เวลานี้เขาเพิ่งนึกได้ว่าชิวเยี่ยไป๋อยู่ข้างๆ จึงหันไปมองชิวเยี่ยไป๋ที่เปียกโชกทั้งตัวแต่ไม่ทุลักทุเล แววตาค่อนข้างสับสน แต่ยังคงปั้นรอยยิ้มทันทีเหมือนสุดแสนตื้นตัน “ขอบพระคุณใต้เท้าเชียนจ่งที่ช่วยคุณหนูของเรา ข้าน้อยจะกราบเรียนต่อคุณชายใหญ่!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋บิดชายเสื้อที่เปียกโชกพลางยิ้มเนือยๆ อย่างมินำพา “ช่วยชีวิตคนได้บุญกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น จะว่าไปนี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย อย่าได้ใส่ใจไปเลย”

 

 

พ่อบ้านบัญชาให้คนเรือรีบเทียบฝั่งพลางยิ้มแห้งๆ กล่าวว่า “ใต้เท้าช่างมีจิตเมตตาดั่งพระโพธิสัตว์เสียจริง”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่พูดอะไร

 

 

นางมิได้หวังว่าตนเองช่วยเหมยเซียงจื่อไว้แล้วตระกูลเหมยจะรามือจากนาง เพราะการที่นางช่วยเหมยเซียงจื่อก็เป็นไปตามนิสัยชอบช่วยเหลือผู้อื่นเท่านั้น มิได้มีวัตถุประสงค์อื่นใดแอบแฝง

 

 

จนกระทั่งถึงฝั่งก็มีเกี้ยวอ่อนหลังน้อยรอท่าอยู่แล้ว พอเรือเทียบฝั่งบรรดาหญิงรับใช้ก็กุลีกุจอรับเหมยเซียงจื่อขึ้นบนเกี้ยวแล้วจากไปอย่างร้อนรน

 

 

ทุกคนพากันรายล้อมเหมยเซียงจื่อ สถานการณ์ค่อนข้างวุ่นวาย พอเหมยเซียงจื่อจากไป ทุกคนก็แยกย้ายกันไป แทบจะไม่มีใครจำได้ว่าบนเรือยังมีอีกคนที่ตัวเปียกโชก มีเพียงเด็กรับใช้คนหนึ่งยื่นชุดยาวให้ชิวเยี่ยไป๋ แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นระคนนอบน้อมว่า “ใต้เท้าลำบากนัก โปรดตามข้าน้อยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูก็รู้ว่าเป็นรองพ่อบ้านส่งมา แม้จะเป็นเพียงเด็กรับใช้ แต่จะอย่างไรยังคงจำได้ว่านางเป็นคนช่วยเหมยเซียงจื่อ นึกในใจว่าคนตระกูลเหมยก็ยังไม่ถึงกับไร้สมองเสียทั้งหมด จึงพยักหน้าแล้วเดินตามไป

 

 

เด็กรับใช้นำทางนางมาถึงหอน้อยแห่งหนึ่งใกล้บริเวณนั้น กล่าวอย่างพินอบพิเทาว่า “นี่เป็นหอเก็บหินของคุณชายใหญ่ เป็นที่ที่ใกล้ที่สุดที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า ขอใต้เท้าโปรดอย่าถือสา”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นเด็กรับใช้คนนี้ท่าทางขลาดกลัวตลอดเวลา ก็รู้ว่าเขาเป็นคนรับใช้ในระดับต่ำสุด ไม่ค่อยเคยพบแขกเหรื่อ จึงยิ้มให้อย่างปรานี “ไม่เป็นไรหรอก เจ้าไปเตรียมน้ำร้อนและเสื้อผ้ามาสักชุดนะ”

 

 

เด็กรับใช้เห็นชิวเยี่ยไป๋มิได้วางมาดใหญ่โต แถมยังยิ้มให้ตนด้วย จึงตะลึงแล้วรีบผงกศีรษะอย่างขวยเขิน “ขอรับ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้เลย!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นเด็กรับใช้รีบร้อนจากไปจนลืมที่จะพานางเข้าในหอก็นึกขัน นางหันไปดูหอหลังน้อยแล้วยื่นมือผลักประตูใหญ่ ประตูมิได้ลงกลอนนางจึงเข้าไปเอง

 

 

เสื้อผ้าเปียกแนบเนื้อทั้งตัว แม้จะเป็นเดือนหก แต่พอลมพัดมายังคงรู้สึกหนาวเย็นอยู่บ้าง

 

 

หอนี้ไม่ใหญ่นัก พอเข้าประตูก็เป็นห้องโถงและห้องเล็กอีกห้อง รอบห้องโถงเป็นหิ้งวางของประดับ มีก้อนหินสีต่างๆ เรียงรายเต็มไปหมด บ้างละเอียดงดงาม บ้างดูแล้วโบราณ บ้างเป็นหินเขียวทั่วไป บ้างมองดูก็รู้ว่าเป็นหินหยกที่ยังมิได้เจียรนัย

 

 

ในห้องเล็กก็เต็มไปด้วยก้อนหินเช่นกัน บนโต๊ะยังมีเครื่องมือในการแกะสลักหินด้วย

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูพวกหินที่ยังแกะไม่เสร็จ นึกในใจว่านี่คงเป็นห้องเก็บหินของคุณชายใหญ่ตระกูลเหมย ในห้องนอกจากเก้าอี้ใหญ่แปดตัวหลังโต๊ะแล้ว แทบจะไม่มีที่ให้หยั่งเท้าเลย ในที่สุดนางจึงเข้าใจว่าทำไมเจ้าเด็กรับใช้จึงมีท่าทางขลาดกลัว

 

 

เพราะนี่เป็นที่ทำงานช่าง มิใช่ห้องหับสำหรับพักผ่อนแต่อย่างใด

 

 

เสี่ยวชีที่ตามหลังชิวเยี่ยไป๋เหลียวมองรอบๆ กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “แย่จริง ทำไมจึงเป็นที่เช่นนี้!”

 

 

นางจึงได้แต่ขึ้นไปชั้นบน พอขึ้นไปถึงจึงพบว่าเป็นห้องเก็บหินดินแต่ยังดีที่ไม่มีก้อนหินกองพะเนินเทินทึกไปทั่ว ยังพอจะมีที่หยั่งเท้าอยู่บ้าง

 

 

เด็กรับใช้กลับมาอย่างรวดเร็ว ยังดีที่แม้เขาจะไม่ค่อยได้พบโลกภายนอก แต่ไม่ถึงกับเซ่อซ่ามากนัก เขามาพร้อมกับเด็กรับใช้อีกคน คนหนึ่งประคองอ่างน้ำร้อน อีกคนถือเสื้อผ้าครบชุด

 

 

ถ้าเขาเกิดหิ้วถังแช่อาบมาด้วยคงไม่มีที่ว่างจะวางแน่

 

 

ชิวเยี่ยไป๋สั่งให้เอาของไปไว้ชั้นบน ปฏิเสธมิให้พวกเขาคอยรับใช้ สั่งให้เสี่ยวชีพาพวกเขาไปคอยเฝ้าประตู ส่วนตนเองขึ้นไปชั้นบน พอเห็นเสื้อผ้าก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ วันนี้ย่ำแย่จริงเชียว เสื้อผ้าชุดนี้แม้จะตัดเย็บด้วยผ้าชั้นดี รูปแบบก็น่าดู ทว่า…ดูเหมือนจะใหญ่กว่าตัวเองอย่างน้อยหนึ่งส่วน

 

 

ดูจากเสื้อผ้าชุดนี้ก็รู้ว่าเจ้าเด็กรับใช้ยังคงมิใช่คนละเอียดลออ ก็ไม่รู้ว่าเพราะเจ้านายของเขาไม่ละเอียดพอ จึงส่งชุดนี้มาให้โดยไม่ทันคิดว่าเข้ากับนางหรือไม่ ประเดี๋ยวสวมแล้วหลวมโพรกคงเสียภาพลักษณ์แย่!

 

 

อีกสักครู่นางยังต้องไปพบคุณชายใหญ่ของพวกเขา สวมชุดเช่นนี้ภาพพจน์ก็ตกเป็นรองกว่าครึ่ง เสียทีที่นางวางเขื่องก่อนเข้าบ้านตระกูลเหมยแต่แรก เพราะอยากให้คนตระกูลเหมยดูแคลนศัตรู นึกไม่ถึงว่ากลับกลายเป็นตนที่เล่นละครจนเกินเหตุ

 

 

ท่าทางวางเขื่องจะทำให้ผู้คนดูแคลนศัตรู แต่ความโอ่อ่าของหน้าตาจะกดดันผู้คนได้

 

 

บัดนี้ทุเรศทุรังเช่นนี้ คงทำให้ศัตรูทั้งดูแคลนและได้ใจเสียแล้ว

 

 

นางฝืนยิ้มอย่างจนใจ เออหนอทำตัวเองแท้ๆ ไปห่วงใยคนสวยตกน้ำทำไมกัน!

 

 

แต่ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว นางก็ไม่มีวิธีอื่น จึงได้แต่วักน้ำร้อนเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้สะอาด

 

 

……

 

 

คฤหาสน์ตระกูลเหมย หอเทียนเจียว

 

 

หอที่จัดสร้างอย่างประณีตและปลูกบุปผานานาพรรณเปี่ยมด้วยกลิ่นอายของเจียงหนานแห่งนี้ ยามนี้สูญเสียความเงียบสงบเฉกเช่นยามปกติ มีบ่าวไพร่ยกน้ำร้อนหยูกยาเข้าๆ ออกๆ ตลอดเวลา

 

 

เพราะเจ้าของหอเทียนเจียวเพิ่งตกน้ำและยังนอนไม่ได้สติ ทุกคนต่างรู้ดีว่าคุณหนูใหญ่เป็นบุตรีคนเดียวของนายผู้เฒ่าและฮูหยินที่สิ้นไปแล้ว และยังเป็นน้องสาวแสนรักของคุณชายใหญ่ประมุขตระกูลเหมยในปัจจุบันด้วย ยามปกติมดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม บัดนี้ถึงกับเกิดอุบัติเหตุพลัดตกน้ำ เกรงว่าบ่าวไพร่ทุกคนคงหนีความผิดไม่พ้นแน่

 

 

ในสวนดอกไม้นอกห้องนอน รองพ่อบ้านยังไม่ทันได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกปอน ก็ยืนค้อมเอวพินอบพิเทาอยู่หลังร่างบุรุษสูงโปร่ง แม้แต่หายใจเบาๆ ก็มิกล้า กล่าวอย่างระมัดระวังว่า “…เหตุการณ์เป็นเช่นนี้…คุณชายใหญ่ขอรับ บ่าวมิได้มดเท็จเลยสักคำ”

 

 

เงาร่างสูงโปร่งยืนนิ่งเงียบ เสื้อยาวสีน้ำเงินเข้มลายเมฆพลิ้วที่เอวคาดด้วยสายรัดทองสำริดประดับหยก แผ่นหลังดูเคร่งขรึมงามสง่า มิได้มีแววร้อนใจที่น้องสาวของตนตกน้ำแม้แต่น้อย ต่างจากที่บ่าวไพร่คาดคิด

 

 

เหมยซูเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พลันถามเบาๆ ว่า “ฝีมือของใต้เท้าชิวเห็นถนัดตาหรือไม่”

 

 

รองพ่อบ้านเห็นผู้เป็นนายไม่ถามไถ่ถึงอาการคุณหนู พอเปิดปากกลับถามถึงชิวเชียนจ่ง ก็นึกในใจว่าเจ้านายคงสงสัยว่าที่คุณหนูตกน้ำจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนแซ่ชิว จึงย้อนคิดถึงสิ่งที่ตนเห็นแล้วตอบว่า “บ่าวอยู่ในน้ำยังเห็นถนัดตา ชิวเชียนจ่งผู้นั้นกดกราบเรือมือเดียวก็อุ้มคุณหนูโดดขึ้นเรืออย่างสบาย ถ้าเป็นคนที่มีวรยุทธ์ธรรมดาย่อมไม่อาจทำเช่นนี้ได้แน่ จึงเห็นได้ว่าพลังฝีมือของเขาไม่ธรรมดา”

 

 

ในน้ำมีแรงต้าน บวกกับคุณหนูใหญ่หมดสติ คนที่หมดสติจะหนักเป็นพิเศษ แต่เจ้าคนแซ่ชิวไม่เพียงอุ้มคุณหนูใหญ่กระโดดขึ้นเรือได้ แถมท่วงท่ายังงดงามด้วย พลังฝีมือเช่นนี้มิใช่คนธรรมดาจะทำได้