สุดท้ายฉันก็ไม่ได้หนีไป ไม่สิ ต้องบอกว่าฉันไม่มีกระทั่งความกล้าที่จะหนีไปถึงจะถูก ตอนเช้า หลังจากลืมตาตื่นขึ้นในห้องนั้น ฉันก็เก็บอัญมณีที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นนำมันไปเก็บไว้ที่เดิมและจัดห้องใหม่ เพื่อที่สักวันหนึ่งเมื่อฉันหายไปจะได้ไม่ต้องมาเก็บกวาดอีกแล้ว

หลังจากคืนนั้นฉันก็เยือกเย็นขึ้นอย่างน่าประหลาด คงเพราะเมื่อเกินขอบเขตความกลัวที่สามารถควบคุมได้ ชั่วขณะหนึ่งเราก็จะไม่รู้สึกถึงมันอีกต่อไป บางทีฉันอาจจะเลิกหวังแทนที่จะมีความกล้าในการหลบหนีแล้ว ฉันรอกลุ่มคนที่จะมาหาอย่างสงบนิ่ง

อย่างไรก็ตามแม้การเตรียมใจของฉันจะน่าอับอาย แต่กลับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย วิหารหลวงกลับมาอยู่ในความสงบขึ้นอีกครั้งทีละน้อย

ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป ราธบันไม่มาหาฉัน รองผู้บัญชาการหน่วยอัศวินมาพบและกล่าวว่าจะมาอารักขาแทนเขา

“เซอร์ราธบันเขา…”

“เขาบอกว่าจะต้องตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ให้ละเอียดขึ้นขอรับ”

“…เช่นนี้เอง”

ฉันไม่ถามต่อ

‘ตรวจสอบอย่างนั้นเหรอ…’

ตรวจสอบว่าทำไมฉันถึงสูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ไปเหรอ? เขาจะมาจับหลังจากเตรียมหลักฐานครบถ้วนใช่ไหม? ไม่คิดเหรอว่าระหว่างนั้นฉันอาจจะหนีไป?

ในตอนที่กำลังจมอยู่กับคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมาเต็มหัว รองผู้บัญชาการหน่วยอัศวินก็เอ่ยขึ้น

“ก่อนข้าจะเข้ามา เหล่านักบวชระดับสูงได้ขอให้ข้ามาถามท่านนักบุญหญิงว่าหากท่านสะดวก จะดำเนินตารางงานภายในวิหารหลวงต่อไปได้เลยหรือไม่ขอรับ”

“ตอนนี้หรือ?”

“ใช่ขอรับ ช่วงนี้บรรยากาศวุ่นวายเพราะอะไรหลายอย่าง แถมยังมีข่าวลือไม่ดีแพร่สะพัดอีก…”

“ข่าวลือไม่ดีคงหมายถึงเรื่องนักบุญหญิงอีกผู้หนึ่งกระมัง”

ทันทีที่ฉันพูดถึงเรื่องอีริสตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อม รองผู้บัญชาการหน่วยอัศวินก็ค้อมหัวลงราวกับยอมรับว่าตนกำลังกำลังพูดถึงข่าวลือนั้น

“…ใช่ขอรับ”

“ได้ แล้วต้องการให้ข้าทำงานอะไรอย่างนั้นหรือ?”

รองผู้บัญชาการหน่วยอัศวินตอบทันทีที่ฉันถามกลับ

“พวกเขาต้องการให้ท่านไปเยี่ยมเยียนบ้านแห่งความตายเพื่อเป็นการภาวนาให้กับผู้ที่อีกไม่นานก็จะจากโลกนี้ไปขอรับ”

บ้านแห่งความตาย

แม้ชื่อจะน่าหวาดหวั่น แต่ที่นั่นเป็นเพียงสถานที่ที่ผู้คนซึ่งแม้กระทั่งพลังศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจประคับประคองได้อีกต่อไปกำลังรอคอยการไปพักผ่อนอย่างเงียบสงบ เหล่านักบวชต้องการให้ฉันไปที่นั่นเพื่อภาวนาให้พวกเขาที่กำลังจะจากโลกที่ไปเป็นครั้งสุดท้าย ดูเหมือนพวกเขาจะคิดว่าตารางงานที่ต้องไปพบปะผู้คนเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด

ทันทีที่เข้าไปข้างใน เหล่านักบวชที่ยืนรอต้อนรับฉันก็ค้อมตัวลง

“ยินดีต้อนรับขอรับ กำลังรออยู่เลย”

ฉันกวาดตามองบ้านแห่งความตาย เรียกได้ว่าเป็นอาคารสะอาดสะอ้านที่ทาสีขาวโพลน ทั้งยังมีสวนขนาดเล็กประดับตกแต่งอย่างงดงามอยู่ทั่ว หมู่วิหคกำลังโบยบินและส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ระหว่างต้นไม้ในสวนที่ถูกดูแลอย่างดี

ตรงกลางสวนมีน้ำพุเล็กๆ กำลังพุ่งขึ้นและส่งเสียงน่าฟัง แสงแดดที่สาดส่องลงมาในสวนแห่งนี้ทำให้ที่นั่นดูราวกับแดนสวรรค์ขนาดย่อมขึ้นมาทันที สายลมที่พัดโชยมาอย่างพอดิบพอดีมีกลิ่นสดชื่นของสมุนไพรปะปนมาด้วย

“เป็นสถานที่ที่ดี”

“พวกเราพยายามให้ทุกคนได้อยู่อย่างสงบจนถึงช่วงวินาทีสุดท้ายขอรับ”

เมื่อมองใบหน้าของนักบวชที่พูดประโยคนั้น ฉันก็สามารถรับรู้ได้เลยว่าเขาภาคภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้ช่วยบรรเทาความหวาดกลัวให้กับผู้คนที่กำลังจะจากโลกใบนี้กลับไปอยู่เคียงข้างพระเจ้า ฉันมองดูสวนอีกครั้งก่อนจะเอ่ยกับเหล่านักบวช

“ข้าจะไปพบผู้ป่วยคนเดียว พวกเขาคงไม่อยากให้มีคนยกขบวนไปเป็นฝูงเช่นนี้หรอก”

“แต่ว่า…”

“ได้ยินว่าส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นผู้คนที่ไม่มีกระทั่งแรงจะลุกขึ้น ไม่ทราบว่ายังมีเรื่องอันตรายอื่นใดอีกหรือไม่?”

“ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ แต่อย่างไร…”

ฉันโบกมือ นักบวชจึงได้ค้อมตัวราวกับตอบรับราบกับเข้าใจที่ฉันจะสื่อว่าไม่อยากฟังต่อ ฉันสั่งให้พวกเขาถอยหลังกลับไป ก่อนจะเดินผ่านสวน และเข้าไปในพื้นที่ส่วนของผู้ป่วย มีทั้งส่วนที่เปิดโล่งกว้างและส่วนที่มีห้องเล็กๆ แบ่งแยกไว้

ฉันเดินเข้าไปหาเตียงนอนที่อยู่ใกล้ที่สุด ที่นั่นมีหญิงสาวซึ่งทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยฝีหนองไม่น่ามองนอนอยู่ ใบหน้าบูดบี้จนแยกไม่ออกว่าตา จมูกและปากอยู่ตรงไหน

ใครเห็นก็รู้ว่าหญิงสาวอยู่ในสภาพที่แม้แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจรักษาได้โดยสิ้นเชิง ทันทีที่ฉันนั่งลงด้านข้าง หญิงผู้นั้นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“…ค …ใคร”

ฟันที่ไม่เป็นระเบียบทำให้นางจะส่งเสียงออกมาอย่างอืดอาด แต่ฉันก็สามารถเข้าใจได้ว่านางพูดอะไร

หญิงสาวกะพริบตาอยู่หลายครั้ง ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างยากลำบาก

“…ท่านนักบุญหญิงนี่เอง”

ฉันไม่อาจตอบอะไร ฉันไม่มีความกล้าที่จะโกหกว่าตนเองเป็นนักบุญหญิงแก่คนที่กำลังเข้าใกล้ความตาย มือของนางกระดุกกระดิกราวกับพยายามจะจับฉัน ทันทีที่ฉันเข้าไปจับมือนางอย่างรวดเร็ว นางก็ยิ้มสดใสยิ่งกว่าเดิม

เมื่อมองดูมือที่จับกัน ฉันก็พอจะเข้าใจว่าทำไมนางถึงยิ้ม

ฉันเองก็เคยมีช่วงเวลาแบบนี้เหมือนกัน ในตอนที่ทั่วทั้งผิวหนังเป็นตุ่มหนองเพราะแพ้ยาที่จำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อ ฉันไม่สามารถกลับไปยังห้องพักผู้ป่วยรวมได้ นั่นเพราะทุกคนต่างก็มองตากันและแสดงความไม่สบายใจอย่างโจ่งแจ้ง หากดวงไม่ดี คนที่ใช้เตียงด้านข้างก็ถุยน้ำลายใส่หลังฉันที่นอนตะแคงอยู่เช่นกัน บางทีก่อนที่หญิงคนนี้จะเข้ามาที่นี่ก็คงไม่ต่างกันนัก

นางบีบมือฉันครั้งหนึ่ง ก่อนปิดตาลงช้าๆ ราวกับใช้เรี่ยวแรงไปทั้งหมดแล้ว ลมหายใจของนางเบาบางลงเรื่อยๆ จากนั้นไม่นาน มือของนางที่จับฉันอยู่ก็ตกลงบนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง

ฉันไม่ได้ร้องไห้ เพียงแค่คลุมผ้าห่มบนใบหน้าที่ดูสงบสุขของนาง ก่อนจะทำสำคัญมหากางเขนสั้นๆ

สิ่งที่ฉันผู้เป็นตัวปลอมจะทำเพื่อปลอบโยนเส้นทางสุดท้ายของนางได้ก็คงเป็นสิ่งนี้

ไม่รู้ว่าฉันเดินวนไปแบบนั้นกี่ที่แล้ว แม้ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนที่อายุมาก แต่กระนั้นก็ยังมีคนที่ยังเป็นเด็กน้อยอยู่บ้าง การตอบสนองของพวกเขาก็ต่างกันไป หากมีคนที่ยอมรับความตายเงียบๆ อย่างเช่นหญิงสาวในคราวแรก ก็มีคนที่ร้องห่มร้องไห้ว่าไม่อยากตายเช่นกัน

“ฮู…”

ไม่รู้ว่าใช้เวลาอยู่ด้านในไปนานเท่าไร กว่าฉันออกมาจากสวน หลังจากกล่อมเด็กที่เจอคนสุดท้ายและมั่นใจได้ว่าเขาหลับ ก็เป็นตอนที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว

‘น่าจะเจอครบแล้ว…ตอนนี้ก็ควรกลับได้แล้วล่ะ’

นอกจากเตียงหลังหนึ่งที่เว้นว่างไว้ตั้งแต่แรก ฉันได้พบผู้ป่วยทุกคนและจับมือพวกเขาพลางสวดภาวนาให้ นั่นคือทั้งหมดที่ฉันสามารถทำได้

ในตอนที่ฉันลุกขึ้นและกำลังจะเดินไปยังประตูทางเข้าก็ได้ยินเสียงดังกริ๊กและเสียงเปิดประตูเปิดออก ทันทีที่ฉันหันหน้าไปด้วยความสงสัยว่าที่นี่ยังมีคนที่สภาพร่างกายไม่เลวจนยังเดินได้อยู่เหรอ ก็พบว่าตรงนั้นมีห้องที่ประตูแง้มอยู่เล็กน้อย ลมพัดเปิดเหรอ?

ตอนนั้นเอง ด้านในก็มีเสียงไอค่อกแค่กดังขึ้น

‘มีคนเหรอ?’

ฉันไม่ได้เข้าไปที่นั่นเพราะคิดว่าคือห้องเก็บของ แต่กลับมีคนอยู่เสียได้ ด้วยเพราะอยากเจอคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันจึงรีบเดินไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว

“เป็นไรหรือไม่? เสียงไอ…แค่ก!”

ก่อนที่ฉันจะได้เข้าไปในห้องก็มีมือยื่นออกมาจากด้านในกระชากคอฉันและโยนเข้าไปในนั้น ประตูปิดลงในระหว่างที่ฉันยังไม่อาจตั้งสติ คนที่ดึงฉันเข้ามาขึ้นคร่อมบนตัว ก่อนจะใช้สองมือบีบคอ ฉันสะบัดแขนขาและผลักเขาออกไปตามสัญชาตญาณ

เพี๊ยะ!

ทันทีที่มือที่กวัดแกว่งตบเข้าที่ใบหน้าของเขา ชายหนุ่มก็กุมหน้าตนเองพร้อมกับคำราม แต่ก็แค่มือที่บีบคอลดลงไปหนึ่งข้างเท่านั้น เขายังคงไม่ลุกออกไปจากตัวฉัน ขณะที่เขาลดมือที่กุมหน้าออก เราก็สบตากัน

“ชีเดล!”

เป็นเพราะเส้นผมยุ่งเหยิง หนวดเครารุงรังและเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งจึงทำให้ฉันจำเขาไม่ได้ในคราแรก ทว่าเมื่อสบเข้ากับสายตาวิกลจริตที่จ้องฉันเขม็งแบบนี้ ฉันก็จำได้ว่าเขาคือใคร เป็นสายตาที่ฉันไม่มีวันลืม สายตาคู่นั้นที่บีบคอฉันหน้าบ้านของราธบัน คนที่ทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงความตายอีกครั้งหลังจากมาโลกใบนี้เป็นครั้งแรก

เขาจ้องฉันเขม็งพลางกล่าว

“นักบุญหญิงตัวปลอม”

“…!”

เขาคลี่ยิ้มภูมิใจทันทีที่ฉันเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำนั้นราวกับเด็กที่ทายคำตอบถูก

“พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงมีคำสั่งให้ข้าลงโทษเจ้า”

พูดจบ ชีเดลก็ยกแขนขึ้น ชั่วขณะที่เห็นแสงวิบวับในมือเขา ฉันก็กลิ้งตัวตามสัญชาตญาณ ร่างกายเขาขยับจนเกิดเสียงลม ชีเดลเคลื่อนไหวอย่างว่องไวจนยากจะเชื่อว่านี่คือคนที่กำลังจะตาย

เคร้ง!

เสียงดังขึ้นพร้อมกับกริชที่อยู่ในมือของชีเดลกระแทกลงบนจุดที่หัวของฉันวางอยู่เมื่อครู่ก่อนจนเกิดประกายไฟ

“ช…”

ฉันอุดปากหลังจากพยายามตะโกนขอความช่วยเหลือ ถ้าตะโกนออกไปตอนนี้? คนอื่นๆ ต้องมารวมตัวกันแน่ แล้วชีเดลจะพูดอะไรกับพวกเขากัน

‘จะต่างกันก็แค่ตายช้าตายเร็วเท่านั้น’

ต่อให้ชีเดลไม่พูด แต่เมื่อทุกคนมาถึงก็คงตระหนักได้ทันที ว่าตอนนี้ฉันไม่เหลือกระทั่งพลังศักดิ์สิทธิ์ที่จะปกป้องร่างกายแล้ว

“อีนางชั่ว ยังหวังจะมีชีวิตอยู่หลังจากดูหมิ่นพระเจ้าอีกหรือ”

ชีเดลไม่เร่งรีบหลังจากรับรู้ว่าฉันทำได้เพียงหลบหนีและไม่อาจหยุดเขาได้ ร่างกายที่หายใจหอบของเขาผอมกะหร่องต่างจากที่เห็นครั้งล่าสุด ฉันนึกย้อนถึงเตียงนอนที่ไม่มีใครตั้งแต่แรก นั่นคงเป็นเตียงของชีเดล

ใบหน้าของชีเดลเอาจริงเอาจังเป็นที่สุดประหนึ่งคนที่แบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ เขาใช้สายตาที่ราวกับกำลังมองสิ่งปรกอันน่าสะอิดสะเอียดจ้องมาทางฉันพลางกล่าว

“เจ้ากล้าดีอย่างไรมาแอบอ้างเป็นนักบุญหญิงแล้วใช้ร่างกายโสโครกนี้มายั่วยวนท่านราธบัน”

เขาพูดเช่นนั้นพลางขยำหน้าอกฉันอย่างแรง ความรู้สึกที่เขามีคือความรังเกียจเท่านั้น ไม่มีความใคร่แม้แต่น้อย เขาคิดว่าร่างกายนี้สกปรกจากใจจริง

“ข้าได้ยินเรื่องชั่วๆ ที่เจ้าทำกับท่านนักบวชคาร์ลแล้ว รวมถึงเรื่องที่เจ้าล้มเหลวในการส่งปีศาจสกปรกให้ท่านผู้นั้นด้วย”

“…คาร์ลนี่เอง”

ชีเดลอยู่ในคุกใต้ดินก่อนที่จะขึ้นมายังบ้านแห่งความตาย และตอนนี้คาร์ลก็อยู่ที่นั่น แค่ความจริงข้อนั้นก็ทำให้ฉันคาดเดาเรื่องราวทั้งหมดได้

“อย่าเอ่ยชื่อของท่านผู้นั้นด้วยปากสกปรกของเจ้า!”

ชีเดลตัวสั่นและบีบคอฉันแรงขึ้นราวกับไม่ยินยอมกระทั่งให้ฉันเอ่ยชื่อของคาร์ล นี่ไม่ใช่แรงที่คนซึ่งอยู่ในสภาพนี้จะทำได้โดยเด็ดขาด

“พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้มอบงานอันศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ข้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากโลกนี้ไป หากฆ่าเจ้าและเผยแพร่เรื่องที่เจ้าเป็นนักบุญหญิงตัวปลอมได้ ท่านนักบวชคาร์ลก็จะหลุดพ้นจากมลทิน ได้กลายเป็นผู้อาวุโส และจัดการเรื่องราวทุกอย่างได้ และเมื่อต้อนรับนักบุญหญิงตัวจริงเข้ามา วิหารหลวงจะกลับไปเป็นแบบเมื่อก่อนได้เสียที”

ชีเดลพึมพำด้วยใบหน้าอันหนักอึ้ง เมื่อได้ยินดังนั้น ฉันก็เข้าใจว่าเขาคะนึงหาสิ่งใด

เขากำลังต้องการความสงบสุขอันจอมปลอมในสมัยที่อีเบลลีน่ายังคงทำตามประสงค์ของคาร์ล ก่อนที่นางจะถูกทำลาย

ชีเดลปรับท่าทางจับกริชในมือ ไม่รู้เพราะคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดอีกต่อไปหรือไม่ เขาถึงได้กัดปากอย่างเคร่งเครียด แค่เขาเหวี่ยงมืออีกเพียงครั้งเดียว ฉันก็จะตาย

‘จะตายแบบนี้ไม่ได้’

ฉันตั้งใจจะยอมแพ้ทุกอย่างจนถึงเมื่อครู่ก่อน ทว่าทันทีที่คำว่าต้อนรับนักบุญหญิงตัวจริงหลุดออกจากปากของชีเดล ร่างกายก็พลันมีเรี่ยวแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

‘คิดจะทำแบบเดิมอย่างนั้นเหรอ?’

คาร์ลตั้งใจจะทำซ้ำเดิมอีกครั้ง เขาจะต้องควบคุมนักบุญหญิงอีกคนด้วยวิธีการเดียวกับที่ทำลายอีเบลลีน่า ฉันมองด้านข้าง คงเพราะแต่เดิมคือห้องเก็บของจริงๆ ข้าวของต่างๆ ที่ร่วงหล่นลงมาในตอนที่ฉันล้มลงที่นั่นถึงได้กระจัดกระจายไปทั่ว ไม้กวาดไม้ด้ามยาวพลันปรากฏเข้าสู่สายตาท่ามกลางสิ่งของเหล่านั้น

มือของชีเดลขยับ ชั่วขณะนั้น มือของฉันก็หยิบไม้กวาดขึ้นทันที

เคร้ง! กริชของชีเดลกระแทกเข้ากับด้ามไม้กวาด ความโชคดีหยุดลงที่ตรงนั้น ชีเดลแกว่งแขนอย่างรำคาญ ด้ามไม้กวาดที่อยู่ในมือฉันกระเด็นไปมุมหนึ่งของห้องเก็บของเหมือนเดิม