าศิษย์เอกของสำนักมันมาแล้วอาจารย์หยานก็ลอบตรวจสิบพลังของมันทันที หลังจากนั้นทั้งอาจารย์หยานและอาจารย์ลี่ต่างก็มองไปที่สำนักยอดเมฆาพลางหัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย แน่นอนว่ารองเจ้าสำนักและเจ้าสำนักเองต่างก็เห็นท่าทีแปลกๆของอาจารย์ลี่และอาจารย์หยานเช่นกัน และไม่นานเสียงหัวเราะของสำนักธารโลหิตก็ทำเอาอีกสองสำนักต่างงุนงงไปตามๆกันว่าเกิดอะไรขึ้น
ทั้งนี้เพราะเป็นการประลองแบบสามคน เจ้าสำนักยอดเมฆาจึงให้ทั้ง 3 คนที่อยู่ในระดับการประลองเดียวกันจับฉลากเสียก่อนว่าใครจะสู้กับใครเป็นคู่แรก และค่อนสลับกันประลองจนครบทั้ง 3 คน ทั้งนี้การประลองของสำนักยอดเมฆาเน้นความปรอดภัยของศิษย์มากกว่าของสำนักธารโลหิต อาวุธที่จัดเอาไว้ทั้งหมดล้วนเป็นไม้ และมีอาจารย์ท่านหนึ่งคอยให้คำตัดสินว่าใครแพ้หรือชนะ การประลองส่วนใหญ่จึงบาดเจ็บกันไม่มาก
หลังจากกล่าวเปิดงานจนยืดยาว คู่ประลองลำดับที่ 10 ของทั้ง 3 สำนักก็ลงมาจับฉลากเพื่อแบ่งลำดับการประลอง ซึ่งคนจากสำนักยอดเมฆาเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้อย่างงดงาม ทำให้สีหน้าของเจ้าสำนักยอดเมฆาเบิกบานไม่น้อย
“สมแล้วจริงๆที่ท่านเจ้าสำนักยอดเมฆาได้เคล็กฝึกฝนพลังจากท่านอาวุโสเทียนหมิง”เจ้าสำนักบุปผชาติว่าพลางปลายตามองเจ้าสำนักยอดเมฆา ปกติสำนักของนางก็ไม่ค่อยชนะอยู่แล้วเพราะเน้นฝึกฝนสตรี แต่ไม่ถึงกับแพ้อย่างขาดลอยเช่นในวันนี้ แต่พอเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเจ้าสำนักยอดเมฆานางก็มีท่าทีไม่พอใจ ก่อนจะกล่าวชมอาวุโสเทียนหมิงราวกับจะยกความดีความชอบให้กับท่านแทนที่จะเป็นเจ้าสำนักยอดเมฆา
“ต่อให้ได้ยอดเคล็กฝึกฝนมา แต่หากศิษย์ไม่เก่งกาจก็คงไม่สามารถฝึกฝนได้หรอก”เจ้าสำนักยอดเมฆาว่าพลางมองกระลองลองลำดับที่ 9 อย่างเบิกบานใจ นี่เป็นอีกครั้งแล้วที่สำนักยอดเมฆาเอาชนะไปด้วยพลังวิญญาณที่มากกว่าอย่างมหาศาล
“ท่านเจ้าสำนักยอดเมฆาพูดมาได้ถูกต้อง การมีศิษย์ผู้เฉลียวฉลาดนับว่าเป็นบุญกับสำนักจริงๆ”เจ้าสำนักธารโลหิตพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ราวกับศิษย์ของตนไม่ได้พ่ายแพ้เลยแม้แต่น้อย ความจริงใบหน้าของมันยิ้มแย้มเสียจนน่าสงสัยมากกว่า
ในการประลองลำดับที่ 8 สำนักยอดเมฆายังคงเอาชนะทั้งสองสำนักได้ เพียงแต่รอบนี้สำนักยอดเมฆาไม่ได้ชนะขาดอีกแล้ว ตัวแทนลำดับที่ 8 ของสำนักธารโลหิตสู้อย่างดุเดือดจนทำให้ตัวแทนจากสำนักยอดเมฆากระอักกระอ่าวนไปไม่น้อย แต่สุดท้ายก็พรากท่าเพราะพลังที่ห่างกันกว่า 2 ระดับ
“สวรรค์ช่างมีตาจริงๆ”ต้าชิงพูดพลางเดินขึ้นมาบนลานประลองด้วยรอยยิ้ม คราแรกมันเจ็บใจนิดหน่อยที่อันดับต่ำกว่าน้องชายอย่างต้าเฉิน แต่เมื่อรู้ว่าใครเป็นคู่ต่อสู้ของมันในงานประลองสามสำนัก มันแทบจะตระเตรียมเครื่องเส้นไหว้ขอบคุณสวรรค์ที่ให้โอกาสแก่มันในครั้งนี้
“เจ้า…คิดว่าแค่ระดับพลังขั้น 7 จะสู้ข้าได้งั้นหรือ”ปิงเฉิงคำรามพลางกัดฟันแน่น ตั้งแต่มันไล่ต้าชิงต้าเฉินไปก็ผ่านมาร่วม 2 เดือน ตัวมันพลังวิญญาณพัฒนาไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้ก้าวไปยังขั้นที่ 9 แต่ต้าชิงกลับเลื่อนพรวดพราดมาเป็นขั้นที่ 7 เกือบจะเท่ากับตัวมัน ทำเอาปิงเฉิงเสียหน้าอย่างมาก แต่เมื่อวานมันก็โดนอาจารย์ต่อว่าเป็นการใหญ่ที่ไม่รับพวกต้าชิงต้าเฉินและไป๋จูเหวินเป็นศิษย์สำนัก
การประลองในวันนี้ปิงเฉิงไม่คิดแค่จะเอาชนะเท่านั้น มันต้องการจะไล่ต้อนต้าชิงอย่างหนักเพื่อแสงให้อาจารย์ของมันเห็นว่าต้าชิงต้าเฉินมันก็แค่ขยะ ไม่มีค่าพอที่จะเข้าสำนักแต่อย่าไร