ฉันย้อนนึกถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ในขณะที่ราธบันสอนวิธีจับกริชให้ฉันในคาบเรียนที่มีไม่บ่อยของเขา เขาตกอยู่ในความคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะสอนอย่างอื่นให้
“นี่คือท่าอะไรหรือ?”
“เป็นวิธีถ่วงเวลาไว้ชั่วครู่ในกรณีที่มีใครบางคนเข้าใกล้เพื่อโจมตีขอรับ”
“หากแค่ชั่วครู่ สุดท้ายแล้วก็มิใช่ว่ามันไม่มีประโยชน์ใดหรือ?”
ทันทีที่ฉันถามกลับไปแบบนั้น เขาก็ลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“…ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใด ข้าจะเข้าไปขวางก่อนที่ท่านจะได้รับการโจมตีเป็นครั้งที่สองเอง”
“…”
ไม่รู้ทำไมเมื่อได้ฟังคำพูดอ้อมค้อมของเขาที่บอกว่าเขาจะวิ่งมาหาทันทีไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าเวลาใด มุมหนึ่งของหัวใจถึงได้รู้สึกคันยุบยิบจนทำให้ฉันต้องหลบสายตา
‘โกหก’
ตอนนี้การโจมตีครั้งที่สองกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว แต่ราธบันก็ไม่มา กริชของชีเดลวูบไหวอย่างน่าหวาดเสียว ขณะที่เห็นมันมุ่งมาทางฉัน ฉันก็หลุดตะโกนออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ราธบัน!”
ชั่วพริบตา ประตูของห้องเก็บของก็เปิดออกเสียงดัง ฉันหันหน้าไปด้วยความตกใจแล้วก็เห็นราธบันหอบหายใจอย่างบ้าคลั่ง ถึงจะเป็นภาพจินตนาการก่อนตาย แต่การเห็นภาพของราธบันก่อนตายน่าจะดีกว่าเห็นกริชของชีเดลก่อนตาย ดังนั้นฉันจึงไม่ละสายตาไปจากเขาเลย
สายตาประสานกัน ชั่วขณะต่อมาราธบันก็เดินเข้ามายกร่างกายฉันลอยขึ้น ขณะที่คิดว่าเขากอดฉัน ก็ได้ยินเสียงดังปัก! จากนั้นก็เหมือนเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ ทั้งฉัน ราธบัน และชีเดล
“เอ่อ…”
ฉันหันหน้าไปอย่างเชื่องช้า *แปะ!*มีของอุ่นๆ หยดลงบนใบหน้าฉัน มือเปล่าที่จับกริชซึ่งเต็มไปด้วยเลือดปรากฏอยู่ตรงหน้าของฉัน
เป็นมือของราธบัน
ฉันไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น และคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น ทำได้เพียงจ้องไปยังมือที่มีเลือดไหล
เสียงร้องครางแผ่วๆ ดังขึ้นพร้อมกับที่เขาออกแรงดันกริชไปด้านข้างฉันด้วยมือข้างที่เปื้อนเลือดทั้งที่ยังจับไว้อย่างนั้น ราวกับจะไม่ยอมวางของเช่นนี้ไว้ใกล้ฉัน เลือดสีแดงจากมือของเขาหยดติ๋งๆ ลงพื้น
ฉันยังไม่รู้สึกถึงความเป็นจริงแม้แต่อย่างเดียว ทั้งเรื่องที่ราธบันมาที่นี่ ทั้งเรื่องที่เขาเข้ามาขวางชีเดลที่กำลังจะโจมตีฉัน ทั้งเรื่องที่ตอนนี้มือของเขากำลังเลือดไหล
เขามาที่นี่ได้อย่างไร ไม่สิ เขามาที่นี่ทำไมกัน
“หัวหน้า!”
น้ำเสียงยินดีของชีเดลทำให้เวลาที่ดูคล้ายจะหยุดนิ่งกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง หลังจากได้สติกลับมาเพราะได้ยินเสียงของเขา ฉันก็รีบกลิ้งตัวออกห่างมาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันกับที่เท้าของราธบันลอยขึ้น ร่างของชีเดลปลิวไปอัดที่มุมหนึ่ง ส่งเสียงดังกังวาล
“ราธบัน!”
เขายกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าอย่าเข้ามาอีกทันทีที่ฉันทำท่าจะเข้าไปใกล้ ระหว่างนั้นชีเดลก็ขยับร่างกายที่ถูกอัดเข้ามุม ร่างกายของชีเดลผอมแห้งจนแทบไม่เหลือกล้ามเนื้อแล้ว
ฉันรู้ดีว่าร่างกายแบบนั้นมันอ่อนแอถึงเพียงไหน และหากได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงเหมือนการโจมตีเมื่อครู่ก่อน อย่าว่าแต่ลุกขึ้นอีกครั้งเลย กระทั่งหายใจให้เป็นปกติยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่นี่ชีเดลกลับกำลังลุกขึ้นราวกับว่าเขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแบบนั้นแม้แต่น้อย
‘ได้ยังไงกัน?’
หลังจากพิจารณาเขา ฉันก็เบิกตากว้าง แขนข้างซ้ายของชีเดลหักจนห้อยต่องแต่ง ทว่าชีเดลกลับไม่แม้กระทั่งส่งเสียงร้อง ดวงตาที่เบิกโพลงของเขาจ้องมาที่ฉันเขม็ง ก่อนจะมองราธบันอีกครั้ง
“หัวหน้า ท่านถูกอีนางนั่นหลอกแล้ว มันเป็นนักบุญหญิงตัวปลอมขอรับ”
ฉันกลั้นหายใจเมื่อได้ยิน ชีเดลกำลังพูดความจริง
“ท่านรีบฆ่าของพรรค์นั้นแล้วไปหาท่านนักบวชคาร์ลเร็ว ไปรับท่านนักบุญหญิงตัวจริงกับท่านผู้นั้น…”
ทันทีที่ชีเดลเอ่ยพลางเดินเข้ามาใกล้ฉัน ราธบันก็พูดกับฉันโดยไม่ละสายตาไปจากเขา
“ท่านหลับตาเถิด”
ฉันทำตามที่เขาพูด เลือดของเขาที่หยดลงบนเปลือกตากำลังไหลมาตามใบหน้าจนรู้สึกได้
“หัวหน้า ท่านรีบฟันคอของนางนั่นเร็ว…”
“บาปที่เจ้าพยายามทำอันตรายต่อผู้ที่ต้องรับใช้”
น้ำเสียงของราธบันที่ต่ำและโหดเหี้ยมกว่าครั้งไหนๆ ดังขึ้น
“แม้แต่ความตายก็ยังมิอาจชดใช้ได้”
ฉันสัมผัสได้ว่าราธบันเคลื่อนไหว สายลมโบกสะบัด เสียงของแหลมคมฉีกเฉือนเนื้อหนัง ตัดกล้ามเนื้อและทำลายกระดูกดังสะท้อนในห้องเก็บของ
ต่อให้ไม่ลืมตาฉันก็ยังรับรู้ได้ ตอนนี้ชีเดลสิ้นลมหายใจโดยไม่มีแม้แต่โอกาสให้ส่งเสียงกรีดร้องด้วยซ้ำ
ฉันไม่กล้ากระทั่งส่งเสียงหายใจ หลังจากได้ยินเสียงชีเดลล้มลงก็ยังไม่กล้าลืมตาขึ้น มันเกิดอะไรขึ้นกัน
ตึกตึกฉันได้ยินเสียงฝีเท้าของราธบันที่เข้ามาใกล้ ในชั่วขณะที่สัมผัสได้ว่าด้านมืดลงแม้จะหลับตาอยู่ ก็มีมือข้างหนึ่งดึงศีรษะฉันเข้าไปกอด ไม่นานร่างกายของฉันก็สัมผัสเข้ากับบางสิ่งที่แข็งแรงแต่อ่อนนุ่ม เสียงหายใจแรงดังขึ้นเหนือศีรษะ และจังหวะหัวใจที่เต้นเร็วจนน่าหนวกหูจากอีกฝั่งหนึ่งที่ใบหน้าสัมผัส ฉันจับเสื้อของราธบันและฝังตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขามากกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว
เสียงหัวใจของเขาทำให้ฉันค่อยๆ รู้สึกว่าเรื่องทุกอย่างเป็นความจริงขึ้น
“…ค่อยยังชั่ว”
“…”
“หากข้าช้ากว่านี้อีกนิด…ท่านคง…”
เสียงของราธบันที่โอบกอดฉันอยู่ในอ้อมแขนกำลังสั่น ไม่ใช่แค่เสียงเท่านั้น ทั้งแขนที่ดึงฉันเข้าไปกอด รวมถึงร่างกายเขาด้วยเช่นกัน มันสั่นไม่หยุดราวกับคนที่พบเจอกับความหวาดผวาอย่างสุดขีด มือของเขาลูบปลอบฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับต้องการยืนยัน ผ่านไปสักพักราธบันถึงปรับลมหายใจได้
“ท่านเป็นอะไรหรือไม่? บาดเจ็บตรงไหน…”
“ข้า มะ ไม่เป็นไร…”
คำตอบของฉันทำให้เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกราวกับวางใจได้แล้วจริงๆ ร่างกายของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อจนสัมผัสได้ นี่เขารีบวิ่งมาที่นี่ขนาดไหนกันแน่
กลิ่นเลือดที่โชยมาอีกครั้งทำให้ฉันจำได้ว่าเขาบาดเจ็บ ฉันรีบขยับตัวออกมาแล้วกล่าว
“ข้า ราธบัน…มือ…บาดแผล”
บาดแผลคมและลึกจนเห็นกระดูก และเพราะเขาใช้มือดันกริชออกไป บาดแผลจึงยิ่งรุนแรงขึ้น อีกทั้งมันยังไม่ใช่แค่แผลโดนบาดเท่านั้น มุมของบาดแผลกำลังเปลี่ยนสีจนมองเห็นได้ในคราวเดียว
“ทำไมแผล…”
“เขาทายาพิษไว้”
ราธบันมองมือตนเอง ก่อนพูดขึ้นอย่างเฉยเมย ฉันลุกพรวดขึ้นทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น
“ข ข้าจะไปเรียกเหล่านักบวชมา! ถ้าไม่รักษาตอนนี้…!”
ราธบันดึงมือฉันไว้ในขณะที่ฉันกำลังจะวิ่งไปทางประตู ส่งผลให้ฉันกลับเข้าสู่อ้อมอกของเขาอีกครั้ง
“ไม่ได้ขอรับ หากทำเช่นนั้นจะเป็นอันตรายแก่ท่านนักบุญหญิง”
“ตะ แต่… พิษมัน…”
คนที่บาดเจ็บคือราธบัน แต่คนที่ตั้งสติไม่ได้กลับเป็นฉัน ราธบันใช้มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บตบหลังฉันเบาๆ พลางพูดข้างหูฉันด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ท่านใจเย็นและฟังคำข้า”
น้ำเสียงสงบนิ่งราวกับบาดแผลที่มือของเขาไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรทำให้ลมหายใจที่หอบหนักของฉันค่อยๆ สงบลงทีละน้อย
“ต่อจากนี้ไปให้ท่านทำตามที่ข้าพูด เพื่อข้า…”
พูดถึงตรงนั้น ราธบันก็ลังเลใจเล็กน้อย ก่อนจะเปิดปากขึ้นอีกครั้ง
“ไม่สิ เพื่อ ‘พวกเรา’”
***
หลังจากนั่งลงตรงขอบน้ำพุที่มีน้ำตกกระทบอย่างเย็นสบาย ฉันก็ล้างมือและใบหน้าที่เปรอะเปื้อนเลือด ทุกครั้งที่น้ำส่งเสียงแตกกระเซ็น เลือดกระจายไปทั่วทิศทาง ก่อนจางหายไปในไม่ช้า หลังจากล้างปลายเล็บอย่างพิถีพิถัน ฉันก็ตรวจดูว่ามีคราบเลือดหลงเหลืออยู่ในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์หรือไม่
จากนั้นก็คลี่เสื้อที่ยับจนยู่ยี่ แน่นอนว่าแม้จะพยายาม แต่ร่องรอยยับย่นก็ไม่อาจหายไปอย่างสมบูรณ์ในคราวเดียว
ระหว่างนั้น ความมืดก็เริ่มกระจายไปทั่วท้องฟ้า เสียงของอัศวินและเหล่านักบวชที่เอ่ยว่า ควรรีบเข้าไปดูด้านในดังขึ้นด้านนอก ฉันต้องรีบแล้ว
ฉันหันศีรษะมองห้องเก็บของก่อนที่จะขยับฝีก้าวไปยังประตูทางเข้า หลังจากเห็นประตูห้องเก็บของที่ปิดสนิท ฉันก็สูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่แล้วเดินไปยังประตูทางเข้า ทันทีที่เปิดประตูออกไป รองผู้บัญชาการหน่วยอัศวินที่ขึ้นบันไดและกำลังจะก้าวเข้ามาก็ตะโกนขึ้น
“ท่านนักบุญหญิง!”
เหล่านักบวชที่ตามหลังเขามาต่างก็พูดด้วยสีหน้าโล่งใจ
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าขอรับ? ท่านไม่ออกมาเสียที พวกเราถึงได้กำลังจะเข้ามาดู”
ฉันยิ้มน้อยๆ ขณะกล่าวตอบพวกเขา
“เปล่า ไม่มีเรื่องอะไร”
ชีเดลตายแล้ว
“ข้ามัวแต่สวดภาวนาให้กับทุกคนที่กำลังจะจากไป รู้ตัวอีกทีก็ดึกมากเสียแล้ว ขออภัยที่ทำให้ทุกท่านเป็นกังวล”
ราธบันที่ปกป้องฉันบาดเจ็บหนัก
“ท่านนักบุญหญิง เสื้อ…”
นักบวชคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีสีหน้าตกใจเมื่อเห็นชุดเครื่องแบบที่เปื้อนฝุ่นและยับย่น ฉันตอบนักบวชราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ข้าคุกเข่าแล้วสวดภาวนาจึงเลอะเทอะไปสักหน่อย มิใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ไม่ต้องห่วง”
เหล่านักบวชพยักหน้าเข้าใจเมื่อเห็นฉันพูดอย่างสงบนิ่งและไร้ซึ่งสีหน้าตื่นตระหนก ฉันเหลือบสายตากลับเข้าไปมองด้านในประตูพลางยกมือขึ้นราวกับสั่งให้พวกเขาที่กำลังจะเข้าไปหยุดฝีก้าว
“ข้ารู้มาว่าผู้ป่วยด้านในนี้ต่างก็อดอาหารกันหมด ใช่หรือไม่?”
ผู้คนที่ความตายคืบคลานเข้ามาใกล้ส่วนใหญ่ล้วนกินอาหารไม่ได้ การบังคับให้กินอาหารเข้าไปก็ทำได้ยาก และบางทีอาจเกิดปัญหาใหญ่กว่าเดิมได้หากไม่ได้กินเข้าไปให้ดี ดังนั้นผู้คนในวิหารหลวงจึงอดอาหารก่อนตาย
“ใช่ขอรับ”
“เช่นนั้นจงให้พวกเขาอยู่อย่างสงบจนถึงเช้าเถิด ข้าได้สวดภาวนาเป็นเวลานานร่วมกับพวกเขาจนถึงเมื่อครู่ก่อน คืนนี้ทุกคนที่นี่จะสวดสารภาพบาปกันอย่างต่อเนื่องก่อนจะออกเดินทางไกล พรุ่งนี้เช้า พวกเจ้าค่อยมาเก็บร่างกายของพวกเขาเถิด”
ฉันพูดแบบนั้นพลางทำสำคัญมหากางเขน อากัปกิริยาที่น่ายำเกรงทำให้นักบวชหลายคนทำสำคัญมหากางเขนตามฉัน คำพูดที่สั่งโดยสรุปว่าไม่ให้ใครเข้าไปในนั้นจนถึงเช้าทำให้นักบวชที่ดูแลบ้านแห่งความตายทำตัวไม่ถูกไปเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็ทำสำคัญมหากางเขนตามฉันเช่นกัน
“เช่นนั้นพวกเรากลับกันเถิด”
จบคำ ฉันก็พาหน่วยอัศวินและเหล่านักบวชออกห่างจากบ้านแห่งความตายไปราวกับต้อนแกะ
***
ตกกลางคืน ฉันก็เอาหูแนบประตู เหล่านักบวชที่เฝ้าหน้าห้องพูดคุยกันว่าจะไปเอาของที่จำเป็นสำหรับพวกตนสักครู่ หลังจากได้ยินเสียงพวกนางไกลออกไป ฉันก็รีบออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว หากไม่ใช่ช่วงเวลานี้ พวกนางที่เคยคลาดสายตากับฉันไปครั้งหนึ่งจะต้องตามติดฉันสุดชีวิตแน่
‘ไม่ได้’
ฉันคิดแบบนั้นพลางกระชับฮู้ดก่อนจะขยับฝีเท้าอย่างรีบร้อน ฉันเดินไปตามทางที่เหล่าอัศวินลาดตระเวนไม่ค่อยสัญจรผ่านและแทบจะไม่มีร่องรอยคนตามที่ราธบันบอกเอาไว้ หลังจากเดินไปได้สักพักและเข้าไปยังที่พักของหน่วยอัศวิน ฉันก็พบบ้านที่คุ้นเคย เป็นบ้านของราธบัน
แกร๊ก
ประตูไม่ได้ล็อกไว้ราวกับรอฉันอยู่
“ราธบัน”
ฉันเอ่ยเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาขณะมุ่งหน้าเข้าไปในบ้านที่ปิดไฟทุกดวงและเงียบสงัด
“ราธบัน? กลับมาหรือยัง?”
ทว่าในบ้านกลับมีแต่ความเงียบ ไม่มีคำตอบใดกลับมาทั้งสิ้น
“ราธบัน!”
ฉันเอ่ยเรียกเขาเสียงดังโดยไม่รู้ตัว ย้อนนึกถึงใบหน้าของเขาที่ได้เห็นเป็นครั้งสุดท้าย เลือดสีแดง บาดแผลลึกที่พิษกระจายทั่ว ภาพของเขาที่พยายามทำให้ฉันสงบลงอย่างใจเย็นทั้งที่ตนซีดเผือด
“ท่านออกไปด้านนอกแล้วให้ทำตัวเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วพยายามไม่ให้พวกเขาเข้ามาด้านในให้มากที่สุด ข้าจะเก็บกวาดที่นี่เอง”
‘หรือว่า…’
บาดแผลแย่ลงเหรอ? เพราะงั้นเขาจึงออกมาจากบ้านแห่งความตายไม่ได้?
ลางสังหรณ์ไม่ดีพลันแวบผ่านในหัว ซากศพของชีเดลที่ล้มลง คงไม่ใช่ว่าราธบันก็เป็นลมอยู่ข้างเขาหรอกนะ หรือเขารู้ว่าตนเองจะตายเลยส่งฉันออกมา
“ไม่ได้นะ…”
ถ้าอย่างนั้นฉันต้องกลับไปที่นั่น ชั่วขณะที่ฉันหมุนตัวกลับ พลันได้ยินเสียงครางแผ่วเบาดังขึ้นด้านใน
“…!”
ฉันรีบวิ่งเข้าไปในห้องนั้น ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็พบว่าราธบันนั่งอยู่บนพื้นและเอนกายพิงกับขอบเตียง ใบหน้าของเขาซีดเผือดราวกับแผ่นกระดาษ ครั้นเลื่อนสายตาลงก็เห็นมือของเขาที่ยังคงเต็มไปด้วยเลือด กลิ่นเหม็นคาวเลือดโชยเข้ามาในจมูก
“ราธบัน!”
ฉันเข้าไปหาราธบันอย่างล้มลุกคลุกคลานและคว้าตัวเขาไว้ ร่างกายซีดขาวและเย็นเฉียบจนรู้สึกได้ คงไม่ใช่ว่าเขาตายแล้วใช่ไหม? ขณะที่ลำคอเริ่มรู้สึกตีบตัน ก็ได้ยินเสียงครางดังขึ้นอีกครั้ง
‘ยังมีชีวิตอยู่!’
หลังจากตระหนักได้ ฉันก็ดึงราธบันเข้ามากอดสุดแรง ไม่รู้ทำไมร่างกายของเขาถึงได้ดูเหมือนจะเย็นกว่าครู่ก่อน ฉันใช้สองมือลูบไปทั่วร่างของเขาด้วยความร้อนใจ ก่อนจะตระหนักได้ หากปล่อยให้ร่างกายเย็นแบบนี้ต่อไป ราธบันต้องตายแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้ตัวเขาอุ่นขึ้นและทำให้เขาได้สติ อีกทั้งยังต้องเช็ดร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดกับเหงื่อให้สะอาดเผื่อการรักษาด้วย
“ราธบัน เดี๋ยวข้ากลับมานะ ได้โปรด ได้โปรดอย่าตายนะ”
ราธบันครางเสียงยาวทันทีที่ฉันกอดเขาและพูดพึมพำราวกับตอบรับคำพูดของฉัน ฉันวางตัวเขาอย่างยากลำบาก ก่อนจะวิ่งไปห้องอาบน้ำ