ตอนที่ 125 ข้าจะแต่งกับเขา (1)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

“คุณชายใหญ่ตระกูลเหมย” ชิวเยี่ยไป๋จับจ้องคนงามที่เหมือนวาดด้วยหมึกอย่างเงียบๆ แต่เอ่ยปากอย่างเฉยเมย

 

 

เพราะเป็นแดนเจียงหนานจึงมีคนเช่นนี้ หรือเป็นเพราะตระกูลเหมยรวมเอากลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงของเจียงหนานเอาไว้ พี่ชายน้องสาวคู่นี้จึงเปี่ยมด้วยกลิ่นอายที่สง่างาม เพราะนางเคยท่องเที่ยวในเจียงหนาน จึงแน่ใจว่าน่าจะเป็นประการหลังมากกว่า

 

 

“ใต้เท้าชิวตาแหลมจริง” เหมยซูแลดูบุรุษเยาว์วัยเบื้องหน้า หรืออาจกล่าวได้ว่า เขารู้สึกว่าคนที่อยู่เบื้องหน้านี้เป็นบุรุษรูปงามที่ยังมิได้เติบโตเต็มที่

 

 

แน่นอน อาจเพราะอีกฝ่ายสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่เหมาะกับตัว หลวมกว้างหย่อนยาน จึงทำให้เขาดูบอบบางมาก อืม ยังมีเงาหลังขาวผ่องราวหิมะที่เขาเหลือบเห็นเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนรูปร่างของใต้เท้าชิวออกจะอ้อนแอ้นเกินไปหน่อย

 

 

แน่นอน ย่อมน่าดูมาก เหมือนบัวแรกแย้ม

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นรอยยิ้มของเหมยซู ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตนเองตกอยู่ในภาพวาดหมอกหลังฝนของเจียงหนาน แววตาคิ้วคางทำให้ผู้ที่พบเห็นไม่อาจละสายตา

 

 

นี่เป็นบุรุษที่ต่างจากไป๋หลี่ชูผู้เลอโฉมอย่างสิ้นเชิง

 

 

น่าเสียดาย นางนอกจากถอนใจแล้ว ยังรู้สึกไม่มีอารมณ์สุนทรีย์ที่จะชื่นชมคนงามดังหมึกวาดผู้นี้ เพราะอีกฝ่ายยิ่งดูสง่าเท่าใด ก็ยิ่งเน้นให้เห็นถึงความทุลักทุเลของตนเท่านั้น แถมยังทุลักทุเลจนทุเรศสุดขีดด้วย

 

 

“คุณชายใหญ่ ท่านจะไม่อธิบายหน่อยหรือว่า ทำไมท่านจึงมาถึงที่นี่อย่างเงียบเชียบเช่นนี้” ชิวเยี่ยไป๋ถอนหายใจแรงแล้วสงบสติอารมณ์ถามด้วยเสียงเย็นชา

 

 

หากมิใช่นางทะลวงด่านความเป็นความตายจนพลังฝีมือและสัมผัสทั้งปวงเข้าสู่อีกระดับหนึ่ง เกรงว่าคงไม่ได้ยินเสียงอันแผ่วเบาของกลไกประตูและอีกฝ่ายคงได้เห็นเนื้อแท้ของตน ถ้าเป็นเช่นนั้นยามนี้คงต้องลงมือฆ่าคนเพื่อปิดปากแล้ว

 

 

เหมยซูรู้สึกถึงพลังแหลมคมในอากาศ เขาทำการค้ามานานปี คุ้นเคยกับชั้นบรรยากาศที่กระเพื่อมด้วยพลังเช่นนี้…พลังอำมหิต

 

 

เขายืนมองเงียบๆ เมื่อครู่ใต้เท้าชิวบันดาลโทสะหรือ

 

 

แต่ เพราะเหตุใดเล่า

 

 

เพราะเขามาเห็นการผลัดเสื้อผ้า หรือเพราะชิวเยี่ยไป๋ชิงชังคนที่บังอาจลบหลู่โดยพละการ

 

 

เหมยซูหลุบตาลง กล่าวด้วยน้ำเสียงขออภัยว่า “ขออภัยด้วย ข้าเพียงอยากรีบมาพบกับผู้มีพระคุณที่ช่วยน้องสาวข้า จึงมาทางลัดมิได้มีเจตนารบกวนใต้เท้าแต่อย่างใด”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองดูเขา ดวงตาฉายแววหยามหยันยะเยียบแวบหนึ่ง “อ้อ! อย่างนั้นหรือ ข้ายังคิดว่าคุณชายขาดการอบรมเสียอีก หรือไม่ก็คงอยากเห็นว่าคนที่มาหา ยามลนลานท่าทางจะเป็นอย่างไร นิสัยอย่างไร”

 

 

ทางลัดบ้าบออะไรกัน

 

 

สภาพในหอเก็บหินเป็นอย่างไร เขาผู้เป็นเจ้าของมีหรือจะมิรู้ ชั้นล่างไม่มีที่แม้จะหยั่งเท้า จะเปลี่ยนเสื้อผ้าย่อมต้องขึ้นชั้นบนอยู่แล้ว!

 

 

เหมยซูอึ้งไปเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าหัวหน้ากองเยาว์วัยที่ใบหน้าสกาวดั่งจันทรา จะกล้าพูดจาตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้ แหลมคมราวกระบี่หลุดจากฝัก ต่างจากบรรยากาศในวงราชการที่ปกติซ่อนดาบในรอยยิ้ม ห้ำหั่นกันอย่างเงียบเชียบ

 

 

แม้คนที่อยู่เบื้องหน้านี้จะสวมใส่อาภรณ์ที่ไม่เหมาะกับกาย ดูแล้วคล้ายทุลักทุเล แต่พลานุภาพในตัวกลับมิเสื่อมถอยแม้แต่น้อย

 

 

เพียงแต่ คนผู้นี้ออกจะวู่วามไปหน่อย

 

 

“ใต้เท้าว่าอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นเถิด สรุปแล้วเหมยซูเป็นฝ่ายผิดเอง” เหมยซูมิโกรธขึ้ง ยิ้มน้อยๆ ราวกับตั้งใจขออภัยอย่างแท้จริง

 

 

เขาตอบเช่นนี้เท่ากับหลบเลี่ยงการตอบคำถามของชิวเยี่ยไป๋ ถ้านางยังวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ก็เท่ากับเป็นคนไร้เหตุผลแล้ว

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หยุดครู่หนึ่ง หรี่ตาแลดูบุรุษที่งามราวสายหมอกใต้ฟ้าครามของเจียงหนาน แต่อีกฝ่ายมิได้สะดุ้งสะเทือนกับวาจาแหลมคมเชือดเฉือนของนาง ยังคงยิ้มน้อยๆ เช่นเดิม

 

 

นางจึงเผยรอยยิ้มช้าๆ มิได้คาดคั้นต่อ เพียงกล่าวว่า “สมกับเป็นคุณชายตระกูลเหมย จิตใจและสติปัญญาไม่ธรรมดา”

 

 

แค่คำสองคำก็หยุดการรุกของนางได้ คุณชายใหญ่ตระกูลเหมยคนนี้เป็นดั่งที่นางคาดไว้ นอกจากรูปลักษณ์โดดเด่นแล้ว สติปัญญาก็เหนือกว่าคนทั่วไปด้วย

 

 

“เหมยซูเป็นเพียงพ่อค้าธรรมดา มิกล้ากล่าวถึงชื่อเสียง” เหมยซูยิ้มแย้ม สายตาหยุดอยู่บนร่างชิวเยี่ยไป๋ “เมื่อครู่น้องสาวข้าพลัดตกน้ำ เหมยซูว้าวุ่นจนเสียมารยาท ถึงกับให้บ่าวไพร่นำชุดเก่าของข้ามาให้ใต้เท้าสวมใส่ ขอใต้เท้าโปรดให้อภัย ข้าจะให้คนไปนำชุดใหม่ที่เหมาะกับตัวมาให้ใต้เท้า”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋งงงัน นางนึกไม่ถึงว่าเสื้อผ้าชุดนี้จะเป็นของเหมยซูเอง การสวมเสื้อผ้าของบุรุษแปลกหน้าทำเอารู้สึก…เอ่อ…รู้สึกพิกล นางจึงรีบกล่าวตามน้ำว่า “มิเป็นไร ข้ารอตรงนี้ก็แล้วกัน”

 

 

เหมยซูกวาดตาทั่วร่างเหมือนกำลังวัดสัดส่วนของนางแล้วกล่าวอย่างมินำพาว่า “เหมยซูเห็นใต้เท้าสุภาพเรียบร้อย คนทางเหนือน้อยคนนักที่จะรูปร่างสูงโปร่งเช่นใต้เท้า”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้ากล่าวเนือยๆ ว่า “คุณชายเหมยสายตาแหลมคม มารดาข้าเป็นชาวใต้ เมื่อครั้งวัยเยาว์ข้าเคยอยู่ในซุนโจวระยะหนึ่ง ภาษาของพวกท่านข้าก็พอจะฟังรู้เรื่องอยู่บ้าง”

 

 

เหมยซูแย้มยิ้ม ดวงตาเหมือนมีหมอกบางเบาทำให้มองไม่ถนัด “อย่างนั้นหรือ ดูท่าเราคงมีบุพเพต่อกัน ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้บ่าวไพร่รีบไปนำชุดใหม่มาให้ น้องชายข้ารูปร่างพอๆ กับใต้เท้า”

 

 

สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ลำคอของชิวเยี่ยไป๋ แล้วผงกศีรษะเป็นเชิงคารวะและลงจากหอตามลำพัง สั่งคนรับใช้อย่างละเอียดให้ไปนำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้

 

 

พอเหมยซูลงจากชั้นบน ชิวเยี่ยไป๋รีบหลับตาอย่างสุดกลั้น ถอนหายใจเฮือกใหญ่! ลอบสบถคำหนึ่ง!

 

 

วันนี้ตนเองโง่จริง แส่ไม่เข้าเรื่อง!

 

 

ยังดีที่ม้วนผมเต็มศีรษะที่เปียกโชก เช็ดลวกๆ แล้วรัดไว้

 

 

ยังดีที่นางว่องไว เหมยซูเพียงเห็นแค่หัวไหล่ข้างหนึ่ง ไม่เห็นสายรัดอกจากด้านหลัง

 

 

ยังดีที่เมื่อครู่รับมือได้เหมาะเจาะ ไม่เช่นนั้นคนเจนโลกเช่นเหมยซู มีหรือจะดูไม่ออกว่านางเป็นสตรี!

 

 

นึกถึงการโต้ตอบอันเรียบง่ายกับเหมยซูเมื่อครู่ ทุกประโยคล้วนซ่อนความนัย นางแววตาวิบวับ ตระกูลเหมยช่างน่าสนใจจริงๆ

 

 

คนเป็นน้องจู่ๆ กระโดดลงน้ำ ตามด้วยพี่ชายที่ไม่อยู่ดูแลน้องสาวก่อน แต่กลับมาสำรวจสภาพศัตรู

 

 

เมื่อเหมยซูสั่งการด้วยตนเอง บ่าวไพร่ย่อมรีบทำเป็นธรรมดา ครู่เดียวเสื้อผ้าสะอาดเอี่ยมอ่องชุดใหม่ก็พร้อมแล้ว

 

 

เสื้อคลุมแพรสีน้ำเงินอ่อนลายนกกระเรียนด้นเมฆตัดเย็บอย่างประณีตแลดูงดงาม

 

 

ชิวเย่ไป๋ลองสวมดูก็พบว่าพอเหมาะพอเจาะกับตนเอง เพียงแต่สายรัดเอวยาวเกินไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเพิ่งแก้ไขให้เข้ากับชุดใหม่ ช่างเย็บปักถักร้อยของตระกูลเหมยไม่เพียงมีฝีมือที่รวดเร็วไม่ทำให้เสียเวลาแม้แต่น้อยเท่านั้น ส่วนที่แก้ไขก็ไม่เห็นร่องรอย เห็นได้ว่ามีความประณีตบรรจงมากทีเดียว