บทที่ 110 การบรรยายประวัติศาสตร์แห่งเวทมนตร์ครั้งสุดท้ายของดีดี้ แม็กซ์เวล
บทที่ 110 การบรรยายประวัติศาสตร์แห่งเวทมนตร์ครั้งสุดท้ายของดีดี้ แม็กซ์เวล
เหตุการณ์หลังเที่ยงคืนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
เหล่านักเรียนที่ไม่รู้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้นในทางลับของปราสาท จึงต่างมุ่งหน้าไปยังชั้นหนึ่งเมื่อเสียงระฆังดังบอกเวลา
ไดแอนนาจับมือโรสไว้ ก่อนจะแอบมองหาเจ้าชายรัตติกาลท่ามกลางฝูงชน
ขณะเดียวกัน เอ็มม่ากำลังถือหนังสือในมือซ้ายและเล่นเหรียญทองมีปีกในมือขวา โดยไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ภายในวิหาร หญิงสาวผมสั้นสีอีกาที่อยู่ในชุดเคานต์แวมไพร์ก็ได้ตื่นจากอาการโคม่าในที่สุด
ทว่ากลับไม่มีใครสังเกตเห็นว่า ณ มุมมืดหนึ่งของทางเดินนั้น ค้างคาวที่น่าจะควรหายไปในตอนเที่ยงคืน กลับยังคงซุ่มซ่อนอยู่อย่างเงียบ ๆ
…
ภูตตัวน้อยผู้ซึ่งมีปีกผีเสื้ออยู่บนหลังของเธอ กระพือปีกบินกลับมาที่ด้านบนสุดของหอนาฬิกาอีกครั้ง
ในมือของศาสตราจารย์ดีดี้ แม็กซ์เวลมีลูกปัดเรืองแสงอยู่ เธอบิดมันด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ก่อนจะเงยหน้าขึ้น สายตาสังเกตแสงจันทร์อย่างระมัดระวัง
ลูกปัดกลมเกลี้ยงและไร้ที่ติสะท้อนเข้ากับแสงจันทร์จากฟากฟ้า ทอประกายความงามแข่งกับพระจันทร์ที่สว่างไสวในท้องฟ้ายามราตรี
“นี่คือน้ำตาของเทพธิดาแห่งจันทราใช่ไหม?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
ศาสตราจารย์ดีดี้ไม่แปลกใจที่เห็นอีกฝ่าย เธอพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “กงล้อแห่งประวัติศาสตร์ได้บดขยี้หลายสิ่งอย่างมากเกินไป ลองดูสิ่งที่พวกเขาทำไว้ในอดีตสิ เช่นสี่ยุคก่อนหน้านี้ มาร์ติน นักเล่นแร่แปรธาตุในตำนานคนนั้น เพื่อที่จะสร้างน้ำตาของเทพธิดาแห่งจันทราให้กับอาณาจักร เขาถึงกับใช้ประชาชนทั้งหมด 5,764,801 คนเป็นเครื่องสังเวยให้มัน และในที่สุดก็ได้รับเสียงตอบรับจากเทพธิดาแห่งจันทรา แต่…มันต่างกัน ฉันใช้ผู้ศรัทธาทั้งสิบหกคนและเครื่องสังเวยคู่รักแค่เจ็ดคู่เพื่อทำการนี้ให้บรรลุผลเท่านั้น”
ศาสตราจารย์เคเซอร์ปรากฏตัวขึ้นและถามด้วยน้ำเสียงถอนหายใจ “จบแล้วเหรอ?”
“มันจบลงแล้ว แต่แค่ชั่วคราวน่ะนะ” ศาสตราจารย์ดีดี้ตอบอย่างสบาย ๆ “คุณมาที่นี่เพื่อหยุดฉันเหรอ?”
“ไม่ ผมมาที่นี่เพื่อพบคุณเป็นครั้งสุดท้าย”
…
ดาร์กพยายามดิ้นรน จนในที่สุดก็สามารถโผล่หน้าออกมาจากความอวบอัดของเดอะเลดี้ได้ เขาหอบหายใจเข้าปอดลึก ๆ
ในขณะที่มือแอบดึง [อัตตา II] ออกมา และพร้อมที่จะใช้มันกับเธอ
เดอะเลดี้ก้มหน้าลงมาข้างหูของเขาแล้วกระซิบว่า “มีคนอยู่ที่นี่”
ดาร์กที่ได้ยินดังนั้น ก็พิจารณาสถานการณ์แล้วเปลี่ยน [อัตตา II] เป็นการ์ดคัดสรรทันที
จากนั้นเขาก็เรียกเดอะเลดี้กลับเข้าไปในการ์ด
ดาร์กไม่มีเวลาได้สังเกตสภาพแวดล้อมจนถึงขณะนี้
ผนังของปราสาทเซนต์แมเรียนสร้างจากวัสดุที่เขาไม่รู้จัก แม้ว่ามันจะถูกยิงด้วยลูกศรศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงจันทร์ แต่ก็ไม่มีความเสียหายแต่อย่างใด
เหลือเพียงร่องรอยการระเบิดบางส่วนเท่านั้น
เขามองข้ามร่องรอยพวกนั้น ก่อนจะสังเกตเห็นขนนกสีขาวตกอยู่ในโคลนสีดำ
“นี่อาจจะเป็น…”
ขนนกสีขาวนี้สามารถเป็นได้เพียงสิ่งนั้นเท่านั้น
ดาร์กยิ้มออกมาอย่างมีความสุขและวิ่งเหยาะ ๆ ไปหามันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยิบขนนกของนางฟ้าที่เปล่งแสงสีขาวนวลออกมาจากโคลน
ขนนกนางฟ้าโผล่ออกมาจากโคลนแต่ไม่มีรอยเปื้อนสักกระผีกเดียว เพียงแค่ถือไว้ใกล้ ๆ ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายตัวแล้ว
ดาร์กเปิดซองการ์ดของเขา และเก็บซ่อนขนนกไว้ที่ช่องตรงกลางของซองการ์ดอย่างระมัดระวัง
มีวัตถุดิบหลักสี่อย่างแล้วในชั้นกลางของซองใส่การ์ด ได้แก่
ขนนกฮาร์ปี้
เกล็ดนางเงือก
กระดุมซอมบี้หมีหุ่นเชิด
ขนนกของเดอะแองเจล
…
หลังจากตบซองการ์ดอันเป็นที่รักของเขาแล้ว ดาร์กก็หยิบปากกาพลังเวทออกมาอีกครั้ง และคนโคลนตรงหน้าอย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรอยู่ข้างในแล้ว ก่อนจะกลับมาเหยียดหลังขึ้นตรง
แม้ว่าเขาจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เทพธิดาแห่งจันทราก็หายตัวไป แต่บางครั้งผลลัพธ์ก็สำคัญกว่ากระบวนการ
หลังจากยืนยันได้แล้ว ดาร์กก็ไม่ได้รีบเข้าไปในวิหารแต่อย่างใด
ถึงแม้จะมีผู้ชายและผู้หญิงที่ถูกจับเป็นเครื่องสังเวยในวิหาร แต่เขาไม่ลืมว่ายังมีภาคีอาหารทะเลที่เป็นอันตรายมากสำหรับเขาอยู่ด้วย
ทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้คือการรอศาสตราจารย์มาถึง
แน่นอนว่าศาสตราจารย์หลายคนก็มาถึงในไม่ช้า
คนแรกที่มาถึง ไม่ใช่ศาสตราจารย์เคเซอร์หรือศาสตราจารย์ลิลลี่ที่ดาร์กคุ้นเคยมากที่สุด
แต่กลับเป็นหมีดำตัวใหญ่!
เมื่อเห็นหมีดำวิ่งเข้ามาหาเขา ดาร์กก็ถึงกับตกตะลึงไปในทันที
ทว่าหลังจากที่หมีดำเบรกอย่างแรง และเปลี่ยนกลับมาเป็นร่างมนุษย์ ก็ปรากฏว่าเป็นศาสตราจารย์พาวาร์ โจนส์
เมื่อเห็นผิวสีน้ำตาลแดงของศาสตราจารย์โจนส์ ดาร์กก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“เดม่อน?”
ศาสตราจารย์โจนส์ขมวดคิ้วและมองไปที่ดาร์ก จากนั้นชูการ์ดเวทมนตร์ในมือขึ้นแล้วพูดว่า “การ์ดแปลงร่าง เป็นหลักสูตรสำหรับนักเรียนในชั้นปีหลัง ๆ น่ะ”
ดาร์กอ้าปากอุทาน “โอ้” เขารู้เกี่ยวกับคาถาแปลงร่าง เพราะเวทมนตร์เปลี่ยนเพศที่เคยใช้กับโรเบิร์ตก็เป็นคาถาแปลงร่าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นการ์ดแปลงร่าง
แต่ถึงอย่างไรก็ไม่น่ามีคนที่สามารถเชี่ยวชาญ ‘การแปลงร่างขั้นสูง’ อย่างศาสตราจารย์โจนส์ได้
สายตาของศาสตราจารย์โจนส์หันไปมองที่แอ่งโคลนสีดำอย่างรวดเร็ว เธอถามว่า “เธอมาที่นี่ทำไม? แล้วรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”
ดาร์กยักไหล่ “ผมพอจะรู้นิดหน่อยครับ”
โดยไม่จำเป็นต้องปิดบัง
ท้ายที่สุดเรื่องนี้ก็จบลงแล้ว และนอกจากการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เขายังเป็นพยานรู้เห็นอีกด้วย
ศาสตราจารย์โจนส์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเดินไปหยุดอยู่ที่แอ่งโคลน “ดีมาก รอจนกว่าอาจารย์ใหญ่จะมาถึงแล้วกัน”
“พาวาร์ ฉันมาแล้ว”
มีออร่าของแสงสว่างขึ้นและสปิริตตัวเล็กก็บินมาอยู่ระหว่างคนทั้งสอง
มันเป็นสฟิงซ์ตัวน้อย
ดาร์กรู้จักสปิริตตัวนี้ เนื่องจากว่ามันเป็นหนึ่งในเก้าสปิริตหลักของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้
ส่วนตัวอาจารย์ใหญ่เอง บางทีเธออาจจะยังคงอยู่เป็นประธานในงานเลี้ยง
ขณะที่ดาร์กกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดมาอยู่ข้าง ๆ และทันใดนั้น พลันมีคนปรากฏขึ้นที่ประตูของวิหารซึ่งอยู่ไม่ไกลนั่นคือ ศาสตราจารย์ซาราห์ ซิลเวอร์
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ตรงเข้ามายังวิหารทันที เมื่อเธอเห็นแท่นบูชาที่ไม่มีรูปปั้นเทพธิดากับเหล่านักเรียนที่นอนสลบไสลอยู่หน้าแท่นบูชา จึงยื่นมือออกมาและสะบัดออกไปคราหนึ่ง แล้วสายลมก็พัดผ่านร่างกายของนักเรียนโดยทันที
เมื่อโบกกลับมาอีกครั้ง สายลมที่แผ่วเบานั้นก็กลายเป็นวิญญาณแห่งสายลมขนาดตัวเท่านิ้ว
“เป็นยังไงบ้าง?” ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ถามด้วยความเป็นห่วง
วิญญาณแห่งสายลมกะพริบตัวและแสดงท่าทางโอเคด้วยนิ้วเล็ก ๆ ของมัน
ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนว่านักเรียนจะไม่ตกอยู่ในอันตราย
หลังจากนั้น
ดาร์กก็เข้ามาในวิหารพร้อมกับศาสตราจารย์โจนส์
เทียนบนวงแหวนเวทมนตร์ถูกเผาไหม้ไปจนหมดแล้ว เหลือเพียงน้ำตาเทียนสีแดงไว้ให้เห็นต่างหน้า
สมาชิกภาคีอาหารทะเลทั้งสิบหกคนหมดสติอยู่บนพื้น และหมอกสีชมพูที่ปกคลุมพวกเขาราวกับใยแมงมุมก่อนหน้านี้ก็หายไปเรียบร้อย
ตอนนี้มีเพียงนักเรียนสามสิบสี่คน… นักเรียนสามสิบสามคนยังคงหมดสติเนื่องจากผลกระทบของน้ำพรากวิญญาณ
ขณะที่หญิงสาวผมสีอีกาที่ถูกดาร์กคว่ำ… กำลังนอนแกล้งตายอยู่บนพื้น
เวอร์เธอร์ กาวด์รู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังตกอยู่ในฝันร้าย และเขาอยากจะตื่นขึ้นมามาก
…
ภายใต้การสอบสวนของอาจารย์ ดาร์กได้อธิบายสิ่งที่เขาเห็นทั้งหมด
แต่เมื่อพูดถึงพิธีบูชายัญ เขาก็เปลี่ยนเรื่องเล่าไป โดยบอกว่าหลังจากที่เขาไม่สามารถขัดขวางพิธีกรรมได้ เขาจึงถูกเทพธิดาแห่งจันทราไล่ล่าแทน
“ภายใต้ความหวาดกลัวสุดขีด ในที่สุดผมก็หลบหนีออกจากวิหารได้ แต่หลังจากนั้น สิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวที่อ้างตัวว่าเป็นเทพธิดาแห่งจันทราก็ดึงธนูศักดิ์สิทธิ์ออกมา แล้วใช้แสงจันทร์ที่เป็นลูกศรยิงมาที่ผม เห็นได้ชัดเลยว่าเธอกำลังหยอกล้อผมเล่นโดยตั้งใจยิงพลาดไปสองสามครั้ง แต่ในที่สุดผมก็พบโอกาส… อะแฮ่ม อันที่จริงผมไม่รู้ว่าเธอหายตัวไปได้ยังไง?”