บทที่ 400 ข้ารับใช้เก่า

คู่ชะตาบันดาลรัก

เหล่าตระกูลหยางควบม้าไปตลอดทาง แต่หนิงซิวรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงตะโกนขึ้น “หยุด!”

หยางชูโบกมือแล้วม้าสามสิบกว่าตัวก็หยุดลง

“ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้นหรือ”

หนิงซิวกวาดสายตามองรอบๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องเจ้าดูแผนที่”

หยางชูตอบรับเขาหยิบแผนที่ออกมาดูแล้วก็ต้องเลิกคิ้ว

“ดูเหมือนว่าจะผิดใช่หรือไม่”

“อืม” หยางชูพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ด้วยความเร็วของพวกเราอีกสักพักควรออกจากหุบเข้าได้แล้วเว้นเสียแต่ว่าจงรุ่ยจะให้แผนที่ปลอมมา”

หนิงซิวพูด “ไม่ใช่แผนที่ปลอมแน่นอน แต่เป็นเพราะพวกเราเข้ามาในค่ายกล”

หยางชูตกใจและมองไปรอบๆ ทันที “ค่ายกลงั้นหรือ มีคนวางค่ายกลที่นี่หรือ”

“อืม..พวกเราไม่ต้องไปข้างหน้าหากไม่ทำลายค่ายกลนี้ก็เสียแรงเปล่า”

หยางชูหายใจเข้าลึก ๆ และโบกมือ “เข้าแถว!”

“ขอรับ!” เหล่าขุนศึกตอบรับแล้วขี่ม้าเข้ามาเข้าแถวจากนั้นก็หยิบอาวุธออกมาเตรียมพร้อมต่อสู้ หนิงซิวมองไปรอบๆ กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเขาปลดกู่ฉินออกจากหลังแล้วดีดสาย

เสียงกู่ฉินดังกึกก้องทำให้อากาศโดยรอบไหลเวียนหนิงซิวใช้คลื่นเสียงเพื่อสัมผัสถึงกลิ่นอายเล็กน้อยด้วยจิตใจที่นิ่งสงบ

ทันใดนั้นเขาสังเกตเห็นร่องรอยของการไหลเวียนที่ผิดปกติของกลิ่นอาย เขาใช้นิ้วดีดสาย เสียงทื่อๆ ดังทะลุผ่านอากาศระเบิดใส่คนร้าย

ไม่จำเป็นต้องให้หยางชูสั่งการอาสวนง้างธนูเล็งทันที อีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าท่าไม่ดีจึงหยิบของที่ซ่อนอยู่หลังหิน และเชือกที่ซุ่มซ่อนอยู่ใต้ใบไม้ที่ร่วงหล่น

ในเวลาเดียวกันก็มีลูกธนูมากมายพุ่งตรงเข้ามา แม้ว่าจำนวนองครักษ์ของหยางชูจะน้อยมาก แต่ก็มีอาวุธครบครัน

เมื่อเห็นลูกศรที่แหลมคมมีคนควบม้าถอยหลังมีคนเร่งม้าให้ก้าวไปข้างหน้าใช้โล่เถาวัลย์ที่พกติดหลังย้ายมาไว้ข้างหน้าแทน

“ฉึกๆ!” เสียงไม่มีที่สิ้นสุดผสมกับเสียงร้องของม้า

หลังการโจมตีของธนูนั้นผ่านพ้นไปไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ แต่ม้าบางตัวโชคไม่ดีถูกยิงเข้าที่ขา

หยางชูเห็นพื้นดินหดตัวม้าเดินโซเซอยู่บนพื้นก็ตะโกนขึ้นทันทีว่า “ลงจากม้า!”

“ขอรับ!” ทุกคนตอบรับและละทิ้งม้าพร้อมกัน

หลังการโจมตีของธนูรอบสองอีกฝ่ายที่ลูกธนูหมดแล้วก็หมุนตัวหนีไป นิ้วของอาสวนคลายออกพร้อมกับลูกธนูที่พุ่งออกไป

“ฉึก!” เสียงธนูแทงเข้าที่ด้านหลังของอีกฝ่ายจนเสียชีวิต

“ติงๆ” บนต้นไม้หนิงซิวยังคงเล่นกู่ฉินอยู่ด้วยเสียงกู่ฉินที่แผ่วเบาและยาวนาน เขาถูกบังคับให้เล่นการโจมตีที่รุนแรงอย่างดุเดือด จุดที่น่าสงสัยท่ามกลางกลิ่นอายนั้นค่อยๆ ถูกเปิดเผยออกมา

เมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้ไม่สามารถปกปิดได้จึงทำการเคลื่อนไหวค่ายกลใหญ่

เมื่อได้ยินเสียงดังก้องในหูหยางชูจึงเงยหน้าขึ้นมองสองข้างทางมีหินที่สูงกว่าคนกลิ้งลงมาตามดินถล่มหลายก้อน

เขาตะโกนทันที “แยกแถว! ป้องกันตนเอง”

“ขอรับ!” เหล่าขุนศึกแยกย้ายกันไปทันทีพวกเขาแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเพื่อหลบเลี่ยง

ภายใต้หินกลิ้งลงมามันไม่มีประโยชน์ที่จะรักษากระบวนแถวต่อสู้อีกต่อไป โชคดีที่ขุนศึกตระกูลหยางไม่เพียงแต่ฝึกฝน แต่พวกเขายังมีกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องในการจัดการกับสถานการณ์ปัจจุบัน

หยางชูมั่นใจมากว่าขุนศึกของเขาทั้งหมดเป็นยอดฝีมือถึงแม้จะแยกจากกัน แต่ก็ไม่สามารถถูกกำจัดตามอำเภอใจได้ แน่นอนว่าอาสวนคอยอารักขาข้างกายเขา

เพื่อหลีกเลี่ยงก้อนหินที่กลิ้งลงมาพวกเขาจึงไถลตัวลงมาตามทางลาดเมื่อพวกเขาลุกขึ้นอีกครั้งก็พบว่าทิวทัศน์โดยรอบเปลี่ยนไป เมื่อปีนกลับขึ้นมาสิ่งที่เห็นกลับไม่ใช่เส้นทางเล็กๆ บนภูเขาที่เดิม แต่เป็นหุบเขา เสียงกู่ฉินของหนิงซิวยังคงอยู่ แต่เสียงนั้นดูแผ่วเบาและห่างไกลออกไปในบางครั้ง

“คุณชายขอรับ” อาสวนตกตะลึง “พวกเราจะทำอย่างไรดีขอรับ”

หยางชูเอื้อมมือไปจับของสิ่งหนึ่งแล้วมองไปรอบๆ แล้วจู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา และตะโกนเสียงดัง “ท่านลงแรงไปมากเช่นนี้คิดจะทำอะไรพูดออกมาให้ชัดเจนเลยดีกว่า! เสียเวลาไปเช่นนี้ ข้าตกที่นั่งลำบากพวกท่านเองก็ไม่ต่างกัน!”

ผ่านไปสักพักก็มีเสียงตอบกลับมาว่า “ใครๆ ต่างก็บอกว่าคุณชายสามตระกูลหยางเป็นผู้ดีทำตัวไร้สาระช่างมีตาหามีแววไม่จริงๆ”

หยางชูหันไปตามเสียง และเห็นว่าที่ทางด้านขวาของยอดเขามีคนผู้หนึ่งกำลังเดินมาอย่างช้าๆ บุคคลนี้แต่งกายด้วยชุดคลุมสีดำเรียบง่าย ผมปล่อยยาวสยาย แต่ละย่างก้าวที่เดินดูสงบใจเย็น

เมื่อมองดูใกล้ๆ เห็นว่าเขาดูปกติ ใบหน้าไร้ริ้วรอยไว้เครายาวหนึ่งชุ่นบนใบหน้าทำให้คาดเดาอายุไม่ออก น่าจะอายุสามสิบสี่หรือไม่ก็สามสิบห้ามองดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนตัดขาดจากทางโลก

หยางชูมองดูเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดว่า “ท่านเป็นคนที่ให้ตระกูลจงล่อข้ามาที่ไป๋เหมินเซี่ยใช่หรือไม่”

บุรุษชุดดำพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “คุณชายหยางฉลาดจริงๆ เป็นเช่นนั้นแหละ”

หยางชูยกมุมปากขึ้นแววตาจ้องอีกฝ่ายอย่างเป็นศัตรู “ปรากฏตัวตอนนี้หรือว่าการแสดงของข้าทำให้ท่านพอใจงั้นหรือ”

บุรุษผู้นั้นหัวเราะออกมาจากนั้นเขาก็จัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อยแล้วคำนับ “ต้องขออภัยคุณชายด้วยเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญมากไม่เช่นนั้นข้าไม่กล้าเปิดเผยตัวตนง่ายๆ”

คนผู้นี้แสดงมารยาทที่ดูให้ความเคารพอย่างสูง เรียกตนเองว่าข้า ดูมั่นใจในตนเองมากแสดงว่าไม่ได้มีสถานะเป็นบ่าวรับใช้แน่นอน

หยางชูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เช่นนั้นเปิดเผยตัวตนของท่านมาได้หรือไม่”

“แน่นอน” บุรุษชุดดำหยิบป้ายหยกออกมาแล้วยื่นให้หยางชู “เชิญคุณชาย”

อาสวนรับไปตรวจสอบเมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหาใดๆ จึงส่งมอบให้คุณชาย

“คุณชายขอรับ” หยางชูมองแล้วพบว่าบนป้ายหยกมีสลักคำว่า ‘ชิงหยุน’ จึงถามไปว่า “หมายความว่าอย่างไร”

บุรุษชุดดำประหลาดใจ “คุณชายไม่เคยได้ยินมาก่อนหรือ”

หยางชูพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าควรได้ยินอะไร”

บุรุษชุดดำชี้ไปที่อักษรคำว่าชิงหยุนแล้วพูดว่า “ปีนั้นไท่จื่อถูกเรียกว่าชิงหยุนเค่อ ศิษย์ในสมาคมใช้คำว่าชิงหยุนเป็นชื่อสมาคมตราประทับนี้เป็นสัญลักษณ์ของสมาคมชิงหยุน”

สีหน้าของหยางชูเปลี่ยนไปเขาจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “ไท่จื่ออะไรข้าไม่เข้าใจ!”

บุรุษชุดดำยิ้มเขาลูบเครา และพูดอย่างมั่นใจ “คุณชายฟังเข้าใจดี ไท่จื่อในความหมายของข้าไม่ได้หมายถึงเจียงเชิ่งไท่จื่อองค์ปัจจุบัน แต่เป็นไท่จื่อองค์ก่อนเจียงเหว่ย!”

“ท่าน…”

ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรบุรุษชุดดำโบกมือ จากนั้นบุรุษชุดสีเทาหลายคนก็ปรากฏตัวขึ้นจากที่ซ่อน และรวมตัวกันต่อหน้าพวกเขา จากนั้นคุกเข่าข้างหนึ่งและพูดพร้อมเพรียงกันว่า “คารวะคุณชายขอรับ!”

หยางชูบีบป้ายหยกในมือสายตาจ้องมองพวกเขาโดยไม่พูดอะไร

บุรุษชุดดำโค้งคำนับและกล่าวว่า “ต้องขออภัยคุณชายด้วยขอรับ ไท่จื่อสวรรคตไปหลายปีแล้ว สมาคมชิงหยุนไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณชายยังมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งปีก่อน…ก่อนหน้านี้มีการหยั่งเชิงมากมายเพียงเพราะว่าตอนนี้คุณชายอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากท่านไม่มีศรัทธาในหัวใจการเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขต่อไปคงเป็นการดีกว่า อย่างไรก็ตามคุณชายมีความสามารถเช่นนี้ข้าน้อยทนปกปิดต่อไปไม่ไหวจึงจงใจปรากฏตัวออกมาทักทายคุณชายขอรับ”

หยางชูหน้าตึง และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถามว่า “หมายความว่าการล่อข้ามาที่นี่เพื่อตั้งใจที่จะดูว่าข้ามีทักษะเพียงพอหรือไม่จะได้ตัดสินใจว่าควรกลับไปหาเจ้านายเก่าดีหรือไม่เช่นนั้นหรือ”

บุรุษชุดดำตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เจ้านายเก่าแน่นอนว่าต้องยอมรับ แต่ถ้าคุณชายไม่มีเจตนาข้าจะอารักขาคุณชายอยู่ลับๆ ให้ชั่วชีวิตนี้ท่านไม่ต้องกังวลสิ่งใด อย่างไรก็ตามคุณชายดูมีจิตที่ไม่ตระหนกเมื่อเผชิญการเปลี่ยนแปลง มีผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีข้าจึงทำได้เพียงเลื่อมใสที่จิตใจ”

หยางชูเหลือบมองทีละคน เจตคติของบุรุษชุดดำนั้นใจเย็น และให้เกียรติ บุรุษชุดเทาเหล่านี้คุกเข่าและไม่ขยับเขยื้อน แค่มองดูก็รู้ว่าเป็นทหารหน่วยกล้าตายที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ส่วนสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นช่างให้ความช่วยเหลือในยามที่คนคับขันได้อย่างทันท่วงทีจริงๆ!

การแสดงก่อนหน้านี้เป็นเด็กกำพร้าตระกูลเจ้างั้นหรือ

………….