เหมยซูมิได้ถามอีกและมิรู้ว่าคิดอะไรอยู่ รองพ่อบ้านเห็นเจ้านายทั้งไม่พูดและไม่ขยับก็ไม่กล้าขยับด้วย ได้แต่ยืนรับลมจนตัวสั่น

 

 

ขณะที่เขาทนไม่ไหวกำลังจะจาม เหมยซูพลันถามว่า “เจ้าว่าก่อนหน้านี้ใต้เท้าชิววางมาดเขื่องโขหน้าบ้านหรือ”

 

 

รองพ่อบ้านได้ยินแล้วก็นึกแปลกใจ ยามปกติคุณหนูใหญ่เป็นอะไรเล็กน้อยคุณชายใหญ่เป็นต้องรีบประคบประหงม ทำไมวันนี้เอาแต่ถามเรื่องคนแซ่ชิว

 

 

แต่เขายังคงบอกเล่าเหตุการณ์ที่หน้าประตูอีกรอบ สุดท้ายยังกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “เป็นดั่งที่นายท่านคาดไว้ เจ้าคนแซ่ชิวทนรอไม่ไหว จึงยกเอาพระพันปีเป็นข้ออ้าง ดังนั้นบ่าวจึงต้องเปิดประตู แต่เขาท่าทางเหิมเกริมเกินไป วาจาก็รุนแรงเกินไป ไม่เจียมตัวเลยว่าทางเรามีความสัมพันธ์อย่างไรกับในวัง เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกไร้สมอง ไม่มีอะไรน่ากลัว”

 

 

แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณหนูใหญ่เขายังคงไม่กล้าพูด

 

 

เหมยซูที่หันหลังให้นั่งฟังจนจบ ลูบแหวนมรกตบนนิ้วอยู่ครู่หนึ่งแล้วหัวร่อเบาๆ กล่าวว่า “คนผู้นี้ช่างย้อนแย้งเสียจริง คนเหิมเกริมหยาบกร้าน แต่ยังคงไม่ลืมส่งเซียงจื่อขึ้นเรือ แถมยังใช้เสื้อกันฝนคลุมให้ด้วย”

 

 

รองพ่อบ้านไม่ค่อยเข้าใจว่าเจ้านายหมายถึงอะไรจึงยืนก้มหน้านิ่ง แต่นึกในใจว่า ไม่เห็นจะย้อนแย้งสักนิด คนแซ่ชิวไม่เพียงไร้สมอง ยังเป็นพวกบ้ากามด้วย พอเห็นคุณหนูใหญ่ก็ก้าวขาไม่ออก รีบกระโจนลงไปช่วยคุณหนูใหญ่โดยไม่คำนึงถึงตัวเอง บ้าบิ่น บ้ากาม พลังฝีมือสูง คนเช่นนี้ใช้สอยได้ง่าย

 

 

“ตอนนี้อยู่ที่หอเก็บหินหรือ” เหมยซูถาม

 

 

รองพ่อบ้านผงกศีรษะตามความเคยชิน โดยลืมไปว่าผู้เป็นนายหันหลังให้ย่อมมองไม่เห็น “ขอรับ แถวนั้นไม่มีที่อื่นให้เปลี่ยนเสื้อผ้า”

 

 

เขานึกอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวอย่างขลาดกลัวว่า “บ่าวตัดสินใจโดยพละการเอง สั่งให้เด็กนำชุดเก่าของคุณชายไปให้ชุดหนึ่ง…”

 

 

เหมยซูขัดคำ “เจ้าทำไม่ผิด ถึงอย่างไรชิวเยี่ยไป๋ก็เป็นขุนนางและได้รับบัญชาให้สืบคดีจริง ถ้าเขาช่วยคนที่นี่ แล้วปล่อยข่าวว่าล้มป่วยสืบคดีไม่ได้ เกรงว่าคงเป็นความผิดของตระกูลเหมยแล้ว”

 

 

รองพ่อบ้านเดิมทีเคยเป็นคนสนิทของเหมยซู พริบตานั้นจึงได้คิด รีบผงกศีรษะกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นจะให้บ่าวรีบส่งน้ำขิงร้อนและหาหมอที่เก่งที่สุดไปหอเก็บหินดีหรือไม่”

 

 

ถ้าเกิดชิวเยี่ยไป๋สืบคดีไม่ได้ แล้วจะให้ใครเป็นแพะรับบาปแทน

 

 

ดังนั้นพวกเขาจะให้ชิวเยี่ยไป๋ล้มป่วยที่นี่ไม่ได้

 

 

เหมยซูพยักหน้าน้อยๆ “อืม ดูแล้วคุณหนูใหญ่ไม่เป็นอะไรมาก กว่านางจะฟื้นคงต้องอีกสักพักใหญ่ ข้าจะไปพบใต้เท้าชิวก่อน ควรไปขอบคุณต่อหน้า ที่ช่วยชีวิตน้องสาวข้าไว้ถึงจะถูก”

 

 

เห็นเงาหลังเหมยซูที่ก้าวเท้าออกก่อน รองพ่อบ้านก็อึ้งไป กล่าวตามสัญชาตญาณว่า “แต่…ตอนนี้เขาน่าจะกำลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่”

 

 

คุณชายใหญ่…ถึงกับจะไปเยี่ยมคนที่เพิ่งรู้จักกัน โดยมิอยู่เฝ้าดูแลคุณหนูใหญ่เช่นที่ผ่านมา ฝนฟ้าคงจะตกผิดฤดูกระมัง!

 

 

เหมยซูมิได้หยุดฝีก้าว เพียงกล่าวอย่างมินำพาว่า “ใต้เท้าชิวเป็นชาวยุทธจักร คงไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอก”

 

 

รองพ่อบ้านมองตามเงาหลังที่ไกลออกไป อ้าปากค้างเนิ่นนานกว่าจะหุบปากลง เขาเหลียวมองหอเทียนเจียวอันงดงามด้วยสีหน้าสับสน

 

 

ไม่รู้เพราะอะไร คุณหนูใหญ่ตกน้ำครั้งนี้ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกประหลาด และสังเกตเห็นความพิลึกพิลั่นที่ไม่เคยสังเกตมาก่อน

 

 

คุณหนูใหญ่…ไม่…คุณชายใหญ่แสนรักแสนหวงคุณหนูใหญ่เหมือนที่ทุกคนเห็นจริงหรือ…

 

 

ความคิดของคุณชายใหญ่ไม่เคยมีใครคาดเดาได้อยู่แล้ว

 

 

ส่วนคุณหนูใหญ่ ทำไมถึงกระโดดลงน้ำเอง แถมยังต่อหน้าคนที่พบกันครั้งแรกด้วย

 

 

นั่นนะสิ เขาแน่ใจว่าคุณหนูใหญ่ตั้งใจกระโดดลงน้ำเอง มิใช่อุบัติเหตุแต่อย่างใด

 

 

ดูเหมือน เรื่องราวพิลึกพิลั่นกำลังจะตามมาอีก

 

 

ลมเย็นโชยมาวูบหนึ่ง แม้จะเป็นเดือนหกกลางฤดูร้อน รองพ่อบ้านยังคงสยิวกายด้วยความหนาวเย็น

 

 

“ฮัดเช้ย!”

 

 

 

 

ในหอเก็บหิน ชิวเยี่ยไป๋กำลังเปลื้องผ้าและใช้ผ้าชุบน้ำร้อนเช็ดตัว เตรียมใจว่าจะยอมสวมเสื้อที่ไม่เข้ากับสัดส่วนของตนให้หายจากความหนาวเย็นก่อน แล้วเจอใครค่อยขอชุดใหม่ที่พอเหมาะดีกว่า

 

 

เพราะเสื้อผ้าชุดนี้ พอนางสามเข้าก็หลวมโพรก…ดูอย่างไรก็เหมือนเด็กหญิงที่ขโมยสวมเสื้อผู้ใหญ่

 

 

สตรีนั้นต่อให้มีความสูงเท่าบุรุษ แต่โครงกระดูกที่ต่างกันจึงทำให้ชุดของบุรุษต้องใหญ่กว่าสตรีรูปร่างเท่ากับหนึ่งส่วน และเห็นได้ชัดว่าเจ้าของเสื้อผ้าชุดนี้สูงกว่าตนถึงหนึ่งศีรษะ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋สวมกางเกงดู พบว่าเป้ากางเกงหย่อนถึงเข่า ส่วนขากางเกงนางต้องรั้งขึ้นไปเท้าจึงจะโผล่ออกมาได้ ตัวเสื้อยิ่งหลวมโพรก

 

 

ยังมีรองเท้าคู่นั้น…นางเหลือบดูรองเท้าแล้วตัดสินใจว่า จะสวมคู่เดิมที่เปียกอยู่ดีกว่าสวมคู่ที่ไม่พอดีให้คนหัวร่อ!

 

 

นางกำลังจะถอดเสื้อชั้นกลางที่ทำด้วยแพรไหม อยากจัดการให้รัดกุมหน่อยค่อยสวม พลันได้ยินเสียงแกรกกรากแว่วมา นางหยุดมือทันทีแล้วรีบสวมเสื้อไว้ แม้แต่ศีรษะก็ไม่หัน มือกวาดไปข้างหลัง น้ำทั้งอ่างสาดไปข้างหลังในพริบตา

 

 

โครม…ซ่า!

 

 

เสียงอ่างทองเหลืองกระทบฝาผนังดังโครมครามจากด้านหลัง

 

 

“นายน้อยสี่!” เสี่ยวชีที่อยู่ชั้นล่างได้ยินเสียงก็ตกใจ รีบบุกเข้าในหอจะกระโดดขึ้นชั้นบน

 

 

“เสี่ยวชี หยุด ข้าไม่เป็นไร” ชิวเยี่ยไป๋ตวาด เสี่ยวชีจึงนึกได้ว่านายของตนยังผลัดเสื้อไม่เสร็จ จึงรีบหยุดอยู่กับที่ แต่ก็อดมองขึ้นไปชั้นบนอย่างวิตกมิได้

 

 

“อะไรที่ไร้มารยาทมิควรมอง ท่านมิรู้หรือ” ชิวเยี่ยไป๋ยังไม่ทันหันกาย รีบคว้าเสื้อชั้นนอกสวมทับ แล้วคว้าสายรัดเอวรัดไว้ผูกเป็นเงื่อนหลวมๆ ปัดเสื้อผ้าให้เรียบแล้วจึงหันไป สายตาเย็นชาจ้องมองคนที่ยืนห่างจากตนไม่มากนัก

 

 

เดิมทีด้านหลังนางเป็นหิ้งวางของมากมาย บัดนี้กลับมีประตูบานหนึ่งเปิดออกอย่างเงียบเชียบ กลางประตูดำมืดนั้นมีคนคนหนึ่งยืนอยู่เงียบๆ

 

 

นั่นเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ร่างสูงโปร่ง ผิวกายขาวผ่อง หนวดครึ้ม เสียดายที่มองเผินๆ เค้าหน้าธรรมดา แต่มองอีกทีไม่เพียงธรรมดา หากเป็นจืดชืด แต่…ความจืดชืดนี้ราวกับเป็นฝีมือการวาดภาพด้วยหมึกระดับบรมครู เหมือนปลายพู่กันตวัดอย่างเป็นธรรมชาติจนเบาบางแต่เหมาะเจาะที่สุด

 

 

เขายืนอยู่ตรงนั้น ทำให้ผู้คนนึกถึงฟ้าครามกลางสายหมอกของเจียงหนาน ปากคอคิ้วคางปราศจากสีสัน กลับเหมือนมีทัศนียภาพทุกแห่งหน

 

 

ราวกับหมึกดำสายหนึ่งในธารน้ำ กลับกลายเป็นสีสันอันหลากหลาย