วันฝึกซ้อมมาถึงหยางชูยืนอยู่บนกำแพงมองกองทัพฝ่ายซ้ายที่สวมชุดเกราะสว่างดูเข้มงวดแล้วถอนหายใจ “กองทัพซีเป่ยอย่างไรก็คือกองทัพซีเป่ย”
กองทัพฝ่ายขวาที่เป่ยเทียนเหมินในเรื่องของวินัยกองกำลังทหารนั้นไม่ได้แย่ แต่เมื่อเทียบกับกองทัพฝ่ายซ้ายแล้วกลิ่นอายดุร้ายรุนแรงนั้นห่างชั้นกันอย่างมาก บุคลิกเช่นนี้เป็นผลมาจากการทำสงครามไม่ใช่ของปลอมแน่นอน
จงรุ่ยเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ท่านเสียใจตอนนี้ยังทันอย่างไรท่านพ่อก็บอกว่าหากท่านแพ้พวกเราก็ต้องขออภัยท่านอยู่ดี” หยางชูส่งสายตาดูถูกเหยียดหยามไปให้เขาเมินที่จะตอบกลับ
น้ำเสียงของจงรุ่ยกระฉับกระเฉงความตั้งใจเดิมของเขาคือการทำให้บรรยากาศผ่อนคลายไม่คิดว่าหยางชูจะทำตัวเช่นนี้เขาจึงอารมณ์ขึ้นอีกครั้ง
โชคดีที่เขานึกถึงคำพูดของท่านพ่อได้ทันจงรุ่ยอดทนไว้แล้วทำตัวให้มีจิตวิญญาณของการต่อสู้ “ได้! ถึงตอนนั้นอย่าร้องไห้ก็แล้วกัน!” พูดจบเขาก็เดินจากไป
หมิงเวยชำเลืองมองเขาและพูดว่า “ดูเหมือนตระกูลจงจะรู้แผนการของท่านนะเจ้าคะ”
หยางชูหัวเราะ “หากตอนนี้ยังไม่เข้าใจตระกูลนี้ก็ควรที่จะจบสิ้นลงเพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ฝ่ายไหน”
“ไม่ว่าเขาจะอยู่ฝ่ายไหนหากจับคนเบื้องหลังได้ก็เป็นอันรู้กันเจ้าค่ะ”
“อืม”
“เข้าแถว!” เสียงของจงรุ่ยดังขึ้นคนที่เขาเลือกมาเดินมารวมตัวกันทันที
หยางชูเหลือบมองทางด้านตระกูลหยางเองก็เตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายลงจากหอประตูเมือง และรวมตัวกันนอกประตู
จงรุ่ยพูดว่า “กฎของการฝึกซ้อมท่านทราบหรือไม่”
หยางชูพยักหน้า “แน่นอน”
จงรุ่ยตะโกนจากนั้นก็มีทหารระดับล่างนายหนึ่งมาพร้อมแผนที่สองฉบับ
“ของท่านกับข้าอย่างละหนึ่ง ท่านดูก่อนได้สองแผ่นนี้เหมือนกันท่านสามารถเลือกก่อนได้”
หยางชูสุ่มเลือกมาหนึ่งฉบับซึ่งตระกูลจงไม่ได้วางอุบายอะไรในเรื่องนี้
จงรุ่ยชี้ไปที่จุดหนึ่ง “เห็นหรือไม่ ผู้ใดไปถึงยอดเขานั่นก่อนผู้นั้นชนะ ข้าคุ้นเคยกับภูมิประเทศที่นี่จึงให้เวลาท่านสองชั่วยาม ว่าอย่างไร”
“สองชั่วยามนานเกินไป” หยางชูยิ้ม
จงรุ่ยแค่นหัวเราะ “เกรงว่าสักพักท่านจะไม่ชอบที่มันสั้นเกินไป!”
“ข้าจะไม่ชอบที่มันสั้นทำไมกันภรรยานั้นยังไม่ว่าอะไรเลย”
“ท่าน…” จงรุ่ยไม่เคยเห็นคนปากร้ายเช่นนี้มาก่อน แต่เขาโกรธไม่ได้เขาจึงทำได้เพียงอดทนและพูดว่า “อย่างไรก็เวลาสองชั่วยามท่านต้องการหรือไม่ก็ตามใจ”
“ได้ๆๆ คุณชายจงสุภาพเช่นนี้ข้าจะไม่ชื่นชมได้อย่างไร อาสวนตรวจของแล้วออกเดินทาง!”
“ขอรับ”
ทุกคนในตระกูลหยางเตรียมพร้อมสำหรับการรบ ถุงน้ำ และสิ่งของอื่นๆ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ขาดเหลืออะไรก็ดึงบังเหียนขี่ม้าเข้าไปในหุบเขา รอจนพวกเขาหายลับตาไป บุรุษลึกลับก็เดินออกจากประตูเมืองอย่างช้าๆ และยืนอยู่ข้างกายจงรุ่ย
จงรุ่ยเหลือบมองเขาแล้วพูดว่า “สองชั่วยามคือเวลาที่ข้าให้พวกท่าน เหตุใดไม่รีบไปล่ะ”
บุรุษลึกลับพูด “คุณชายใหญ่คำนวณมาอย่างดี แต่เวลาสองชั่วยามจะง่ายเพียงนั้นเลยหรือ”
“ก่อนหน้านี้เขาอยู่ในจวนพวกท่านไม่คิดปรากฏกายแล้วจะให้ข้าทำอย่างไร เด็กนั่นมีทิฐิสูงเช่นนั้นไม่ใช่ว่าข้าไม่ช่วยพวกท่านหยั่งเชิงเขา ตอนนี้เขากำลังสงสัยในตระกูลของเราไม่ว่าเราจะทำอะไรเขาจะระวังตัวมากขึ้นเท่านั้น”
บุรุษลึกลับพยักหน้า “ช่างเถอะ ลำบากคุณชายใหญ่แล้ว”
จงรุ่ยส่ายหน้า “พวกเราแค่ทำในสิ่งที่พวกเราต้องการเมื่อเรื่องนี้จบลงพวกเราตระกูลจงก็ไม่ติดค้างอะไรพวกท่านอีก”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
………
เมื่อม้าเร็วเดินไปได้ครึ่งชั่วยามหมิงเวยก็สั่งห้าม “หยุด!”
คนทั้งหมดหยุดลงหยางชูถามขึ้น “ทำไมหรือ”
งูขาวตัวเล็กๆ ในแขนเสื้อของนางเลื้อยออกมามันกระโดดลงไปในพงหญ้าและหายตัวไป
หมิงเวยพูด “เสี่ยวไป๋พบอะไรบางอย่างข้าจะไปพบคนที่ตามหลังพวกเรามาสักพัก”
“ไปผู้เดียวหรือ เหตุใดไม่ให้ศิษย์พี่ไปด้วย”
หนิงซิวที่อยู่ข้างกายพูดอย่างเย็นชา “ตอนข้าไปก็ไปผู้เดียวไม่ใช่หรือ”ลำเอียงอย่างเห็นได้ชัดอะไรเช่นนี้
หยางชูไม่เขินอาย “ศิษย์พี่มีประสบการณ์โชกโชนแล้ว”
“หึ!” หนิงซิวไม่สนใจเขาอีก
หมิงเวยพูดว่า “ข้าผู้เดียวก็พอแล้วอีกฝ่ายมีไม่เยอะ ถึงข้าสู้ไม่ไหวก็หนีออกมาได้ให้อาจารย์อยู่ข้างกายท่านเถอะเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุขึ้น”
“ก็ได้” หยางชูตกลงอย่างไม่เต็มใจ “อย่าบาดเจ็บกลับมาล่ะ”
“รู้แล้วเจ้าค่ะ”
ทุกคนจะเดินหน้าต่อไปในขณะที่หมิงเวยหันม้ากลับแล้ววิ่งไปทางอื่นยิ่งวิ่งออกไปนางยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ อีกฝ่ายกำลังใช้ทางลัด และตั้งใจจะอ้อมไปดักหน้าพวกเขา
วางแผนที่จะซุ่มโจมตีหรือ หมิงเวยคิดอยู่ครู่หนึ่งนางทิ้งม้าไว้แล้วเดินเท้าแทน ขณะที่นางกำลังเดินก็สังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบพบว่าต้นไม้หรือหินมีการเคลื่อนย้ายเป็นครั้งคราว นางเดินเช่นนี้ต่อไปสักพักก็ได้ยินเสียงบางอย่างที่แผ่วเบาจึงหยิบยันต์ออกมาแล้วโปรยออกไป
เสียงกีบม้าแผ่วเบาดังก้องไปทั่วหุบเขาอีกฝ่ายมีสามคนหนึ่งในนั้นพูดขึ้นว่า
“ใต้เท้า ท่านลองฟังดูพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากเราแล้ว”
บุรุษลึกลับมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “ไปซุ่มโจมตีตรงนั้น”
“ขอรับ” พื้นที่ที่บุรุษลึกลับเลือกเป็นช่องแคบที่ด้านหนึ่งเป็นยอดเขาอีกด้านหนึ่งเป็นป่าทึบ พวกเขาวางเชือกบนพื้นเพื่อให้ม้าสะดุดล้ม และขุดหลุมที่มีความลึกต่างกันอย่างชำนาญ
เสียงฝีเท้าม้าดังเข้ามาใกล้หมิงเวยนอนคว่ำอยู่บนยอดเขา และเห็นว่าพวกเขาขุดหลุมไปพอสมควรแล้วจึงส่งกระดาษยันต์กองหนึ่งให้งูขาว
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเงาหนึ่งวิ่งปรากฏอยู่บนถนน คนทั้งสามที่ซุ่มโจมตีกลั้นหายใจ และในไม่ช้าคนผู้นั้นก็วิ่งมาอยู่ตรงหน้าเชือกที่วางไว้
คนผู้นั้นร้องเสียงหลง และหงายหลังล้มลงบนพื้น
“ลงมือ!” บุรุษลึกลับนำคนของตนเองออกไป พวกเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนซึ่งก็คือคนตรงหน้าจึงอาศัยช่วงเวลาที่คนล้มลงกับพื้นจับกุมเป้าหมายที่กำลังคิดจะหนี แต่บุรุษลึกลับวิ่งไปไม่กี่ก้าวกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เสียง ‘ฟิ้ว’ ลูกธนูหน้าไม้ถูกยิงออกมา เขาตกใจแล้วรีบกระโดดหลบ
‘ฟิ้วๆ!’
ลูกธนูหน้าไม้ถูกยิงออกมาติดๆ กัน และในที่สุดเขาก็ถูกลูกธนูหน้าไม้ยิงทะลุเข้าที่ไหล่จนมีเลือดไหลหยดลงมา
“ผู้ใดกัน!” บุรุษลึกลับขว้างกระดาษยันต์ในมือออกด้วยความโกรธ “ออกมา!”
มีเงาหนึ่งโผล่ขึ้นมาหมิงเวยยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วหัวเราะ “ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีนามว่าอะไรหรือเจ้าคะ”
ใบหน้าของบุรุษลึกลับมืดครึ้มเขาพูดเสียงเยียบเย็น “ที่แท้ท่านก็มีเคล็ดวิชา!”
“ก็ธรรมดาเจ้าค่ะ” หมิงเวยมองเขา “แต่ท่านอ่อนแอกว่าที่ข้าคิดไว้มาก”
บุรุษลึกลับแค่นหัวเราะ “หากไม่ใช่เพราะอุบายของท่านพวกเราสู้ตัวต่อตัวยังไม่รู้เลยว่าผู้ใดจะแพ้!”
“พูดเช่นนั้นมีความหมายอื่นแอบแฝงด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ” หมิงเวยเล่นหน้าไม้เล็กๆ ขลุ่ยของนางตกอยู่ที่ทุ่งหญ้าในขณะที่กำลังหลบหนีการตามล่าซึ่งตอนนี้ยังหาอย่างอื่นมาแทนที่ไม่ได้
“ท่านเป็นผู้ใดกันแน่เหตุใดต้องจับตาดูพวกเราด้วย”
บุรุษลึกลับไม่ตอบ แต่ส่งสายตาให้คนของตน ชายสองคนรีบพุ่งมาข้างหน้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หมิงเวยพลิกตัวกระโดดลูกธนูหน้าไม้ในมือพุ่งออกไปอีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่อยู่ใกล้เกินไปจึงไม่ง่ายที่จะยิงโดน นางดูจำนวนลูกธนูหน้าไม้ที่เหลืออยู่แล้วเข้าไปต่อสู้ในระยะประชิดแทน ทั้งสี่คนรุมเข้าต่อสู้กัน
ในตอนนั้นบนยอดเขาห่างออกไปเล็กน้อยมีเงาดำมองออกไปในระยะไกลครู่หนึ่งจากนั้นก็แค่นหัวเราะแล้วเดินไปอีกทาง ทิ้งนางไว้ที่นี่แล้วไปจัดการกับอีกด้านหนึ่ง
…………