ช่วงหลายวันนี้ประธานเชี่ยนวุ่นแต่กับการจัดการเก็บป้ามหาภัย ไม่มีเวลาคิดเรื่องผู้อำนวยการ หรือจะเป็นเหมือนอย่างที่พี่ใหญ่พูด ผู้อำนวยการทำเรื่องเลวๆไว้เยอะเลยโดนลงโทษ?
เรื่องนี้มีจุดที่น่าสงสัย ทำไมก่อนหน้านี้ตั้งนานไม่บ้า กลับมาเป็นบ้าหลังจากที่เธอถูกผู้อำนวยการเล่นงาน?
แต่คนรอบตัวที่เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงว่าอาจเป็นคนเล่นงานผู้อำนวยการล้วนไม่มีความสามารถถึงขั้นนั้น ซึ่งก็มีแค่ไม่กี่คน
ก่อนอื่นเลยตัดพี่ใหญ่ทิ้งได้ ถึงพี่ใหญ่จะเป็นนักธุรกิจแต่ก็มีขอบเขต เรื่องที่เกินความจำเป็นแบบนี้เขาไม่ทำแน่นอน ถ้าพ่ออวี๋รู้เข้าเอาเขาตายแน่ พี่ใหญ่รู้ดีว่าสถานะของบ้านเขาเป็นยังไง รู้ว่าเรื่องไหนทำได้เรื่องไหนทำไม่ได้
ฟู่กุ้ยก็มีความสามารถถึง แต่นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ นิสัยที่ชอบท่องคำสอนผู้นำจนติดปากแบบนั้นจะกล้าถึงขนาดล้างแค้นให้เธอโดยใช้วิธีร้ายกาจแบบนี้ได้ยังไง?
เจิ้งซวี่มีความเป็นไปได้…
แต่ประเด็นคือ เจิ้งซวี่ไม่ได้รู้เรื่องนี้เลย
เธอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นนอกจากครอบครัวอวี๋ที่รู้เรื่อง แม้แต่ครอบครัวตัวเองเธอก็ไม่ได้บอก กลัวว่าครอบครัวเธอจะโมโหเป็นเดือดเป็นร้อนแทนยกใหญ่
หรือจะเป็นเสี่ยวเฉียง?
เสี่ยวเชี่ยนลองคิดดู อวี๋หมิงหลางเป็นห่วงเธอขนาดนั้น มีความเป็นไปได้ที่เขาจะลงมือ แต่เท่าที่เธอรู้จักเสี่ยวเฉียงดี ถึงอวี๋หมิงหลางจะมีนิสัยทำแบบนั้นได้ แต่เขาก็มีขอบเขต นึกถึงตอนนั้นที่เขาไปคิดบัญชีกับคนเลวที่คิดจะหลอกเธอแต่งงาน เขาไม่ยอมใช้วิธีสกปรกเลยด้วยซ้ำ แบบนั้นไม่ใช่นิสัยของเขา
อีกอย่าง อวี๋หมิงหลางถูกเรียกตัวไปสร้างชื่อให้ประเทศชาติแล้ว เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบปิดแล้วจะมีเวลามายุ่งเรื่องพวกนี้ได้ยังไง?
งั้นนอกจากคนเหล่านี้แล้ว เสี่ยวเชี่ยนก็นึกไม่ออกอีกว่าใครจะทำให้ผู้อำนวยการเป็นบ้าได้ เธอตัดคนทิ้งไปหนึ่งรอบ จากนั้นก็ล็อคเป้าไปที่เจิ้งซวี่ เพราะมีแค่สถานะและนิสัยอย่างเขาเท่านั้นที่พอจะทำเรื่องแบบนี้ได้
เสี่ยวเชี่ยนจึงโทรหาเจิ้งซวี่ เขารับสายอย่างไว
“เฉินเสี่ยวเชี่ยนอยู่ไหน?” น้ำเสียงเจิ้งซวี่ออกแนวรำคาญ
“ฉันอยู่บ้าน นายอยู่ไหน?”
“ผมอยู่หน้าตึกคุณ ทำไมในบ้านไม่เห็นมีคนอยู่? แล้วเสียงเป็นอะไร เล่นรุนแรงกับไอ้หมาทหารนั่นจนเสียงแหบเป็นเป็ดเลยเหรอ?”
เสี่ยวเชี่ยนชะโงกหน้าออกไปดู ข้างล่างไม่เห็นมีใคร เธอเพิ่งจะนึกออกว่าเขาอาจหมายถึงบ้านเก่า
“นายรอเดี๋ยวนะเดี๋ยวฉันกลับไป”
ฟังจากที่เจิ้งซวี่พูด ขนาดเขายังไม่รู้เลยว่าทำไมเสียงเธอถึงเป็นแบบนี้ หรือจะไม่ใช่เขา? ช่างเถอะ เจอหน้ากันเดี๋ยวก็รู้ เสี่ยวเชี่ยนตัดสินใจไว้เจอก่อนค่อยเล่า
เธอเปลี่ยนชุดแล้วกลับไปบ้านเก่า พอไปถึงหน้าตึกก็เห็นเจิ้งซวี่ยืนพิงรถอยู่ ที่พื้นมีขี้บุหรี่เต็มไปหมด
“มาหาฉันทำไมไม่โทรบอก?”
“โทรแล้วแต่ไม่ติด…แล้วทำไมคอเป็นแบบนั้น?” เจิ้งซวี่สังเกตเห็นรอยสีม่วงที่คอเสี่ยวเชี่ยน
“เรื่องมันยาว ขึ้นไปคุยกันข้างบน”
“คุณ” อาข่าที่ท่าทางซูบซีดหิ้วขยะออกมาจากตึก พอเห็นเจิ้งซวี่ก็ชี้หน้าเขาด้วยความตกใจ เจิ้งซวี่พอเห็นเธอก็เส้นเลือดปูดที่หน้าผาก ทางที่ดีขอให้เธออย่าพูดชื่อที่ฟังแล้วอยากจะบ้านั่น
“คุณริดสีดวงหอม”
ใช่ ชื่อนี้นี่แหละที่ทำให้อยากบ้า
เจิ้งซวี่อยากหักคอเธอให้ตาย
“ผมชื่อเจิ้งซวี่ ถ้าคุณกล้าตั้งชื่อให้ผมส่งเดชอีกผมจะฆ่าคุณให้ตาย ขอย้ำอีกครั้ง ผมไม่ได้เป็นริดสีดวง”
“เป็นริดซี่ก็ไม่เห็นน่าอายตรงไหนเลย…” อาข่าพึมพำ ขณะที่เจิ้งซวี่ตัดสินใจว่าต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงเขาก็จะฆ่าให้ตาย ทันใดนั้นอาข่าก็ชี้เสี่ยวเชี่ยนที่อยู่ด้านหลัง
“อ๊า กลับมาแล้ว”
“จะตกใจอะไรนักหนา ทำอย่างกับไม่เคยเจอกัน” เสี่ยวเชี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
จะไม่ให้ตกใจได้ไง อาข่าเกือบถูกบอสเฉ่งตายเพราะเรื่องของเสี่ยวเชี่ยน เพราะเธอไม่ได้ตามติดเสี่ยวเชี่ยนจนเสี่ยวเชี่ยนเกือบถูกคนทำร้ายอาการสาหัส บอสโมโหยกใหญ่ อาข่าเองก็ยอมรับผิด
พอเสี่ยวเชี่ยนกลับมาก็ไม่มาอยู่ที่นี่แล้ว หมู่บ้านทหารที่เธออยู่คนทั่วไปเข้าไม่ได้ ช่วงหลายวันมานี้เสี่ยวเชี่ยนก็ไม่ได้ไปที่มหาวิทยาลัย อาข่าพอไม่เห็นเธอก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย แต่พอได้เห็นแล้วก็รู้สึกผิดต่อเสี่ยวเชี่ยน โดยเฉพาะตอนมองรอยที่คอเธอ
เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของอาข่า เธอหันไปส่งสัญญาณให้เจิ้งซวี่ขึ้นตึก อาข่ารีบตามไปเข้าลิฟท์ด้วย พอเข้าไปก็เห็นเสี่ยวเชี่ยนกับเจิ้งซวี่มองด้วยสายตาแปลกๆ
“เธอ…ไม่ทิ้งขยะแล้วเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนชี้ไปที่ถุงขยะในมืออาข่า อาข่าเองก็เพิ่งนึกออก
“งั้นเดี๋ยวเธอห้ามหลบหน้าฉันนะ ฉันมีของจะให้เธอ”
พอประตูลิฟท์ปิดเจิ้งซวี่ก็ทำสีหน้ารังเกียจ
“ยัยฝรั่งหัวทองนี่คุณไปเก็บมาจากไหน?”
“เขาเข้ามาเจ๊าะแจ๊ะเอง ฉันก็เคยคิดเรื่องนี้นะ แต่สืบประวัติไม่เจอ”
เสี่ยวเชี่ยนสืบไม่เจอ เจิ้งซวี่เองก็ย่อมสืบไม่เจอเหมือนกัน ผู้หญิงผมทองที่ประวัติยังคงเป็นปริศนาคนนี้
พอเห็นเจิ้งซวี่ทำหน้ารังเกียจ เสี่ยวเชี่ยนก็ทนแล้วทนอีกสุดท้ายก็ทนไม่ไหว
“เจิ้งซวี่ นายเป็นริดสีดวงตั้งแต่เมื่อไร? ฉันแนะนำหมอให้เอาไหม?”
“ผม ไม่ ได้ เป็น” ตอนนี้เจิ้งซวี่ถึงขนาดที่เห็นเสี่ยวเชี่ยนแล้วยังอยากถีบ ใครกล้าถามเขาเรื่องนี้อีก เขาลุยแน่
“…ดังนั้น สรุปว่าคุณเดินๆอยู่ก็ถูกคนบ้าเข้ามารัดคอ?”
หลังจากที่เจิ้งซวี่ฟังเสี่ยวเชี่ยนเล่าจบก็มีสีหน้าตกใจมาก
เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า
“ไปซื้อหวยเถอะ อาจถูกรางวัลใหญ่” ในสายตาอขงเจิ้งซวี่ผู้ที่ไม่รู้ที่มาของเรื่อง เขารู้สึกว่าโอกาสที่เดินๆอยู่แล้วถูกคนบ้ารัดคอไม่ต่างอะไรกับการถูกหวย
เสี่ยวเชี่ยนพอเห็นท่าทางของเขาก็มั่นใจว่าเรื่องนี้เขาไม่เกี่ยว เจิ้งซวี่ไม่ได้เป็นคนทำให้ผู้อำนวยการเป็นบ้า เขาไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องที่เธอมีความแค้นส่วนตัวกับผู้อำนวยการ
“แล้วนายมาหาฉันทำไม?”
เจิ้งซวี่ได้ยินดังนั้นก็ล้วงซองออกมาจากกระเป๋ายื่นให้เสี่ยวเชี่ยน
“มีคนอยากเชิญจิตแพทย์ไปรักษาโรคจิตเภทด้วยค่าตอบแทนจำนวนมาก ผมมาเยี่ยมพ่อพอดีเลยจะมาถามคุณว่าอยากรับงานนี้ไหม”
“สำหรับผู้ป่วยโรคจิตเภท จิตแพทย์ทำได้เพียงเป็นผู้ช่วยในการรักษา ต้องให้หมอประสาทเป็นคนดูแล อีกทั้งต้องกินยาติดต่อกันนาน จ่ายสูงเพื่อเชิญจิตแพทย์ไปรักษาไม่มีความหมายเท่าไรหรอก จิตแพทย์ของศูนย์บำบัดผู้ป่วยโรคประสาทอาจช่วยได้นะ”
เสี่ยวเชี่ยนคิดในใจ ช่วงนี้คนเป็นโรคจิตเภทเยอะจริง ไปไหนก็เจอ ปรากฏว่าพอเปิดแฟ้มประวัติดูเธอก็พูดไม่ออก
“ทำไมเขาไปติดต่อนายได้ล่ะ?”
นี่มันผู้อำนวยการไม่ใช่เหรอ?
“ได้ยินว่าญาติคนไข้วิ่งเต้นไปหาคนช่วยมากมาย สืบมาจากหลายๆที่เลยรู้ว่าเมืองQมีจิตแพทย์เก่งๆอยู่คน ก็เลยลองมาหาผม มีอะไรเหรอ?”
เสี่ยวเชี่ยนปิดแฟ้มส่งคืนอย่างเซ็งๆ
“เอากลับไปเถอะ ฉันไม่รักษาคนๆนี้ หมอมีตั้งเยอะแยะให้พาไปรักษากับคนอื่นเถอะ”
ถึงเธอจะไม่ได้โหดเหี้ยมถึงขนาดอยากทำให้ผู้อำนวยการเป็นบ้า แต่ก็ไม่ได้มีเมตตาถึงขนาดจะรักษาคนเลวที่เคยคิดร้ายกับเธอได้ ถ้าเธอทำใจให้เป็นกลางไม่ได้ก็ไม่อยากยุ่ง ยิ่งไปกว่านั้นใครจะไปรู้ว่าถ้าผู้อำนวยการเห็นเธอแล้วจะเป็นยังไง อาจอาการหนักกว่าเดิมก็ได้